รัฐบาลจีนจะส่งเครื่องบินมาที่สนามบินแม่สอดในวันพรุ่งนี้ (20 ก.พ.) เพื่อมารับคนจีนที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซนเตอร์ที่ถูกรวบที่เมืองชเวก๊กโก่ จังหวัดภรรยาวดี ประเทร่างม่า กลับไปดำเนินคดีที่ประเทศจีน เบื้องต้นล็อตแรกพรุ่งนี้ 200 คน นำมาซึ่งเสียงวิจารณ์ต่อรัฐบาลไทยในประเด็นการบังคับใช้กฎหมายไทยต่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้ไทยเป็นทางผ่านและมีเจตนาค้ามนุษย์ ที่อาจถูกตัดตอนโดยการทูตแบบพิเศษ ซึ่งอาจส่งผลทำให้ไทยไม่ได้รับเบาะแสเพื่อสาวไปยังแก๊ง ‘ไทยเทา’ ที่เกี่ยวข้องในขบวนการนี้
ชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก กล่าวว่า ขณะนี้ทางการจีนแจ้งว่าจะนำเครื่องบินมารับชาวจีนระหว่างวันที่ 20-22 ก.พ. โดยเรื่องของการคัดกรองผ่านกระบวนการกลไกการส่งต่อระดับชาติ (National Referral Mechanism: NRM) ของประเทศไทย เป็นเรื่องที่ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จะเป็นคนแจ้งมาทางจังหวัดว่าต้องทำอย่างไร ส่วนสถานที่ที่ใช้เป็นจุดส่งตัวคือสะพานมิตรภาพไทย – ภรรยานมาแห่งที่ 2 ซึ่งได้มีการเตรียมพร้อมสถานที่ไว้แล้ว
ภูมิธรรมแถลงท่าทีไทย หลังหารือเรื่อง 4 ข้อเสนอของจีน
วันนี้ (19 ก.พ.) มีการหารือกันของ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับ หลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เรื่องแนวทางการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ฝ่ายจีนเสนอแนวทาง 4 ข้อ เพื่อร่วมมือกับไทยและพม่าในการจัดการกลุ่มอาชญากรรม
รมว.ภูมิธรรม แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนหลังจากการพูดคุย มีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้
1. เสริมสร้างกลไกไตรภาคี ไทย-จีน-พม่า ภายใต้กฎหมายอธิปไตยของแต่ละประเทศ โดยไทยจะเป็นเจ้าภาพประชุมเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติ
ภูมิธรรม: ได้ยืนยันไปว่าเราเห็นพ้อง และเราก็เชื่อว่ากลไกไตรภาคีเป็นความร่วมมือของ 3 ประเทศที่จะแก้ปัญหานี้ได้ เรียนท่านไปว่าถ้าไม่มีอะไรที่คลาดเคลื่อนหรือเป็นปัญหา ภายในสัปดาห์หน้าน่าจะมีการจัดประชุมไตรภาคีขึ้น ขณะนี้ตนได้กระทรวงกลาโหมประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศแล้ว
2. มาตรการตัดไฟ อินเทอร์เน็ต และการส่งน้ำมัน ให้ไทยยังคงทำต่อไป เพราะจีนเห็นว่าเป็นมาตรการที่ได้ผลในการสกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์และได้รับการยอมรับจากนานาชาติ แม้พม่าจะขอให้ยกเลิก
ภูมิธรรม: เราจะยังคงมาตรการนี้ต่อไปจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าแก๊งคอลเซนเตอร์หมดไปอย่างมาก คำว่าหมดอาจพูดยาก แต่ต้องให้เห็นว่าไม่ก่อความทุกข์ยากให้ประชาคมโลกอีก
ส่วนจะให้เราตัดการส่งสินค้าข้ามพรมแดน เป็นเรื่องของกรมศุลกากร เราคงไปสกัดห้ามได้ยาก แต่ถ้าทางจีนให้การสนับสนุนไทยในเรื่องเครื่องตรวจ เครื่องเอกซเรย์ เรายินดีตรวจ ถ้ามีสิ่งผิดปกติ ก็สามารถเปิดตู้สินค้าได้เลย แต่ถ้าเกิดว่ามันไม่ใช่ เราจะต้องรับภาระที่เกิดขึ้น ข้อเสนอเรื่องการสนับสนุนเครื่องมือตรวจตราจีนรับไปพิจารณา และจะไปคุยกันต่อในการเจรจาไตรภาคี
เหตุผลที่ไม่ถึงกับปิดกั้นทั้งหมด เพราะไทยก็เป็นห่วงสถานการณ์ด้านมนุษยธรรม ทั้งฝั่งไทยและพม่าไม่ควรได้รับผลกระทบมากจนเกินไป อย่างกรณีของ รพ.ในภรรยาวดี ถ้ามีคนไข้ป่วยหนักจนจะถึงขั้นเสียชีวิต ให้ส่งมาที่ รพ.ใน จ.ตาก ได้ ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ต้องดูกันตามสภาพจริง
3. ปิดช่องโหว่อาชญากรข้ามแดน ห้ามเคลื่อนย้ายหรือหลบหนีไปตั้งฐานที่อื่น
ภูมิธรรม: ขณะนี้ได้ซีลชายแดน 2 ชั้น ทั้งเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์และยาเสพติด รวมทั้งจับการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ในฝั่งปอยเปต
4. อำนวยความสะดวกในการส่งคนจีนกลับประเทศ โดยจีนจะส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบข้อมูลและดูแลกระบวนการตั้งแต่ชายแดนจนถึงสนามบิน โดยขอให้ไทยสนับสนุนการรักษาความปลอดภัย
ภูมิธรรม: ในเรื่องของการส่งตัวคนจีนที่ประสบภัยครั้งนี้ จะมีพวกแก๊งคอลเซนเตอร์บ้าง ตามที่จับได้หรืออะไรต่างๆ โดยในชั้นต้นขณะนี้มีชาวจีนอยู่ที่ชายแดนแล้ว ผ่านการตรวจคัดกรองแล้วประมาณ 600 คน จะขอเครื่องบิน 3 เที่ยว เที่ยวละ 200 คน ห่างกันทุก 3 วัน
มีการพูดคุยกันเรื่องความยากลำบากในการส่งคนจีนกลับจากภรรยาวดีไปยังเมืองหลวง ซึ่งค่อนข้างอันตราย ทางจีนห่วงใยในเรื่องความปลอดภัย จึงเจรจาขอออกทางประเทศไทยโดยใช้แม่สอดโมเดล
ตนจึงให้เอาเฉพาะหน้าก่อน 600 คนนี้ ส่วนหลังจากนี้จะเอาอย่างไร ให้เป็นเรื่องขอการเจรจาไตรภาคี ทั้งนี้ทั้งนั้น เรามีเงื่อนไขว่า การจะเข้ามาขึ้นเครื่องบินในไทย ต้องผ่านกระบวนการคัดกรองและประสานงานให้เรียบร้อย ส่วนการตรวจสอบ เราจะทำ ถ้าไปถึงทางจีนแล้วมีการตรวจสอบพบเครือข่ายต่างๆ ที่เกี่ยวโยงกับเครือข่ายในไทย ทางจีนจะส่งให้เรา เพราะเป็นการร่วมมือกันในการขุดรากถอนโคน
ตัวเลขเหยื่อน่าสับสน สะท้อนปัญหากระบวนการคัดแยก
ล่าสุดวานนี้ (18 ก.พ.) ไทยพีบีเอสรายงานว่า กองกำลังพิทักษ์ชายแดนภรรยานมา (BGF) ประจำ จ.ภรรยาวดี นำกำลังทหาร BGF พร้อมอาวุธครบมือ เข้าไปในเมืองชเวโก๊กโก่ เพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ และขบวนการค้ามนุษย์ ยึดคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ คุมตัวชาวต่างชาติกว่า 1,000 คน ส่งให้ ตม.พม่าสอบคัดแยก เจ้าหน้าที่ BGF แจ้งว่า การเข้าตรวจค้นครั้งนี้ ปฏิบัติตามคำสั่งของ พล.ต.ชิต ตู ผู้บัญชาการกองทัพกะเหรี่ยงแห่งชาติ (KNA) หรือ เลขาธิการบีจีเอฟ
ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า ชาวต่างชาติจำนวนนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนจีน จะถูกส่งตัวจากภรรยาวดีมาทางแม่สอด เพื่อส่งกลับไปยังจีน
ย้อนไปเมื่อวันที่ 12 ก.พ. ที่ผ่านมา หรือครบ 1 สัปดาห์พอดี ชาวต่างชาติ 260 คน ได้รับการช่วยเหลือและถูกส่งตัวมาจากเมืองภรรยาวดี ประเทร่างม่า เมืองชายแดนซึ่งเป็นแหล่งรวมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าตัวเลขของเหยื่อ และคนที่สมัครใจไปมีทั้งหมดกี่คน
ก่อนหน้านี้การให้ข้อมูลจากภาครัฐเป็นไปอย่างสับสน ตำรวจไซเบอร์ระบุว่า ในบรรดาชาวต่างชาติจำนวนนี้ ส่วนใหญ่สมัครใจไป เหยื่อที่ถูกหลอกไปมีแค่ 1 คน แต่ต่อมาก็ได้ออกมาระบุว่า มีเหยื่อที่ถูกหลอกจำนวนมาก คนสมัครใจไปมีเพียง 2-3 คน พร้อมทั้งขออภัยที่ให้ข้อมูลผิดพลาด
ทั้งนี้ ชาวต่างชาติ 260 คน แบ่งได้เป็น 20 สัญชาติ ดังนี้
- สัญชาติฟิลิปปินส์ จำนวน 16 คน
- สัญชาติเคนยา จำนวน 23 คน
- สัญชาติแทนซาเนีย จำนวน 1 คน
- สัญชาติบราซิล จำนวน 2 คน
- สัญชาติเอธิโอเปีย จำนวน 138 คน
- สัญชาติปากีสถาน จำนวน 12 คน
- สัญชาติบังกลาเทศ จำนวน 2 คน
- สัญชาติเนปาล จำนวน 7 คน
- สัญชาติกัมพูชา จำนวน 1 คน
- สัญชาติศรีลังกา จำนวน 1 คน
- สัญชาติยูกันดา จำนวน 6 คน
- สัญชาติไต้หวัน จำนวน 7 คน
- สัญชาติลาว จำนวน 6 คน
- สัญชาติอินโดนีเซีย จำนวน 8 คน
- สัญชาติบุรุนดี จำนวน 2 คน
- สัญชาติไนจีเรีย จำนวน 1 คน
- สัญชาติกานา จำนวน 1 คน
- สัญชาติอินเดีย จำนวน 1 คน
- สัญชาติมาเลเซีย จำนวน 15 คน
- สัญชาติจีน จำนวน 10 คน
มีคนต่างชาติจำนวนมากในฝั่งพม่า
ขณะที่ความเคลื่อนไหวทางฝั่งบ้านช่องแคบ วานนี้ (18 ก.พ.) เดอะรีพอร์ตเตอร์ รายงานว่า กองกำลังกะเหรี่ยงประชาธิปไตย D.K.B.A. รวบรวมเหยื่อชาวต่างชาติ 405 คน และพร้อมส่งตัวกลับประเทศต้นทาง จำนวน 21 สัญชาติ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ 9 คน, เอธิโอเปีย 247 คน, เคนยา 36 คน, ยูกันดา 21 คน, ลาว 13 คน, ไลบีเรีย 5 คน, แคเมอรูน 2 คน, ศรีลังกา 13 คน, กานา 4 คน, ไนจีเรีย 4 คน, อินเดีย 1 คน, เซียร์ราลีโอน 5 คน, เนปาล 4 คน, อินโดนีเซีย 16 คน, ปากีสถาน 9 คน, บุรุนดี 2 คน, รวันดา 6 คน, มาเลเซีย 1 คน, ซิมบับเว 1 คน, บังกลาเทศ 3 คน และมาลาวี 3 คน
แรงกดดันจากจีนทำไทยขาดอิสระหรือไม่?
ปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์และการค้ามนุษย์บริเวณชายแดนไทย-พม่านั้นเป็นประเด็นมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่การแก้ปัญหาอย่างเอาจริงเอาจังของไทยที่มีมาตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเกิดขึ้นตามแรงกดดันของจีน
กัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม แสดงความคิดเห็นถึงกรณีล่าสุดที่ ทางการจีนขอไทยนำตัวชาวจีนไปดำเนินคดีที่จีนทันที หลังจากถูกส่งตัวผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ภรรยานมา จากชเวโก๊กโก่ ภรรยาวดี โดยไม่ผ่านกระบวนการใดๆ ของไทย อาจไม่ใช่เรื่องง่ายตามที่ตกลงกับจีน เพราะหน่วยงานไทย สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) อาจผิดกฎหมายมาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้
“ตามความตกลงไทย-จีนที่จะนำตัวคนจีนที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการนำพาและค้ามนุษย์ทันที โดยส่งตรงจากสนามบินแม่สอดไปจีนเลย โดยไม่ทำอะไร มันจะทำให้ไทยขาดข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ในการมัดตัวขบวนการชาวจีน และหลักฐานเชื่อมโยงขบวนการไทยเทา/ดำอีกด้วย และที่สำคัญอาจส่งผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตาม ม.157 อีก”
กัณวีร์ระบุต่อด้วยว่า ถ้าไทยยังยืนยันจะส่งกลับชาวจีนกลุ่มนี้ให้ได้ รมว.มหาดไทยต้องเสนอ ครม.ให้ใช้มาตรา 17 ของ พ.ร.บ.ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อยกเว้นการกระทำความผิดของคนจีนทั้งหมดเกี่ยวกับการเข้า-ออก-อยู่ อย่างผิดกฎหมายก่อน แล้วถึงส่งตัวได้
รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ ระบุว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้ามีการส่งตัวคนที่เคยอยู่ในแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับประเทศต้นทาง โดยที่ไม่ผ่านกระบวนการคัดแยกเหยื่ออาชญากร เพราะจะทำให้ไทยเราไม่มีข้อมูลสำคัญที่จะนำไปใช้เพื่อจัดการกับบรรดาอาชญากรต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่การทลายโครงสร้างอย่างถอนรากถอนโคน
“ถ้ากระบวนการของเราไม่แม้แต่เก็บข้อมูลอัตลักษณ์ หรือไบโอเมตริกซ์ ต่อไปในอนาคตพวกนี้ก็จะสามารถกลับมาที่ประเทศไทยได้ ทำราวกับว่าเรื่องพวกนี้ไม่เคยเกิดขึ้น และอาจจะรวมไปถึง อาจจะใช้พาสปอร์ตของสัญชาติอื่นเดินทางผ่านเข้าประเทศไทยเพื่อก่ออาชญากรรมต่อไป”
รังสิมันต์ระบุด้วยว่า ในวันพรุ่งนี้ ตนได้เชิญหน่วยงานมาพูดคุยในการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์หรือไบโอเมตริกซ์ รวมถึงการพูดคุยเพื่อปราบปรามไทยเทา
ภูมิธรรม เวชยชัย ชี้แจงประเด็นที่รังสิมันต์ออกมาเรียกร้องว่า ในการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล เจ้าหน้าที่รัฐทำอยู่แล้ว ส่วนการที่จีนจะเดินทางมาก็ไม่ได้เป็นการรุกล้ำอธิปไตยไทย เพราะในการเข้ามาก็ต้องขออนุญาตไทยก่อน เป็นการทำงานร่วมกัน พูดคุยกันมาตลอด
นพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวตอบข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่า การแก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ของไทยขาดอิสระเนื่องจากได้แรงกดดันจากจีน ว่าเป็นการมองที่ “คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง” และไม่ค่อยสร้างสรรค์เพราะภารกิจและอำนาจหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาในดินแดนของประเทศไทยนั้นย่อมเป็นเรื่องของรัฐบาลไทยโดยตรง แต่ปัญหาข้างต้นเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประชาชนหลายประเทศ ดังนั้น ทั้งไทย จีนและพม่าจึงได้ประสานความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการปกป้องคนไทยจากการหลอกลวงของพวกคอลเซ็นเตอร์ ยาเสพติดและปัญหาการค้ามนุษย์
ไทม์ไลน์ หลิว จงอี้ ลงพื้นที่ไทย-พม่า
14 ก.พ. 2568 หลิว จงอี้ เข้าพบ พล.ท.ตุน ตุน หม่อง รมว.มหาดไทยของพม่า ที่กรุงเนปิดอว์
16 ก.พ. 2568 หลิว จงอี้ ลงพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า ที่อำเภอแม่สอด ติดตามสถานการณ์การปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และมีรายงานว่า หลิว จงอี้ ได้เดินทางไปที่จังหวัดภรรยาวดีด้วย
รายการเจาะลึกทั่วไทยระบุว่า ในระหว่างการเดินทางเยือนภรรยาวดี หลิว จงอี้ได้พูดคุยกับ พล.ท.ตุน ตุน หม่อง รมว.มหาดไทยของพม่า และ พล.ต.ต.วิน ซอโม ผบ.ตำรวจพม่า
17 ก.พ. 2568 หลิว จงอี้ หารือกับ พล.อ.ไตรศักดิ์ อินทรรัสมี เลขาฯ รมว.กลาโหม ที่แม่สอด มีการนำคณะไปยังเมืองภรรยาวดี ประชุม 3 ฝ่ายร่วมกับ พล.ต.อ่อง จ่อ จ่อ รมช.มหาดไทย ภรรยานมา อีกทั้งยังไปดูการคัดกรองชาวต่างชาติที่นำตัวมาจากเมืองสแกมเมอร์
19 ก.พ. 2568 หลิว จงอี้ เข้าพบ ภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เพื่อสรุปการดำเนินการทั้งหมด
ทั้งนี้ จากกรณี ‘ซิงซิง’ ดาราจีนที่ถูกหลอกมาทำงานแก๊งคอลเซนเตอร์ที่กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก ทำให้ปลายเดือน ม.ค. หลิว จงอี้ เดินทางมาลงพื้นที่หลายแห่งในประเทศไทย ทั้งบริเวณแนวชายแดนไทย-พม่า ฝั่งอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และชายแดนไทย-ลาว-พม่า ฝั่งอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ซึ่งอยู่ตรงข้ามเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ของประเทศลาว
เมื่อต้นเดือน ก.พ. หลิว จงอี้ เข้าหารือ ภูมิธรรม ที่กระทรวงกลาโหม โดยก่อนหน้าการหารือเพียงไม่กี่ชั่วโมง ไทยก็มีคำสั่งตัดการจ่ายไฟฟ้าเมืองสแกมเมอร์ชเวโก๊กโก่ หลังจากที่อยู่ในสภาพโยนความรับผิดชอบกันไปมาอยู่หลายหน่วยงาน
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )