เปิดเส้นทางชีวิต พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จาก อดีต ผบ.ตำรวจ สู่ปม ส.ฟุตบอลแพ้คดีสยามสปอร์ต 360 ล้านบาท

ที่มาของภาพ : NurPhoto/Getty Shots
ชื่อของ พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตำรวจ) มักปรากฏในพาดหัวข่าวสำคัญ ๆ ในสื่อมวลชนมาตั้งแต่ก่อนที่เข้าจะขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบตำรวจ หลังเกษียณราชการในปี 2558 นายตำรวจผู้นี้ได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และได้ฉายาว่า “มือปราบบอลล็อก” หลังทำงานร่วมกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตำรวจ ช่วยกันกวาดล้างขบวนการล้มบอลครั้งใหญ่ในวงการฟุตบอลไทยได้
แต่มาวันนี้ อดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ผู้นี้กำลังเผชิญเผือกร้อนหลายประเด็น ซึ่งมาจากการบริหารงานในสมัยของเขา ซึ่งทาง.พยายามติดต่อไปยัง พล.ต.อ.สมยศ เพื่อจะขอคำชี้แจง แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับจนถึงตอนนี้
เส้นทางชีวิตของอดีตข้าราชการตำรวจผู้นี้เต็มไปด้วยสีสัน ซึ่งมาพร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็กลายเป็นที่พูดถึงในสังคมอีกครั้ง
หลังจากนางนวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ คนปัจจุบัน แถลงข่าวทั้งน้ำตาเตรียมที่จะฟ้องหลังจากในยุคของเขาทำให้เกิดข้อพิพาทกับบริษัทเอกชนเนื่องจากยกเลิกสัญญาอย่างไม่เป็นธรรมจนเป็นคดีฟ้องร้องในศาล และล่าสุด ศาลฏีกามีคำสั่งให้สมาคมฯ ต้องชดใช้เป็นเงินอย่างน้อย 360 ล้านบาท
นี่คือ 4 เรื่องราวที่น่าสนใจรวมทั้งประเด็นถกเถียงในสังคมเกี่ยวกับอดีตนายตำรวจผู้นี้
เรื่องแนะนำ
End of เรื่องแนะนำ
บริหารสมาคมฟุตบอลฯ ผิดพลาดจนนำมาสู่การแพ้คดีสูญเงิน 360 ล้านบาท

ที่มาของภาพ : สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย
นางนวลพรรณ ล่ำซำ หรือที่รู้จักในชื่อ “มาดามแป้ง” แถลงข่าวเมื่อ 11 มี.ค. สรุปผลงาน 1 ปี หลังเข้ารับตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ตั้งแต่ 20 ก.พ. 2567 โดยรับช่วงต่อจาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่ครองเก้าอี้นี้มาตั้งแต่ปี 2559
การแถลงข่าวยาวกว่า 70 นาที ซึ่งนอกจากการแถลงผลงานแล้ว เวลากว่าครึ่งหนึ่งถูกใช้กับการเปิดเผยถึงความไม่ชอบมาพากลต่าง ๆ ที่มาดามแป้งและ “คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินหนี้สิน” ของสมาคมฟุตบอลที่สภากรรมการชุดปัจจุบันตั้งขึ้น พบในการมารับช่วงตำแหน่งต่อจากสภากรรมการชุดของ พล.ต.อ.สมยศ
รายละเอียดต่าง ๆ ที่เธอ และนายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินหนี้สิน เปิดเผยในการแถลงข่าว อาทิ
1. คดีกับ บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน)
ศาลฎีกาเพิ่งตัดสินเมื่อ 6 มี.ค. ให้ “สยามสปอร์ต” ชนะคดียกเลิกสัญญาถ่ายทอดสด ในยุคที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ทำให้ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ในยุคของ “มาดามแป้ง” ต้องรับผิดชอบเสียค่าชดใช้เป็นจำนวนเงิน 360 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ซึ่งเมื่อรวม ๆ กันแล้วอาจเกิน 500 ล้านบาท
เงินจำนวนนี้ เธอเตรียมฟ้องเอากับ พล.ต.อ.สมยศ และ สภากรรมการชุดก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ที่ระบุว่า “ถ้าการกระทําตามหน้าที่ของผู้แทนของนิติบุคคลหรือผู้มีอํานาจทําการแทนนิติบุคคล เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น นิติบุคคลนั้นต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น แต่ไม่สูญเสียสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้ก่อความเสียหาย” ฐานฉีกสัญญากับสยามสปอร์ต ซึ่งคำพากษาศาลระบุว่าเป็นการกระทำที่ “ไม่ถูกต้อง”
2. ค่าทนายความ 30 ล้านบาท
ในการต่อสู้คดีที่สมาคมฯ ฟ้องกลับกับสยามสปอร์ตฯ สมาคมฯ ในยุคของ พล.ต.อ.สมยศ ได้ติดต่อทนายความและตกลงค่าใช้จ่ายการว่าความแล้วเรียบร้อย คือ ศาลชั้นต้น 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท และ ศาลฎีกา 300,000 บาท
ปรากฎว่าในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ มีการจ่ายเงินตามราคาที่ตกลงกัน แต่เมื่อถึงศาลฎีกา ที่สุดท้ายศาลไม่รับฟ้องนั้น สมาคมฯ จ่ายเงินให้ทนายความ 30 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มมาจากที่ตกลงกัน 100 เท่า โดยการจ่ายเงินดังกล่าว เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ และสภากรรมการชุดดังกล่าว จะหมดวาระในอีกไม่ถึง 1 เดือน

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
3. กู้เงินฟีฟ่า
สมาคมฯ ยุค พล.ต.อ.สมยศ เคยขอกู้เงินจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า เมื่อปี 2563 จำนวน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (155 ล้านบาท) เพื่อ “พยุงฟุตบอลไทยหลังเผชิญปัญหาโควิด” ซึ่งฟีฟ่าให้ผ่อนจ่ายคืน 10 ปี ตั้งแต่ 2564-2573 ปีละ 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ ข้ามมาถึงยุคมาดามแป้งต้องร่วมชดใช้
4. ขายข้อมูลให้บริษัทต่างชาติ
ตามการแถลงข่าวของนางนวลพรรณได้ระบุว่า สมาคมฯ ในยุค พล.ต.อ.สมยศ เคยขายสิทธิ “การวิเคราะห์ข้อมูล” (Data Prognosis) และ “สิทธิการเดิมพัน” (Betting Rights) ของทีมชาติไทย ไปจนถึงปี 2571 ให้กับบริษัทจากมาเลเซีย ซึ่งมาดามแป้งพยายามขอซื้อคืนเพราะไม่อยากให้ข้อมูลรั่วไหล แต่บริษัทไม่ขายคืนให้
5. รับเงินเดือนหลักล้าน
พล.ต.อ.สมยศ รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ซึ่งผิดจากการตีความของสำนักงานกฤษฎีกาว่า “นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ไม่สามารถรับเงินเดือนหรือค่าจ้างได้ เพราะไม่ใช่ลูกจ้างของสมาคม… แต่เป็นการอาสาเข้ามาทำงาน” โดยเขาตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง 5 แสนบาท และยังรับเงินอีกทาง ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีก 5 แสนบาท รวมเดือนละ 1 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมโบนัส
ในการแถลงข่าว นางนวลพรรณ ระบุว่า พล.ต.อ.สมยศ เคยออกมายอมรับว่ารับเงินเดือนจริง หลังจาก การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เข้ามาตรวจสอบกรณีดังกล่าว แต่บริจาคคืนให้สมาคมไป 32 ล้านบาทแล้ว ซึ่งเธอกำลังให้ “ฝ่ายบัญชี” ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ แต่ยังไม่พบข้อมูลปรากฏว่ามีการบริจาคเงินจำนวนดังกล่าวให้กับสมาคมฯ จริง
เปิดเส้นทางสู่อำนาจ

ที่มาของภาพ : เว็บไซต์ศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร
จากฐานข้อมูลศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร ระบุว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนท่าเรือนิตยานุกูล จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นเข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนพรตพิทยพยัต ก่อนก้าวเข้าสู่โรงเรียนเตรียมทหาร (รุ่นที่ 15) และสำเร็จการศึกษาโรงเรียนนายร้อยตำรวจ (รุ่นที่ 31)
เขายังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต ม.รามคำแหง, ระดับปริญญาโท ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต ม.ปูน่า ประเทศอินเดีย, และสำเร็จปริญญาเอกดุษฏีบัณฑิต สาขาบริหารงานยุติธรรมและสังคม จาก ม.ราชภัฎสวนดุสิต
เขาเริ่มรับราชการตำรวจครั้งแรกในปี 2521 ตำแหน่งรองสารวัตรสอบสวน สน.พระโขนง จากนั้นทำงานทั้งในสายงานจราจรและสายงานสืบสวนประจำสถานีตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล และขึ้นเป็นผู้กำกับการกองวิชาการในปี 2538 ตามด้วยตำแหน่งรองผู้บังคับการชุดตรวจงานอำนวยการ ส่วนตรวจราชการ 1 สำนักงานจเรตำรวจในปี 2540
ต่อจากนั้น นายตำรวจผู้นี้เริ่มรับตำแหน่งสูงขึ้นในสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จนได้ขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตามมาด้วยผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

ที่มาของภาพ : Getty Shots
ในปี 2552 พล.ต.ท.สมยศ (ยศในขณะนั้น) ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตำรวจ) และได้รับการแต่งตั้งจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตำรวจ) ในขณะนั้น ให้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนชุดคลี่คลายคดีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมปิดล้อมท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง จากเดิมที่เคยอยู่ในมือของ พล.ต.ท.วุฒิ ผู้ช่วย ผบ.ตำรวจ
นี่เป็นเพียงหนึ่งในกรณีที่ทำให้เขาถูกมองว่ามีความสนิทสนมกับ พล.ต.อ.พัชรวาท รวมถึงครอบครัววงษ์สุวรรณ ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นพี่ใหญ่
เมื่อดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เขายังได้รับการแต่งตั้งเป็น ผอ.ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งดูเรื่องน้ำมันเถื่อนโดยเฉพาะ รวมถึงได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานด้านความมั่นคงทั้งหมด เช่น เหตุsะเบิดในช่วงชุมนุมทางการเมืองระหว่างปี 2556-2557 จำนวน 33 คดี สามารถดำเนินการสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดในคดีต่าง ๆ ได้หลายราย โดยเฉพาะคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพซึ่งนำไปสู่การออกหมายจับนายจักรภพ เพ็ญแข, พันเอกอภิวันท์ วิริยะชัย อดีตแกนนำคนเสื้อแดงและอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ชุดที่ 24 ซึ่งตรงกับสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, นายวุฒิพงษ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ , นายเอกภพ เหลือรา หรือ ตั้ง อาชีวะ เป็นต้น
ในที่สุด พล.ต.อ. สมยศ ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ตำรวจ คนที่ 10 เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2557 ในช่วงรัฐบาลภายใต้การนำของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งขึ้นมามีอำนาจหลังรัฐประหารรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์
ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองเสื้อสี ช่วงหนึ่งในคำกล่าวพิธีรับตำแหน่ง ผบ.ตำรวจ เขาบอกว่า “ประชาชนคาดหวังอะไรไว้ ตำรวจ จะต้องทำในสิ่งที่ประชาชนคาดหวัง เพราะเราเป็นข้าราชการกินเบี้ยเลี้ยง กินเงินเดือน กินเงินภาษีของประชาชน ไม่มีสี ไม่มีฝ่าย ตำรวจมีสีเดียวคือสีกากี เป็นสีของแผ่นดิน เป็นตำรวจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
รวมคดีดังสร้างชื่อ

ที่มาของภาพ : Getty Shots
คดีฆาตกรรมนักท่องเที่ยวบนเกาะเต่า
ในปี 2557 ขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ เป็นว่าที่ ผบ.ตำรวจ ได้เกิดคดีฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ 2 คน บนหาดทรายรีของเกาะเต่า อ.พะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ในเดือน ก.ย. โดยผู้เสียชีวิตคือ น.ส ฮันนาห์ วิตเธอริดจ์ และ นายเดวิด มิลเลอร์ ซึ่งข่าวนี้ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนต่างประเทศเป็นอย่างมาก
เขาได้นำสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าตำรวจไทยจะคลี่คลายคดีนี้ได้โดยเร็ว
คดีดังกล่าวได้รับความสนใจเนื่องจาก มีการไล่ตรวจดีเอ็นเอจากคนบนเกาะกว่า 200 คน เพื่อนำมาเทียบกับดีเอ็นเอต้นฉบับของผู้เสียชีวิตที่พบในที่เกิดเหตุ ในที่สุดผลการสอบสวนของตำรวจไทยระบุว่า ชาวภรรยานมา 2 ราย ซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าว สัญชาติภรรยานมา คือผู้ต้องสงสัยคดีนี้ แต่สื่อต่างประเทศ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายต่างวิจารณ์การทำงานของตำรวจไทยอย่างกว้างขวางว่าเร่งรัดและพยายามหาผู้รับผิด เนื่องจากกังวลว่าเหตุฆาตกรรมดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยว
คดีนี้มีปมคำถามมากมาย หนึ่งในนั้นคือปมความถูกต้องเรียบร้อยในกระบวนการจัดเก็บหลักฐานจากที่เกิดเหตุ ซึ่งสำนักข่าวรอยเตอร์และบีบีซีเคยรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบการสอบสวนในช่วงแรกได้ทำดีเอ็นเอต้นฉบับหายไป ซึ่งต่อมา พล.ต.อ.สมยศออกมาปฏิเสธเกี่ยวกับประเด็นนี้

ที่มาของภาพ : Piti A Sahakorn/Getty Shots
ขณะที่จำเลยชาวภรรยานมาทั้งสองคนก็ออกมาเปิดเผยผ่านทนายความว่าระหว่างที่มีการเข้าจับกุม ผู้ถูกจับไม่ได้รับแจ้งสิทธิ ไม่มีการระบุข้อหา และในระหว่างการสอบสวนก็ไม่มีทนายไปนั่งฟังการสอบสวน รวมทั้งขณะที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนั่งพิมพ์เอกสารซึ่งให้จำเลยลงชื่อนั้นก็ไม่มีการสอบถามใด ๆ เพียงแต่ให้พวกเขานั่งลง แล้วล่ามและตำรวจก็พูดคุยกัน พิมพ์เอกสารจนเสร็จ แล้วให้จำเลยลงลายมือชื่อโดยไม่ได้อ่านและไม่ได้แปลให้ฟังแต่อย่างใด
นอกจากนี้ พวกเขายังร้องเรียนว่าถูกซ้อมทำร้ายร่างกายขณะถูกตำรวจควบคุมตัวด้วย เพื่อให้รับสารภาพ
อย่างไรก็ตาม จำเลยชาวภรรยานมาทั้งสองคนถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานสังหารคนโดยเจตนาและถูกตัดสินประหารชีวิต ซึ่งทางทนายของพวกเขาต่อสู้คดีไปจนถึงศาลฏีกา แต่ไม่เป็นผล จากนั้นในปี 2563 ผู้ต้องหาได้รับอภัยโทษเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จนเหลือโทษเป็นจำคุกตลอดชีวิต
คดี พงศ์พัฒน์กับพวก แอบอ้างเบื้องสูงเพื่อผลประโยชน์
ในวันที่ 12 พ.ย. ปีเดียวกัน พล.ต.อ. สมยศ เปิดปฏิบัติการทลายเครือข่าย “พงศ์พัฒน์” โดยนำทีมแถลงข่าวจับกุม พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) พร้อมพวกรวม 12 คน ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและคดีอาญาร้ายแรงหลายความผิด
พร้อมกันนี้ ฝ่ายความมั่นคงยังบุกค้นบ้านอดีต ผบช.ก. และเครือข่ายรวม 15 จุด ยึดทรัพย์สินได้ราว 2 พันล้านบาท

ที่มาของภาพ : Getty Shots
พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ถูกสั่งให้ออกจากราชการเมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2557 หลังมีหมายจับพร้อมพวก ก่อนถูกถอดยศตํารวจและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ในอีก 1 เดือนหลังจากนั้น
ทั้งนี้ นายพงศ์พัฒน์มีศักดิ์เป็นน้าของ พล.ต.หญิง ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี อดีตพระวรชายาของในหลวงรัชกาลที่ 10 ครั้งยังดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
นอกจากนี้ เขายังเป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนนายร้อยตำรวจ กับ พล.ต.อ.สมยศ ด้วย โดยในการแถลงข่าวการจับกุมนายพงศ์พัฒน์
ทาง พล.ต.อ.สมยศ บอกว่า “ผมไม่ทราบว่า ผู้บังคับบัญชาในอดีตคิดอย่างไร แต่ในยุคสมัยของผมหนึ่งปีที่อยู่ในตำแหน่ง ผบ.ตำรวจ ใหญ่แค่ไหนก็จับ ผมจะไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพื่อเป็นการวางมาตรฐานให้ผู้ที่จะมาเป็น ผบ.ตำรวจต่อจากผม ยึดเป็นมาตรฐานในการปฏิบัติหน้าที่ และวางกรอบสร้างคุณธรรม ธรรมาภิบาลขึ้นใหม่ ในกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง” ซึ่งเป็นที่มาเจ้าของวลี “ใหญ่แค่ไหนก็จับ” ในเวลาต่อมา
เมื่อตกเป็นจำเลยเสียเอง ปมเอื้อประโยชน์คดี บอส กระทิงแดง
เดือน ส.ค. ปีที่แล้ว วัยเกษียณของอดีต ผบ.ตำรวจ ยังต้องเผชิญกับการขึ้นโรงขึ้นศาล เนื่องจากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางรับฟ้องคดีที่เขาและพวกรวม 8 คน ตกเป็นจำเลยกรณีใช้อำนาจช่วยเหลือคดี นายวรยุทธ วิทยา หรือ บอส กระทิงแดง ทายาทมหาเศรษฐี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ จนเสียชีวิตเมื่อปี 2555
คดีดังกล่าวทางอัยการสูงสุดมีความเห็นส่งฟ้องตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช ที่ขอให้ดำเนินคดีอาญา ฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และพวก ซึ่งถูกดำเนินคดีในข้อหาแตกต่างกัน หลัก ๆ คือคดีที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสำนวนคดีและความเร็วรถของนายวรยุทธ
คดีดังกล่าวยังอยู่ในกระบวนการของศาลคดีทุจริตฯ โดยทาง พล.ต.อ.สมยศ และพวก ต่างปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
วลีเด็ด “อาชีพตำรวจเป็นไซด์ไลน์”
ในปี 2561 มีการทลายเครือข่ายแหล่งค้ามนุษย์ในสถานอาบอบนวดวิคตอเรีย ซีเครท ซึ่งส่งผลให้ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) มีมติให้ยึดและอายัดทรัพย์สินคดีค้ามนุษย์วิคตอเรีย ซีเครท รวม Forty five รายการ มูลค่ากว่า 463 ล้านบาท
ส่วนความผิดฐานคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ รวมถึงความผิดอื่น ๆ ทำให้มีการออกหมายจับนายกำพล วิระเทพสุภรณ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า เสี่ยกำพล ซึ่งเป็นเจ้าของบริการ รวมถึงบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ สอบสวนเส้นทางการเงินของเสี่ยกำพล พบว่าเชื่อมโยงกับ พล.ต.อ.สมยศ ซึ่งในเวลาต่อมา อดีต ผบ.ตำรวจ ออกมายอมรับว่ารู้จักนายกำพลจริง และเคยยืมเงิน 300 ล้านบาทจากเจ้าของสถานประกอบการวิคตอเรียซีเครท โดยไม่ทราบว่าเงินนั้นได้มาจากธุรกิจใด แต่รู้จักนายกำพลมานานกว่า 20 ปี แล้ว เนื่องจากเพื่อในวงการพระเครื่องแนะนำกันมา ซึ่งการยืมเงินจำนวน 300 ล้านบาทนั้น ทาง พล.ต.อ.สมยศ ได้แจ้งต่อคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็น ผบ.ตำรวจ ไปแล้ว พร้อมกับปฏิเสธว่าไม่ใช่การฟอกเงิน
ในการสัมภาษณ์กับรายการ เจาะลึกทั่วไทย Interior Thailand ในวันที่ 7 ก.พ. 2561 พล.ต.อ.สมยศ พยายามชี้แจงว่ากรณีที่ถูกกล่าวหาว่ามีความเชื่อมโยงกับคดีวิคตอเรีย ซีเครท เป็นเงินจำนวนมากนั้น ตนเองไม่เคยรับส่วยผิดกฎหมาย ไม่เคยได้รับเงินจากผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะเขามีรายได้จากการทำธุรกิจและลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นหลัก จนหลุดคำพูดออกมาว่า
“ตลอดชีวิตรับราชการของผม เกือบจะเรียกได้ว่าอาชีพตำรวจนี่ถือว่าเป็นไซด์ไลน์ อาชีพหลัก ๆ ผมคือทำธุรกิจ ซึ่งคนในแวดวงธุรกิจรู้เรื่องดี โดยเฉพาะเรื่องหุ้นผมนิยมมาก ผมมีรายได้ ผลกำไรจากการเล่นหุ้น และก็เสียหายเพราะการเล่นหุ้นเช่นกัน”
ส่งผลให้ พล.ต.อ.สมยศ ต้องออกมาชี้แจงขอโทษเพื่อนร่วมอาชีพตำรวจ โดยบอกว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจดูถูก ดูหมิ่น อาชีพที่เขา “รักและภาคภูมิใจ” แต่อย่างใด

ที่มาของภาพ : Lillian Suwanrumpha/AFP/Getty Shots
ล่าสุด สำนักข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” เปิดพอร์ตหุ้น 11 บริษัท ที่อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรายนี้ถือครอง พบว่ามีมูลค่าหุ้นรวมกว่า 730 ล้านบาท
โดยบริษัทที่เขาถือหุ้นอยู่ มีทั้งบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ ด้านโทรคมนาคม ด้านการเกษตร ไปจนถึงบริษัทโฮลดิ้ง และบริษัทที่ประกอบกิจการค้าขายต่าง ๆ อาทิ ก๊าซปิโตรเลียม เคมีภัณฑ์ เครื่องบริโภค และอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ รวมถึงกิจกรรมการบริการอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม หากย้อนไปขณะที่เขาแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) เมื่อครั้งพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในปี 2561 “สำนักข่าวอิศรา” รายงานว่า พล.ต.อ.สมยศ แจ้งมีทรัพย์สินกว่า 262.8 ล้านบาท
โดยทรัพย์สินส่วนใหญ่ เป็น “เงินให้กู้ยืม” จำนวน 109 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีเงินลงทุนกว่า 74 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นที่ดิน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง เงินฝาก ยานพาหนะ และทรัพย์สินอื่น ๆ อาทิ นาฬิกา พระเครื่อง โดยเขามีหนี้สิน 3.3 ล้านบาท
ขณะนั้น พล.ต.อ.สมยศ ยังแจ้งมีรายได้รวมกว่า 11 ล้านบาท โดยมีรายได้จาก สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย 3.6 ล้านบาท และจากบริษัท ไทยลีก จำกัด 2.6 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา และบริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด
โดยมีรายจ่ายรวม 20 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว 12 ล้านบาท และเงินบริจาคทำบุญหรือเกี่ยวกับการกุศล 8 ล้านบาท
ส่วนนางพจมาน พุ่มพันธุ์ม่วง คู่สมรส มีทรัพย์สินกว่า 95.8 ล้านบาท และไม่มีหนี้สิน รวมทั้งคู่มีทรัพย์สินกว่า 358 ล้านบาท
ที่มา BBC.co.uk