ครม.ไฟเขียว พ.ร.ก.เพิ่มอำนาจก.ล.ต.ยับยั้งความเสียหายในตลาดหุ้น-ทำหน้าที่พนักงานสอบสวน

ครม.อนุมัติ ร่าง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มบทบาท ‘ก.ล.ต.’ ยับยั้งความเสียหายที่จะเกิดขึ้นใน ‘ตลาดหุ้น’ ตั้งแต่ต้น ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอย ‘MORE-STARK’ พร้อมทำหน้าที่ ‘พนักงานสอบสวน’

………………………………….

เมื่อวันที่ 27 มี.ค. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่..) พ.ศ. … ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดย ร่าง พ.ร.ก.ฉบับนี้ ได้กำหนดมาตรการยับยั้งและปราบปรามการกระทำผิดในตลาดทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุน สร้างความน่าเชื่อถือในตลาดทุน และรักษาความมั่นคงในเศรษฐกิจของประเทศ

ด้าน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ก่อนประกาศในราชกิจจานุเบก โดยสาระสำคัญของ ร่าง พ.ร.ก.ฉบับนี้ จะกำหนดมาตรการป้องกันและยับยั้งความเสียหายในตลาดทุน ตลอดจนเพิ่มบทบาทของสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการเป็นพนักงานสอบสวน เป็นต้น

“เกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯอยู่ในภาวะทรงๆที่ประมาณ 1,600-1,700 จุด แล้วก็ค่อยๆลงมา ลงมาอยู่ที่ 1,400-1,500 จุด สิ่งที่ทำให้ความเชื่อมั่นของตลาดหายไป เรื่องแรก คือ สถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลก เรื่องที่สอง ความสุ่มเสี่ยงหรือความไม่แน่ใจในการเลือกตั้ง ทุกอย่างก็ค่อยๆลงมาตามลำดับ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ความเชื่อมั่นไม่เกิด คือ กฎหมายของเราในขณะนั้น ไม่สามารถจะกำกับหรือดูแลหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ได้อย่างทั่งถึง

ตัวที่มีปัญหาเยอะที่สุด คือ bare quick promote คือ คนที่ไม่มีหุ้นในมือ แต่เอาไปขาย แปลว่า ท่านขายหุ้น โดยที่ไม่มีหุ้น แล้วกลับไปซื้อคืนมา อย่างนี้เราไม่อนุญาต ทั่วโลกก็ไม่อนุญาต แต่กระบวนการตรวจสอบและกำกับในเรื่องนี้ เราไม่สามารถกำกับได้ เรากำกับได้เฉพาะส่วนในประเทศ คือ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) แต่ถ้าอยู่ในต่างประเทศ เราจะดูไม่ออก เพราะเวลาเขาเข้ามา เขาจะอยู่ในตะกร้ารวม เราไม่รู้ว่าคนที่ขาย มีหุ้นหรือไม่ นี่คือปัญหาของเรา

แล้วถ้าเราไปเจอว่า เขาทำผิด ก็ไม่สามารถเอาผิดได้ เพราะ พ.ร.บ.ของเรา คือ กฎหมายเดิม ถ้าเราจะเอาผิด เราจะไปเอาผิดที่บริษัทหลักทรัพย์ ไม่สามารถไปถึงปลายทางได้ สิ่งที่เราแก้ไข คือ การเพิ่มมาตรการกำกับ ถ้าเรารู้ เราเจอ คนทำจะมีโทษปรับ และโทษทางอาญาที่ค่อนข้างรุนแรง ถ้าทำอย่างนี้ คิดว่าจะปราบได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ก่อนที่กฎหมายนี้จะออก เราได้ออกมาตรการที่จะทำให้ปัญหานี้บรรเทาเบาบาง คือ คนที่จะทำ ต้องมาลงทะเบียนก่อน”นายพิชัย กล่าว

นายพิชัย กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาจะพบว่าในหลายๆเคสที่เป็นเรื่องใหญ่ๆ เสียหายกันทีเป็นหมื่นๆล้าน แล้วบางทีก็มองเห็นอยู่ว่าเกิดตอนบ่าย เราจะสกัด แต่ถึงตอนเย็นแล้ว ก็สกัดไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น เคส MORE และเคส STARK เกิดความเสียหายเยอะ ดังนั้น ในฐานะที่เป็นสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หรือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เป็นคนดูแล และเห็นอยู่หากมีการกำกับและเข้าไปดูแลอะไรๆได้ ก็จะป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้

“แล้วเราจะมีการตั้งคำถามว่า ทำไมเราไม่รู้ก่อน รายงานสอบบัญชีเป็นอย่างไรนะ คนออกรายงานสอบบัญชีดูเรียบร้อยไหม ผู้สอบบัญชีเป็นอย่างไร ที่ปรึกษาทางการเงินทำไมออกรายงานอย่างนี้ ผู้ประเมินมูลค่าทรัพย์สิน ทำไมออกมาอย่างนี้ ใช้เกณฑ์อะไร หน่วยงานที่จัดอันดับความน่าเชื่อถือ ใช้เกณฑ์อะไร ดังนั้น เราจึงอยากยกระดับผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน รวมถึงสำนักงานของผู้สอบบัญชีด้วย ตลอดจนเพิ่มบทบาทและสิทธิของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้” นายพิชัยระบุ

นายพิชัย กล่าวต่อว่า “อีกเรื่องหนึ่ง บางทีหุ้นก็ดี พื้นฐานก็ดี ผลประกอบการก็ดี แต่หุ้นลง เพราะมีข่าวว่าผู้หุ้นใหญ่บางรายนำหุ้นไปจำนองไว้ พอหุ้นลงมา ก็เกิด Forced Promote (บังคับขาย) สิ่งเหล่านี้ เราควรจะต้องกำหนดให้มีการเปิดเผยข้อมูลในระดับหนึ่ง สำหรับคนที่เอาหุ้นไปจำนองในระดับที่มีสาระสำคัญ นอกจากนี้ เราจะต้องเพิ่มมาตรการทางกฎหมาย เพื่อให้เราสามารถตรวจสอบในเรื่องการกระทำผิด และมีมาตรการยับยั้งความเสียหายด้วย

เช่น สมมติว่า เราพบเครื่องบ่งชี้ว่าจะมีการทุจริตโครงการขนาดใหญ่ มันแปลกๆ หาก ก.ล.ต. หรือ ตลท. เห็นว่าธุรกิจนี้ ไม่ควรซื้อขายกันอย่างนี้ มีการเอื้อประโยชน์ให้ผู้บริหารหรือไม่ ก.ล.ต.อาจเข้าไปยับยั้งตั้งแต่ต้น ไปใช้ปล่อยให้เกิดขึ้น และเรื่องสุดท้าย เมื่อ ก.ล.ต.ดูแล้ว ก็คงต้องขอข้อมูล และมีการสอบสวน ดังนั้น ใน ร่าง พ.ร.ก.ฉบับนี้ จะให้ ก.ล.ต. สามารถเป็นพนักงานสอบสวนได้ แต่ในทางปฏิบัติจะต้องทำงานร่วมกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”

นายพิชัย ระบุว่า สิ่งที่จะได้จากการออก พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ เป็นการดูแลตลาดหลักทรัพย์ฯ และจะทำให้เกิดความเชื่อถือในประเทศ อีกทั้งมาตรการต่างๆภายใต้ พ.ร.ก.ดังกล่าว เป็นมาตรการที่สอดคล้องกับมาตรการในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐและเกาหลีใต้

ด้าน นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า การปรับปรุงกฎหมายในครั้งนี้ เป็นการปรับปรุงในหลาย ๆ มิติ ทั้งด้านการเพิ่มประสิทธิภาพเกี่ยวกับการกำกับดูแลการขายชอร์ตเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมโปร่งใส ด้านการกำกับผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุนเพื่อยกระดับการทำหน้าที่ตรวจสอบและป้องกันการทุจริตของบริษัทจดทะเบียน การรายงานข้อมูลการก่อภาระผูกพันในหลักทรัพย์เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับข้อมูลที่สำคัญ ครบถ้วนและเพียงพอเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน

ด้านมาตรการทางกฎหมายเพื่อยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมของบริษัทจดทะเบียน ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับในการบังคับใช้กฎหมาย โดยเพิ่มอำนาจในการทำคดีของ ก.ล.ต.

“ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้มีการดำเนินการในหลายด้านเพื่อยกระดับในการกำกับดูแล ให้มีความโปร่งใสและเป็นธรรมต่อทุกภาคส่วน รวมทั้งเตรียมความพร้อมบุคลากรด้านการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการปรับปรุงกฎหมายภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. เป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับการกำกับดูแล

โดยการออกเป็น พ.ร.ก. ตามที่ ครม. เห็นชอบจะช่วยให้การดำเนินการได้รวดเร็วมากขึ้น และเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนให้แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งเป็นรากฐานในการช่วยบรรเทาผลกระทบต่อตลาดทุนได้กรณีมีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ อีกทั้งการเสริมสร้างตลาดทุนไทยให้แข็งแกร่งยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย

สำหรับกรณีการเป็นพนักงานสอบสวนในคดีที่มี high impact ก.ล.ต. มีอำนาจในการทำคดีและเมื่อสรุปสำนวน เสร็จสิ้น จะนำส่งสำนวนและความเห็นไปยังพนักงานอัยการเพื่อพิจารณาสั่งฟ้องซึ่งเป็นไปตามหลักการ take a look at and steadiness ตามกระบวนการยุติธรรม

การดำเนินการดังกล่าว ก.ล.ต. สามารถบูรณาการพนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือพนักงานสอบสวนคดีพิเศษหรือเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการร่วมสอบสวนคดีโดยใช้ความเชี่ยวชาญมาช่วยให้กระบวนการบังคับใช้กฎหมายในกรณี high impact รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น” นางพรอนงค์ กล่าว

ขณะที่ นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ร่าง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. มีสาระสำคัญใน 7 ประเด็น ได้แก่ (1) การเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบและการกำกับดูแลการขายหลักทรัพย์โดยที่ยังไม่มีหลักทรัพย์อยู่ในครอบครอง (การขายชอร์ต) (2) การยกระดับการทำหน้าที่ของผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน เพิ่มความเข้มแข็งของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน

(3) การกำหนดสิทธิของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ให้ครอบคลุมถึงการดำเนินการแทนผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการและล้มละลาย (4) การรายงานข้อมูลการก่อภาระผูกพันในหลักทรัพย์ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. (5) การเพิ่มมาตรการทางกฎหมายเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบการกระทำความผิดและยับยั้งความเสียหายและการมอบหมายบุคคลอื่นจัดการทรัพย์สินที่ยึดอายัด

(6) การสอบสวนคดีที่อาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นในระบบตลาดทุนหรืออาจมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และ (7) มาตรการการลงโทษกรณีมีการปฏิบัติฝ่าฝืนหรือไม่เป็นไปตามบทบัญญัติที่กำหนดไว้

“มาตรการทางกฎหมายดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือในการยับยั้งความเสียหายและบูรณาการการบังคับใช้กฎหมายระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายในการกระทำความผิดที่เป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจสามารถบรรลุผลได้อย่างแท้จริง อันจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมันให้นักลงทุนในตลาดทุนและช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและตลาดทุนให้กลับมามีเสถียรภาพได้อย่างรวดเร็ว” นายคารมกล่าว