
ประกาศคุมกัญชาเสรีฉบับใหม่ คนซื้อ-คนขาย ได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง

ที่มาของภาพ : Reuters
จากพืชเศรษฐกิจในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา สมัยสอง สามปีผ่านไป รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยกำลังพยายามจะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดอีกครั้ง หลังแยกทางกับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) พรรคการเมืองผู้ผลักดันนโยบายการปลดล็อคกัญชา ได้ราวหนึ่งสัปดาห์
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศฉบับใหม่เพื่อควบคุมไม่ให้นำช่อดอกกัญชาไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งกำหนดว่ากัญชาเป็นสมุนไพรควบคุมที่มีค่าต่อการศึกษา-วิจัย หรือมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยให้เหตุผลว่าต้องการแก้ไขจากประกาศฉบับเดิม เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน ประกอบกับยังไม่มีกฎหมายใดใช้ควบคุมเป็นการเฉพาะ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ลงนามในประกาศกระทรวง สธ. เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2568 เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยกฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่วันถัดไปหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งตอนนี้ยังไม่เกิดขึ้น (ข้อมูล ณ วันที่ 25 มิ.ย. 68)
สาระสำคัญของประกาศฉบับนี้ คือ กำกับการจำหน่ายในประเทศให้เข้มงวดมากขึ้นและเน้นให้ใช้กัญชาทางการแพทย์เท่านั้น โดยประกาศฉบับล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมจากประกาศฉบับก่อนที่นายอนุทิน ชัยวีรกูล อดีต รมว.สธ. ลงนามเมื่อปี 2565 บางประการต่อไปนี้
สิ่งที่เปลี่ยนจากประกาศฉบับเดิม
ในประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับใหม่ระบุว่า ให้กัญชาซึ่งเป็นพืชในสกุล Hashish วงศ์ Cannabaceae เป็นสมุนไพรควบคุม
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue finding outได้รับความนิยมสูงสุด
Cease of ได้รับความนิยมสูงสุด
ขณะที่ประกาศฉบับเดิมเมื่อปี 2565 ระบุว่า ให้ควบคุมกัญชาซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hashish Sativa L. วงศ์ Cannabaceae ด้วยเหตุผลว่าให้เกิดการควบคุมกัญชาได้ทุกสกุล
สิ่งที่หายไปในประกาศคุมกัญชาฉบับใหม่

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
ในประกาศกระทรวง สธ. ฉบับล่าสุด ไม่ปรากฏข้อความเดิมที่ระบุว่า ห้ามจำหน่ายสมุนไพรควบคุม หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้าให้กับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี สตรีมีครรภ์หรือสตรีให้นมบุตร รวมถึงห้ามจำหน่ายหรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้าให้กับนักเรียน นิสิต หรือนักศึกษา
เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย ออกแถลงการณ์วันนี้ (25 มิ.ย.) ว่าการที่นายสมศักดิ์ รมว.สธ. ตัดมาตราการห้ามขายเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีออกไป “แสดงให้เห็นว่าสมศักดิ์ เทพสุทิน ไม่ได้ห่วงเยาวชนแต่อย่างใด” และเปิดช่องให้นักเรียนหรือผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ยังสามารถหาซื้อกัญชาได้ หากพวกเขาหามีใบอนุญาต โดยมองว่า “ใบรับรองจากแพทย์นั้นซื้อหากันได้”
อย่างไรก็ตาม .พบว่าไม่ใช่ไม่มีมาตรการคุ้มครองนักเรียน-นักศึกษาเลยเสียทีเดียว เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เคยมีประกาศกระทรวงว่าด้วยแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับกัญชาหรือกัญชงในสถานศึกษา ส่วนราชการ หรือหน่วยงานในสังกัดและในกำกับของ ศธ. ซึ่งประกาศลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2565
เนื้อหาของประกาศ ศธ. ดังกล่าวระบุว่า สถานศึกษา ส่วนราชการ หรือหน่วยงานในสังกัดและในกำกับของ ศธ. ห้ามใช้กัญชาหรือกัญชงกับนักเรียน นักศึกษา หรือบุคลากรโดยเด็ดขาด เพราะอาจมีผลต่อพัฒนาการสมอง รวมถึงห้ามมิให้นักเรียน นักศึกษา หรือบุคลากร ใช้กัญชาหรือกัญชงเพื่อการนันทนาการใด ๆ
นอกจากนี้ ยังห้ามไม่ให้ร้านค้าในสถานศึกษา ส่วนราชการ หรือหน่วยงานในสังกัดและในกำกับของ ศธ. จำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มใด ๆ ที่มีส่วนผสมของกัญชงหรือกัญชา รวมทั้งห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มที่ส่วนผสมของกัญชาหรือกัญชาเข้ามาบริโภคในสถานที่ดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ประกาศกระทรวงศึกษาธิการฉบับนี้ก็เปิดช่องไว้ว่า การใช้กัญชาหรือกัญชงเพื่อรักษาต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ และการใช้สมุนไพรควบคุมเพื่อการศึกษาวิจัยต้องอยู่ภายใต้การกำกับควบคุมและดูแลอย่างใกล้ชิดของผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้าหน่วยราชการ หรือหัวหน้าหน่วยงานนั้น ๆ
ประกาศ สธ. ฉบับใหม่ มีอะไรเพิ่มเติมมาบ้าง
เดิมทีผู้ใดที่ประสงค์จะศึกษาวิจัย ส่งออก จำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 46 ของของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 เท่านั้น
มาตรา 46 ใน พ.ร.บ. ดังกล่าวระบุว่า ห้ามไม่ให้ผู้ใดศึกษาวิจัยหรือส่งออกสมุนไพรควบคุม หรือจำหน่ายหรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาต ซึ่งใบอนุญาตดังกล่าวใช้ได้จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. ของปีที่สาม นับตั้งแต่ปีที่ออกใบอนุญาต
.พบว่าในประกาศฉบับใหม่ ได้เพิ่มเงื่อนไขที่ผู้ได้รับใบอนุญาตมาตรา 46 ต้องปฏิบัติตามหลายประการด้วยกัน ดังนี้
- ผู้รับใบอนุญาตให้จำหน่ายหรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า ต้องจำหน่ายสมุนไพรควบคุมให้กับผู้ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 46 เท่านั้น เนื่องจากต้องการกำกับการจำหน่ายกัญชาเพื่อการค้าในประเทศระหว่างผู้ได้รับใบอนุญาตด้วยกัน
- การจำหน่ายและส่งออกสมุนไพรควบคุมของผู้ได้รับใบอนุญาต ต้องมาจากแหล่งที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวที่ดี จากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เนื่องจากต้องการให้ผู้บริโภคหรือผู้ใช้ประโยชน์จากกัญชาได้ใช้กัญชาที่มีคุณภาพ ไม่ได้รับสารปนเปื้อนจากการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน
- มีการเพิ่มข้อยกเว้นสำหรับการใช้ประโยชน์กัญชาเพื่อการแพทย์เข้ามาในประกาศฉบับนี้ โดยระบุว่าการจำหน่ายสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้าซึ่งต้องมีใบอนุญาตตามมาตรา 46 ไม่รวมถึงกรณีการจำหน่ายกัญชาให้กับบุคคลใด ๆ ที่มีใบสั่งจ่ายโดยผู้ประกอบการวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมาย
- การสั่งจ่ายต้องกำหนดจำนวนหรือปริมาณการใช้ตามความจำเป็นเพื่อการรักษาตัวเท่านั้น ซึ่งใช้ได้ไม่เกิน 30 วัน โดยใช้แบบสั่งจ่ายตามที่อธิบดีประกาศกำหนด
ทั้งนี้ สิ่งที่ยังคงเดิมเหมือนประกาศฉบับเก่า คือ การห้ามจำหน่ายสมุนไพรควบคุมหรือสินค้าแปรรูปจากสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้าผ่านเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติหรือผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงห้ามโฆษณาสมุนไพรควบคุมในทุกช่องทางเพื่อการค้า
นอกจากนี้ ยังห้ามขายสมุนไพรควบคุมหรือสินค้าแปรรูปจากสมุนไพรควบคุมในวัดหรือสถานที่ปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา, หอพักตามกฎหมายว่าด้วยหอพัก, สวนสาธารณะ, สวนสนุก, และสวนสัตว์
เสียงจากผู้ประกอบการกัญชา เรียกร้องชะลอการใช้บังคับประกาศฉบับใหม่
“กฎหมายออกเดือนนี้ แล้วเขาเข้าตรวจหน้าร้านเดือนนี้ ปัญหามันตีกันไปหมด แทนที่คุณจะเว้นช่องว่างให้สัก 6 เดือนในการเตรียมตัวกัน เพราะวันแรกก่อนที่เขาจะปรับให้มัน กัญชา ถูกกฎหมาย เขาก็ใช้เวลากันตั้งปีหนึ่ง” จอมขวัญ วรธนาพิทักษ์ ผู้ประกอบการและผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชาและกัญชง วัย 31 ปี กล่าวกับ.
เธอเล่าว่าช่วงที่ผ่านมาไม่นาน ร้านค้าและฟาร์มปลูกกัญชาของเพื่อนเธอถูกตรวจสอบกันบ้างแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการประกาศกฎกระทรวงฉบับใหม่ออกมา
“มีตำรวจลงบ้าง กรมการแพทย์ก็เริ่มโทรประสานงานขอตรวจพื้นที่กัน… เขาเริ่มตรวจแล้ว แล้วก็มีหลายร้านที่ปิดไปแล้ว” เธอบอก
จอมขวัญ เริ่มเข้ามามีบทบาทผลักดันและศึกษาเรื่องกัญชาตั้งแต่เมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว และแม้เธอจะเห็นโอกาสในเชิงธุรกิจของผลิตภัณฑ์กัญชาและกัญชง แต่ก็พอเห็นปัญหาด้านกฎหมายตั้งแต่ช่วงแรก ๆ เช่นการเอื้อประโยชน์ให้นายทุนต่างประเทศเข้ามาเปิดธุรกิจ หรือการขาดการตรวจสอบมาตรฐานของฟาร์มปลูกกัญชา
“มองว่ามันน่าจะเป็นปัญหาด้วยในช่วงแรก แล้วก็เป็นปัญหาจริง ๆ เพราะ กฎหมาย เปิดให้นายทุนต่างชาติ ทุนที่ไม่ถูกต้องไหลเข้ามาในประเทศ แล้วมันก็ส่งผลต่อราคาช่อดอก… ตอนนั้นก็เคยมีการคุยกันว่าอยากให้มีมาตรฐานในการจัดการเรื่องนี้ แต่รัฐบาลก็ยังนิ่งและก็นิ่งไปเป็นพักใหญ่” เธอ กล่าว
ทั้งนี้ จอมขวัญ เริ่มสังเกตถึงการทำงานของรัฐบาลที่เปลี่ยนไปหลังการเลือกตั้งปี 2566 เธอมองว่า พืชกัญชาได้กลายมาเป็น “เกมการเมือง” เพราะ “อยู่ดี ๆ เราก็อยู่กันมา 2-3 ปีนิ่ง ๆ แล้วก็ไม่ได้มีข้อพิพากษาอะไรออกมา พอตอนการเมืองมีเรื่องปัญหาร้ายแรงขึ้นมา เขากลับเคาะเรื่องนี้ออกมาให้เป็นประเด็นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจด้วยหรือเปล่า” เธอตั้งข้อสังเกต

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
นอกจากนี้ จอมขวัญ บอกด้วยว่ากิจการฟาร์มปลูกกัญชาหลายแห่งก็เสี่ยงที่จะถูกเพิกถอนใบอนุญาต เพื่อให้มาตรฐานการปลูกเป็นไปตามกฎระเบียบใหม่ ซึ่งระบุว่าการส่งออกสมุนไพรควบคุมของผู้ได้รับใบอนุญาตต้องมาจากแหล่งที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวที่ดี
“แต่ก่อนการขอใบอนุญาตฟาร์มไม่ยากเลย ตอนนี้พอกฎหมายมันเปลี่ยน น่าจะถูกรื้อ กฎระเบียบ ใหม่ทุกขั้นตอน คนที่ได้ใบอนุญาตมาอย่างถูกต้องน่าจะถูกยกเลิกทั้งหมด แล้วก็คงจะมีการตรวจสอบเรื่องพื้นที่การปลูกให้ตรงตามมาตรฐาน” เธอกล่าว พร้อมกับเสริมว่า แม้การรักษามาตรฐานฟาร์มปลูกกัญชาจะเป็นเรื่องที่ดี แต่การบังคับใช้กฎดังกล่าวชั่วข้ามคืนก็จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอย่างมาก
“เมืองนอกเขาจะมีกฎนี้มาตั้งแต่แรก แต่เมืองไทยคุณไม่ได้บังคับใช้ตั้งแต่แรก แต่คุณจะมาย้อนหลัง ซึ่งหลาย ๆ ฟาร์มบางทีเขาไม่ได้เก็บข้อมูลตรงนี้ หรือไม่ได้เตรียมพร้อมในเรื่องของสถานที่ มันเลยจะมีปัญหากระทบ เพราะว่ามันก็ไปต่อกันไม่ได้ และหลาย ๆ คนก็ลงทุนกันเข้ามา มันก็เป็นเม็ดเงินจำนวนเยอะ” เธอกล่าว
ทั้งนี้ เธอเรียกร้องให้รัฐบาลมีความชัดเจนในเรื่องมาตรการส่วนของผู้ที่ถือครองใบอนุญาตปลูกกัญชาและกัญชงปัจจุบัน รวมถึงอยากให้การมีผลใช้บังคับถูกเลื่อนออกไป เพื่อให้ผู้ประกอบการมีเวลาเตรียมตัวและปรับหน้างานให้ทัน
“2-3 ปีที่ผ่านมา กฎหมายมันผ่อนปรนมาหมด เราก็ไม่คิดว่าอยู่ดี ๆ เขาจะมาเคาะวันนี้ คุณก็ต้องออกมากำกับหน่อยว่า จะบังคับใช้ ในช่วง 3 หรือ 6 เดือน มันก็ใช้เวลาเป็นปี กว่ากัญชาจะทำให้ถูกกฎหมาย เพราะฉะนั้นคุณจะย้อนกลับ คุณก็ต้องให้เวลาทุกคนเตรียมตัว… ข่าวออกเมื่อวาน วันก่อนก็คือลง ตรวจ ร้านกันแล้ว มันไม่โอเคไหมสำหรับประชาชนและผู้ประกอบการ” เธอกล่าวสรุป
“เหมือนพลิกกระดานใหม่หมดเลย”

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
อีกกลุ่มที่จะต้องรับผลกระทบจากประกาศคุมกัญชาฉบับใหม่ คือ ผู้ประกอบการร้านกัญชา
“ยังไม่รู้เลยว่าทิศทางของใบอนุญาตที่เราทำถูกต้อง มันจะยังใช้ได้ผลอยู่หรือเปล่า ตรงนี้ก็ค่อนข้างแย่ เราก็ขอใบอนุญาต ต่อใบอนุญาตตามกฎหมายตามขั้นตอนทุกสิ่งอย่าง แล้วพอมาประกาศ กฎกระทรวง เหมือนพลิกกระดานใหม่หมดเลย รับมือลำบากอยู่มาก ๆ” นายแทน (นามสมมติ) ผู้จัดการร้านค้ากัญชารายหนึ่งย่านหลังสวน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร กล่าว
แทน บอกว่าร้านค้ากัญชาที่เขาเป็นผู้จัดการซึ่งดำเนินกิจการมาสามปี มีลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ดังนั้น หากประกาศกระทรวฉบับใหม่ถูกบังคับใช้ เขาคาดว่าลูกค้าหลักของร้านน่าจะหายไปราว 70%
แทน บอกด้วยว่าช่วงรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน ออกมายืนยันว่าจะนำกัญชากลับเข้าสู่หมวดยาเสพติด ก็เคยมีคำถามจากกลุ่มลูกค้าหลักเพิ่มมากขึ้นมาแล้วระลอกหนึ่ง
“นักท่องเที่ยวจะมีคำถามเยอะครับว่า ได้ยินข่าวเรื่องการห้าม (ban) ไหม ซึ่งตรงนี้ทำให้เขาค่อนข้างไม่มั่นใจที่จะเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย” เขาบอกพร้อมเสริมด้วยว่า ข่าวสารเรื่องกัญชาที่ออกมาเป็นระยะ ๆ และไม่มีความแน่นอน ทำให้สถานการณ์ค้าขายของธุรกิจตนนั้น “ค่อนข้างแย่มาก”
“บอกตรง ๆ มันทำให้ลูกค้าเองก็ไม่กล้าซื้อ มันไม่มีความชัดเจนตรงนี้เลย” แทน บอกกับ.

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
นอกจากนี้ แทน ก็กล่าวถึงความกังวลเรื่องเวลาการเตรียมตัวปรับรูปแบบของกิจการ ซึ่งมีอยู่น้อยและทำให้เขาตั้งรับไม่ทัน
“อยากให้มีการผ่อนปรนในเรื่องระยะเวลาไม่ว่าจะเป็น 3 เดือน หรือ 6 เดือน หรือว่าเริ่มภายในปีหน้า มันควรจะเป็นอย่างนั้น พอประกาศปุ๊ป ใช้ปั๊ป ผลกระทบมันวงกว้างมาก ๆ ซึ่งผมมองว่าธุรกิจกัญชาเม็ดเงินในการลงทุนค่อนข้างสูงมาก… อย่างน้อย ๆ ให้ผู้ประกอบการมีเวลาในการเตรียมตัวในเรื่องนโยบาย ซึ่งผมลองไปอ่าน ประกาศ สธ. แล้วมันยังมีหลาย ๆ อย่างที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ” แทน กล่าว พร้อมยกตัวอย่างเรื่องกฎที่ยังคลุมเครือ เกี่ยวกับเรื่องการต้องมีผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมในร้าน
“ที่เห็นในประกาศบอกว่าจะต้องมีแพทย์อยู่ในร้าน แล้วภายในหนึ่งวัน ไม่ถึง 24 ชั่วโมง จะไปหาแพทย์จากไหนมาประจำร้าน” แทน กล่าวกับ.
เช่นเดียวกันกับจอมขวัญ แทนเชื่อว่าเรื่องกฎระเบียบกัญชาถูกนำมาเป็นเรื่องการเมือง และประชาชนกลุ่มร้านค้ารายย่อยเป็นผู้ที่จะต้องแบกรับผลกระทบ
“ถ้า ณ สถานการณ์ปัจจุบันเลยนะครับ กัญชาเป็นเรื่อง การเมืองล้วน ๆ เขาตีกันสองพรรค แต่คนที่เดือดร้อนคือประชาชน มันแย่จริง ๆ มันเป็นการเล่นการเมืองที่ค่อนข้างสกปรก” แทน กล่าว
อย่างไรก็ดี เมื่อวานนี้ (24 มิ.ย.) นายสมศักดิ์ รมว.สธ. ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่ากรณีที่ถูกมองว่าพรรคเพื่อไทย (พท.) หันมากวาดล้างกัญชาในช่วงพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เพราะต้องการไล่บี้อดีตพรรคร่วมนั้นไม่เป็นความจริง
“เรื่องนี้เป็นปัญหาเรื้อรัง ซึ่งเราได้รับการร้องเรียนเข้ามามากมาย โดยเฉพาะในสมัยรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ซึ่งเรามีความพยายามจะทำให้กัญชาเป็นยาเสพติด และวันนี้ทำได้ในการเป็นสมุนไพรควบคุมเข้มข้นใช้ในทางการแพทย์ แต่ในอนาคตก็คือยาเสพติด” นายสมศักดิ์ กล่าว
ด้าน แทน กล่าวเสริมว่า รัฐบาลยังไม่มีการเอ่ยถึงการเยียวยาและความรับผิดชอบจากการออกประกาศกระทรวงดังกล่าว และนี่คือการขาดความรับผิดชอบของภาครัฐ
“ผลกระทบที่มันจะเกิดขึ้นในวงกว้าง ผู้ประกอบการเสียชีวิตนะครับ แล้วจะไม่พูดถึงการชดเชย มันไม่สมควร” เขากล่าว พร้อมเน้นย้ำว่า สิ่งที่สำคัญกว่าการให้เงินชดเชยคือการยืดเวลาออกไป เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับตัวและดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ไม่เช่นนั้นก็จะมีธุรกิจที่ล้มละลายและเกิดวิกฤตคนตกงาน
“ทางที่ดีที่สุดคือการยืดระยะเวลาออกไปให้เราเตรียมรับมือ ไม่งั้นเราจะมีคนตกงาน ร้านเจ๊ง คนที่ล้มละลายเยอะนะครับ พนักงานก็ต้องออกจากงานถ้าร้านถูกปิด ไปหางานใหม่ แล้วเศรษฐกิจแบบนี้ บ้านเมืองเป็นแบบนี้ จะทำอะไรอะครับ ผมว่าควรมีมาตรการรองรับสำหรับผู้ที่เสียหายจากสิ่งที่เขาประกาศกันออกมา” แทน กล่าวสรุป
สถานการณ์กัญชาในประเทศไทยตอนนี้
สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นโอดีซี (UNODC) พบว่าในปี 2567 เป็นปีแรกของไทยที่มีผู้เข้ารับการบำบัดจากการติดกัญชาเป็นอันดับสอง จำนวน 7,500 คน รองจากเมทแอมเฟตามีน นอกจากนี้ ผลสำรวจระดับประเทศยังแสดงให้เห็นว่ามีผู้ใช้กัญชามากกว่า 1.5 ล้านคนในปีที่ผ่านมา
เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ที่ผ่านมา ถือว่าครบรอบสามปีที่ประเทศไทยปลดล็อคกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดเป็นชาติแรกในเอเชีย
ทาง รศ.พญ.รัศมน กัลยาศิริ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงานเสวนา “ครบรอบ 3 ปี กัญชาเสรี…สังคมไทยได้อะไร” เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2568 ว่าจากการสำรวจของสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าหลังไทยปลดล็อคกัญชา มีร้านจำหน่ายกัญชากระจุกตัวอยู่ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เกิดขึ้นจำนวนมาก ซึ่งทำให้เห็นว่าไทยยังขาดนโยบายการทำโซนนิ่งพื้นที่เปิดร้านขายกัญชา
นอกจากนี้ แม้ร้านต่าง ๆ มีใบอนุญาตตามกฎหมายกำหนด “แต่ไม่มีร้านไหนเลยที่ปฏิบัติได้ครบตามกฎของการขอใบอนุญาตนั้น” เช่น การขอดูบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ซื้อทุกคน เพื่อตรวจสอบอายุ เป็นต้น
เธอกล่าวต่อว่า ทีมวิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ยังออกสำรวจผลิตภัณฑ์จากกัญชาต่าง ๆ ทั่วประเทศ เช่น เครื่องดื่ม ขนมบราวนี่ คุกกี้ ฯลฯ และพบว่าค่าสารออกฤทธิ์ THC ในกัญชาซึ่งเป็นสารทำให้เกิดการเสพติดได้ในบางผลิตภัณฑ์มีค่า THC สูงกว่าค่าที่ควรจะเป็น หรือมีค่าไม่ตรงตามฉลากบนบรรจุภัณฑ์
ศศก. ยังพบว่ามีการใช้กัญชาเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้มีอายุ 18-19 ปี โดยพบว่าคนกลุ่มนี้สูบกัญชาเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า จาก 0.9% ในปี 2562 เป็น 9.7% ในปี 2565 แต่ถ้าดูภาพรวมในทุกกลุ่มอายุพบว่า 1 ใน 4 ของคนไทยกลายเป็นผู้ทดลองใช้กัญชาแล้ว

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
อย่างไรก็ดี รศ.พญ.รัศมน บอกว่ามีแนวโน้มที่ดีในช่วงปี 2566-2567 ที่พบว่าประชากรไทยอายุ 18-65 ปีมีการใช้กัญชาเพื่อการนันทนาการลดลงเล็กน้อย อาจด้วยเพราะประชาชนรู้เท่าทันถึงภัยที่มากับกัญชามากขึ้น
ถึงแม้กัญชามีประโยชน์ทางการแพทย์และใช้รักษาบางโรคได้ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยที่เกิดจากการใช้กัญชามากขึ้น โดยเฉพาะอาการทางจิต เช่น หูแว่ว ไม่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ฯลฯ โดยพบว่ามีผู้ป่วยด้วยโรคที่เกิดจากการใช้กัญชามาใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพในการรักษาเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงปี 2565-2566
ทั้งนี้ งานศึกษาของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ประมาณการต้นทุนทางตรงและทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับรักษาตัวจากการใช้กัญชาอยู่ที่ราว 15,000 ล้านบาทในปี 2566 ที่ผ่านมา
“ต่อไปนี้คงจะมีข้อมูลออกมาเรื่อย ๆ เพื่อให้เราเทียบเคียงว่าสิ่งที่ได้ จากการปลดล็อคกัญชา มันคุ้มไหมจากการสูญเสียค่าใช้จ่ายที่มาจากการเจ็บไข้ได้ป่วย” รศ.พญ.รัศมน กล่าว
ด้าน ผศ.ดร.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) ให้ข้อมูลในงานเสวนาเดียวกันว่าปัจจุบันมีร้านที่ได้รับใบอนุญาตจำนวน 17,867 ราย แต่ก็มีอีกจำนวนมากที่ไม่มีใบอนุญาตเช่นกัน
ที่มา BBC.co.uk