แชร์ลิ้งค์นี้ : https://ด่วน.com/0ius | ดู : 11 ครั้ง
รวม-11-ข้อความรู้พื้นฐานในการทำความเข้าใจข้อพิพาทเขตแดนไทย-ก

รวม 11 ข้อความรู้พื้นฐานในการทำความเข้าใจข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา ระลอกล่าสุดนับตั้งแต่เกิดการปะทะกันช่วงสั้นๆ ที่ ‘ช่องบก' เมื่อปลาย พ.ค.ที่ผ่านมา ทั้งแง่มุมที่มาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และกลไกระหว่างประเทศที่เรากำลังเผชิญแรงกดดันจากกัมพูชาอยู่

เรื่องราวข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชายังไม่น่าจะจบง่ายๆ นักจากเหตุการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา ในการปะทะที่ ‘ช่องบก’ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี จะผ่านมาสักระยะหนึ่งแล้ว นับตั้งแต่เมื่อ 28 พ.ค. 2568 เป็นต้นมา

แม้ว่าเมื่อ 14 มิ.ย. 2568 ทางรัฐบาลไทย-กัมพูชาจะมีความคืบหน้าในเรื่องการปักปันเขตแดนของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) จะได้กลับมาติดเครื่องเดินหน้าอีกครั้งในรอบ 12 ปี

เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลกัมพูชา ได้ทำหนังสือแสดงเจตนารมณ์ นำเรื่องเข้าสู่กระบวนการของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ICJ ในกรณีข้อพิพาทเขตแดน 3 ปราสาท บวก 1 พื้นที่ ประกอบด้วย 1. ปราสาทตาเมือนธม 2. ปราสาทตาเมือนโต๊ด 3. ปราสาทตาควาย โดยทั้ง 3 ปราสาทอยู่ในจังหวัดสุรินทร์ และ 1 พื้นที่ คือ พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ซึ่งภาษาเขมรเรียกว่า ‘มุมไบ’ ชายแดนฝั่งจังหวัดอุบลราชธานี

ขณะที่ทางการไทยยังคงยืนยันหนักแน่นว่า ‘ไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลกเด็ดขาด’ และจะแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเขตแดนผ่านคณะกรรมาธิการ JBC ควบคู่ไปกับ 2 กลไก ประกอบด้วย คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) และคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และยึดมั่นการทำงานปักปันเขตแดนตามข้อตกลงร่วม MOU43

สำหรับการประชุมครั้งถัดไป ฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุม JBC สมัยพิเศษ ซึ่งจะมีขึ้นในช่วง ก.ย. 2568

ปัจจุบันสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาก็ยังคงตึงเครียด กองทัพไทยพยายามกดดันกัมพูชาโดยการปิดด่าน และจำกัดเวลาเปิด-ปิดชายแดน เพื่อจัดการตามนโยบายปราบปรามแหล่งสแกมเมอร์ในกัมพูชา

เช่นเดียวกับที่ฮุนมาเนต ผู้นำของกัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2568 ออกมาตอบโต้ โพสต์คำสั่งปิดด่านบ้านจุ๊บโกกี อ.บันเตียอัมปึล จ.อุดรมีชัย (ตรงข้ามด่านช่องสายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์) จนกว่าไทยจะเปิดช่องสายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ หลังได้รับแจ้งจากฝั่งกองทัพไทยมีการปิดด่านนี้อย่างไม่มีกำหนด และกัมพูชาได้ออกคำสั่งให้ปิดช่องจวม อ.อัลลงเวง จ.อุดรมีชัย (ตรงข้ามช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ)

ในวันเดียวกัน กัมพูชา ได้ออกมาตรการระงับการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซทุกชนิดจากไทย ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปแล้วตั้งแต่เวลา 00.00 น. ของ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยทางการกัมพูชา มั่นใจว่า การระงับการนำเข้าจะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบจำหน่าย และสถานการณ์ความมั่นคงด้านเชื้อเพลิงของประเทศตนเอง

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-กัมพูชายังคงดำเนินอยู่ และดำเนินต่อ ประชาไทอยากชวนอ่านคั่นเวลา 11 ข้อที่ต้องรู้ เพื่อทำความเข้าใจเรื่องข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา ในหลายมิติทั้งประเด็นทางประวัติศาสตร์อันเป็นจุดเริ่มต้นของการปักปันเขตแดน วิธีการระงับข้อพิพาทตามหลักสากล ไปจนถึงข้อสันนิษฐานหลักฐานที่กัมพูชาจะใช้พิชิตชัยในศาลโลกกรณีข้อพิพาท 3 ปราสาท และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต

1.อะไรคือการกำหนดเขตและปักปันเขตแดน ?

เพื่อให้เข้าใจกระบวนการปักปันเขตแดน อาจารย์อินทัช ศิริวัลลภ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในระหว่างเสวนา “งาน ฬ. จุฬาฯ นิติมิติ” ประเทศไทยกับการระงับข้อพิพาทที่ศาลโลก แต่ว่าก่อนที่จะพูดถึงเรื่องที่มาที่ไปของ JBC นั้นเราควรมาคุยกันก่อนว่า การกำหนดเขตแดน (Delimitation) และการปักปันเขตแดน (Demarcation) มีความแตกต่างกันอย่างไร

“การกำหนดเขตแดน” หรือบางคนใช้คำว่า “ปักปันเขตแดน” (Delimitation) คือเวลาที่ 2 ประเทศเป็นประเทศเพื่อนบ้าน เขาต้องการที่จะหารั้วกั้นหาเขตแดน เพื่อที่จะแบ่งดินแดนของ 2 ประเทศออกจากกัน วิธีการคือผู้แทนทั้ง 2 ประเทศมานั่งบนโต๊ะเจรจากัน และเมื่อคุยกันบนโต๊ะแล้ว เขาจะได้เอกสารฉบับหนึ่งที่ระบุว่าให้อ้างอิงจุดไหน ตรงไหนเป็นแนวเขตระหว่าง 2 ประเทศนี้ เช่น ‘สันปันน้ำ’ เทือกเขา สันเขา เป็นต้น

ผลที่ได้ออกมาคือเอกสารในรูปแบบแผนที่ภูมิประเทศ 2 ประเทศ และมีการลากเส้นคร่าวๆ แต่อย่างไรก็ตาม กระบวนการนี้คือการหารือบนโต๊ะเจรจาเท่านั้น แต่ยังไม่มีการลงไปดูสถานที่จริงๆ ว่าเส้นเขตแดนเป็นอย่างไร เพื่อให้หลักเส้นเขตแดนมีความชัดเจน และถูกต้องมากที่สุด ก็ต้องมีการตั้งคณะทำงานเพื่อลงไปสำรวจภูมิประเทศ

เมื่อคุยบนโต๊ะเจรจาแล้ว จะมีการปักหลักเขตลงไปว่าเส้นเขตแดนจะอยู่บริเวณไหนบ้าง จากนั้น จะเป็นขั้นตอนที่ 2 คือ “การปักปันเขตแดน” หรือบางคนใช้คำว่า “ปักหมุดเขตแดน” (Demarcation) การปักปันก็จะมีคณะของ 2 ประเทศลงไปดูด้วยกัน และแลกเส้นเขตแดนของแต่ละหมุดต่อกัน เพื่อให้เส้นเขตแดนมีความละเอียดและชัดเจน

พอลากเส้นหลักเขตแดนต่อหลักเขตแดนครบทั้งหมดแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็จะนำเอาแผนที่นี้ไปเสนอให้กับคณะกรรมการร่วมของ 2 ประเทศในการพิจารณาให้ความเห็นชอบ และเมื่อเห็นชอบทั้งหมดแล้ว ก็จะกลายมาเป็นเส้นเขตแดนโดยสมบูรณ์ภายใต้การยอมรับของทั้ง 2 ประเทศนั่นเอง

หมายเหตุในการงานชิ้นนี้จะใช้คำว่า “การกำหนดเขตแดน” (Delimitation) และ “การปักปันเขตแดน” (Demarcation) เป็นหลัก

2. ย้อนประวัติศาสตร์ จุดเริ่มต้นของการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา

การเริ่มกำหนดเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ต้องย้อนประวัติศาสตร์ไปประมาณ 100 กว่าปีที่แล้ว ในยุคสมัยอาณานิคม เมื่อปี พ.ศ. 2446 (ค.ศ. 1904) ประเทศไทยได้ทำอนุสัญญาสยาม-อินโดจีนฝรั่งเศส ฉบับที่ 13 ก.พ. 2446 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 โดยมีใจความสำคัญให้สยามสละดินแดนประเทศราช ไซยะบูลี จำปาศักดิ์ และเมืองมโนไพร และให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการผสมสยาม-อินโดจีน เพื่อกำหนดหรือปักปันเขตแดน โดยใช้ ‘สันปันน้ำ' ในการแบ่งเขตแดน

  • สันปันน้ำ คืออะไร พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน นิยาม ‘สันปันน้ำ’ คือที่สูงหรือสันเขาที่แบ่งน้ำออกเป็น 2 ฝ่าย แต่ถ้า ‘สันปันน้ำในการแบ่งเส้นเขตแดนระหว่างประเทศ’ คือที่สูงหรือสันเขาที่แบ่งน้ำออกเป็น 2 ฝ่ายที่ต่อเนื่องกัน คำว่า “ต่อเนื่องกัน” คือขีดจากจุดที่ 1 ถึงจุดสุดท้ายต้องไม่ขาดสายกัน อย่างไรก็ดี กรณีที่มีสันปันน้ำหลายสัน ให้ดูจากสันปันน้ำที่ต่อเนื่องกัน ซึ่งสันปันน้ำที่ต่อเนื่องอาจจะไม่ได้เป็นแนวเทือกเขาที่สูงที่สุด

ในอนุสัญญาเมื่อปี 2446 ได้มีการตั้งคณะกรรมการฯ โดยมีประธานฝ่ายสยามคือ ‘พลตรีหม่อมชาติเดชอุดม' (บิดาของหม่อมหลวงบัว กิติยากร พระราชชนนีในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ) และฝ่ายฝรั่งเศส คือ พันเอกแบร์นาร์ด

จากนั้นในปี 2450 (ค.ศ. 1907) เกิดสนธิสัญญาใหญ่ ซึ่งมีสาระสำคัญคือการที่สยามแลกเปลี่ยนดินแดนระหว่างเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ (อยู่ในเขตดินแดนเขมรตอนใน) กับฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงของฝรั่งเศส ปัจจุบันก็คือจังหวัดจันทบุรี และเมืองตราด ผลจากการแลกเปลี่ยนดินแดน นำมาสู่การจัดตั้งคณะปักปันเขตแดนผสมอินโดจีนและสยาม 1 ชุด โดยมี พลเอกพระองค์เจ้าบวรเดช เป็นประธานฝ่ายสยาม และมองกีแยร์ ประธานฝ่ายฝรั่งเศส

ผลจากอนุสัญญา ปี 2446 และสนธิสัญญา ปี 2450 นำมาสู่การจัดทำแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 เพื่อกำหนดแนวเขตเดินสันปันน้ำ และเสร็จสิ้นเมื่อปี 2451 โดยแผนที่มีทั้งหมด 11 ระวาง คือระวางเหนือ (North Position) จำนวน 5 ระวาง และระวางใต้ (South Position) จำนวน 6 ระวาง แต่ว่าหลังจากไทยแลกเปลี่ยนดินแดนกับฝรั่งเศสเมื่อปี 2450 ทำให้มีการยกเลิกแผนที่จำนวน 3 ระวางในภูมิภาคใต้ ได้แก่ Phnom Kulen, Lake และ Muang Trat

ทั้งนี้ ต้องบอกว่าการจัดทำแผนที่ 1:200,000 มีจุดมุ่งหมายในการบอกตำแหน่งแนว ‘สันปันน้ำ' อยู่ตรงไหน อย่างไร เท่านั้น

แผนที่ระวาง ดงรัก (Dangrek) มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งเป็นแผนที่ 1 ใน 11 ระวางที่สยามจัดทำร่วมกับฝรั่งเศส (ที่มา: ICJ/National Library of Australia)

โดยเราจะเห็นสัญลักษณ์กากบาท เพื่อแสดงให้เห็นเส้นทางของสันปันน้ำ

ในระหว่างปี 2451-2452 คณะกรรมาธิการร่วมฯ ได้มีการเริ่มเดินสำรวจปักปันเขตแดน หรือการปักหมุดเขตแดน (Demarcation) ตรงสันปันน้ำ จำนวน 73 หลัก โดยการทำสัญลักษณ์บากไว้ที่ต้นไม้ โดยแบ่งเป็น หลักใหญ่ 73 หลัก และหลักย่อย 2 หลัก และมีการจัดทำเอกสาร ‘บันทึกวาจาหลักเขต' (เขียนบรรยายว่าหลักเขตอยู่ไหน) และ ‘แผนผังภูมิประเทศโดยสังเขป' แนบท้าย เพื่อแสดงตำแหน่งของเครื่องหมายแสดงหลักเขตแดน

ใน 10 ปีต่อมา หรือในปี พ.ศ. 2462 (ค.ศ. 1919) ทางการไทย-กัมพูชาได้จัดทำหลักเขตแดนถาวรทำเป็นหมุดซิเมนต์ 73 หลัก และก็มีการทำวาจาหลักเขตและแผนผังของแต่ละหมุด เช่นเดียวกับปี 2452

ทั้งนี้ สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี นักวิชาการอิสระ เขียนบทความลงเว็บไซต์ 101.world ระบุว่า ชายแดนไทย-กัมพูชาความยาว 798 กม. มีการปักปันเขตแดนเพียง 603 กม. จำนวน 73 หลัก โดยหลักเขตที่ 1 ช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ-หลักเขตที่ 73 บ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จ.ตราด ตามสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 หรือ พ.ศ. 2450) ส่วนพื้นที่ที่ยังไม่ได้ปักหลักเขตแดนจากช่องสะงำถึงช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี 195 กิโลเมตร (ตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 หรือ พ.ศ. 2447 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 หรือ พ.ศ. 2450) ซึ่งอนุสัญญาปี 2447 กำหนดให้เส้นเขตแดนบริเวณนี้เป็นไปตามสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรัก

ตัวอย่างภาพหลักหมุดที่ 73 เขตแดนไทย-กัมพูชา อยู่ในพื้นที่บ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ถ่ายเมื่อ 2560 ที่มา: เฟซบุ๊ก วาสนา นาน่วม

เวลาผ่านไป อัครพงษ์ ระบุว่า เมื่อเข้าสู่ช่วงสมัยเขมรแดง หลักเขตแดนก็เกิดความคลาดเคลื่อน โดยเฉพาะช่วงที่มีค่ายผู้อพยพ เพราะว่ามีการยกหลักเขตแดนไป-มา และบางหมุดก็เกิดความเสียหาย

“สด๊อกก๊อกทม จ.สระแก้ว มีผู้อพยพเข้ามา 200,000 คน …เขมรแดงมาอยู่ฝั่งไทยตรงนี้ ไม่อยากให้เวียดนามมาเห็น ก็ยกหลักเขตไทยเข้าไปในประเทศเขมร พอทหารเวียดนามมาสอดแนม เขาเห็นหลักเขตไทย ก็ไม่กล้าเข้าไป พอฝั่งเขมรแดงมาอยู่เยอะ คนไทยไม่อยากให้เข้ามาในเขตไทยจำนวนมาก ฝ่ายไทยก็ยกหลักเขตเข้ามาในประเทศไทย เพื่อให้ชาวเขมรเห็นว่านี่เป็นหลักเขตไทย อย่าเข้ามา มันก็ยกกันไปกันมา บางทีก็เอาไปเป็นเป้าเล็งปืน อีก 28 หลักเลยยังหาไม่เจอ หรือเห็นไม่ตรงกัน” อัครพงษ์ กล่าว

อ้างอิงจากหนังสือข้อมูลที่ประชาชนไทยควรทราบเกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหาร และการเจรจาเขตแดนไทย-กัมพูชา จัดทำโดย กระทรวงการต่างประเทศ ประเทศไทย เมื่อปี 2554 ระบุว่า ปี 2540 รัฐบาลไทยนำโดยพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ได้มาคุยเรื่องเขตแดนกับรัฐบาลกัมพูชา หลังจากที่การเมืองภายในกัมพูชาเริ่มมีเสถียรภาพ และมีการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมา โดยมีการให้เหตุผลว่า

  1. หลังจากปัญหาเรื่องกรณีปราสาทเขาพระวิหาร เมื่อปี 2501-2506 ประเด็นปัญหาเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชาก็ถูกทิ้งไว้เป็นเวลากว่า 30 ปี
  2. ปัญหาจากสงครามสมรภูมิบ้านร่มเกล้าระหว่างไทย-ลาว ทำให้รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาเรื่องเขตแดนว่าเป็นปัญหาที่สำคัญ และนำไปสู่ความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาด้านเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน
  3. รัฐบาลมีความเห็นว่าไม่ต้องการให้ข้อพิพาทด้านเขตแดนเป็นประเด็นทางการเมือง เพราะว่าปัญหาเรื่องนี้เป็นปัญหาทางด้านกฎหมายและเทคนิค
  4. รัฐบาลตระหนักถึงความจำเป็นในการใช้กฎหมายระหว่างประเทศในการพิจารณาเรื่องเขตแดน

ขณะที่นักวิชาการได้ตั้งข้อสังเกตถึงการกลับมาเจรจาเขตแดนกับกัมพูชารอบนี้อย่างหลากหลาย ยกตัวอย่าง อ.อัครพงษ์ ที่มองว่า เนื่องจากก่อนหน้านี้หมุดซิเมนต์มีการขยับเขยื้อน และบางหมุดอาจมีการชำรุดทรุดโทรมเสียหาย ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม ทำให้นำมาสู่การจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมฯ เพื่อสำรวจและปักปันเขตแดน

ขณะที่ อ.อินทัช จากจุฬาฯ มีข้อสังเกตด้วยว่าการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมฯ ครั้งนี้ เพราะว่า ทางไทย-กัมพูชามีข้อกังวลด้วยว่าหลักเขตแดน 73 หลักแต่เดิม อาจไม่ละเอียดเพียงพอ เนื่องจากชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา มีความยาวติดต่อกันถึง 798 กม. จึงต้องการสำรวจให้เขตแดนมีความถูกต้อง และแม่นยำมากขึ้น

ดังนั้น จึงเป็นที่มาให้รัฐบาลชวลิตได้ลงนามในแถลงการณ์จัดตั้ง ‘คณะกรรมาธิการร่วมจัดทำหลักเขตแดนสำหรับเขตแดนทางบก’ ในปี 2540 (ค.ศ. 1997) และมีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ ในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ ครั้งที่ 1 เมื่อ 30 มิ.ย. จนถึง 1 ก.ค.2542

คณะกรรมการ JBC คืออะไร ?

ต่อมาเมื่อ 14 มิ.ย.2543 รัฐบาลไทยสมัยชวน หลีกภัย และกัมพูชาได้มีการจัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าด้วยการจัดทำเขตแดน (MOU43) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งและมอบอำนาจให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ปักปันหลักเขตแดน กำหนดหลักการในการดำเนินการปักปันหลักเขตแดนให้เป็นไปตามอนุสัญญา เมื่อปี 2446 และสนธิสัญญาสยามและอินโดนจีนฝรั่งเศส เมื่อปี 2450 และความเห็นตามคณะกรรมการร่วม เมื่อปี 2446 และ 2450

ทั้งนี้ บันทึกความตกลง MOU43 ได้ตั้งคณะกรรมการ 2 ชุด ได้แก่ คณะกรรมาธิการ JBC และคณะอนุกรรมการด้านเทคนิค (JTSC)

สำหรับคณะกรรมาธิการ JBC จะประกอบด้วย คณะกรรมาธิการ 2 ชุด คือฝั่งไทย และกัมพูชา อย่างละ 1 ชุด โดยบทบาทหน้าที่คือการปักปันเขตแดนร่วมกันของ 2 ประเทศ และเมื่อปักปันเสร็จแล้ว คณะกรรมาธิการ JBC เอามาอ้างอิงเพื่อผลิตเป็นแผนที่แสดงเส้นเขตแดน

คณะกรรมการชุดที่ 2 คือ คณะอนุกรรมการเทคนิคร่วม หรือ JTSC (Thailand-Cambodia Joint Technical Sub-Committee) ซึ่งอนุกรรมการนี้เป็นเหมือนผู้ช่วยของ JBC โดยสมาชิกจะประกอบด้วยผู้ที่มีความรู้ และความเชี่ยวชาญในการสำรวจประเทศและการจัดทำแผนที่ โดยสมาชิกจะเดินลงพื้นที่สำรวจภูมิประเทศดูว่าหลักหมุดทั้ง 73 หลักอยู่ตรงไหน หรือสภาพเป็นอย่างไรบ้าง และเมื่อสำรวจเสร็จแล้ว จะให้ JBC จะทำแผนที่ต่อไป

เพื่อกำหนดกรอบการปักปันเขตแดนให้ชัดเจน ในปี 2546 รัฐบาลไทย-กัมพูชา มีการจัดทำขอบเขตของงาน หรือ Phrases of Reference (TOR) เสมือนเป็นแผนแม่บทในการจัดทำเขตแดน และเป็นกรอบการดำเนินการสำหรับ JBC และ JTSC โดยเป็นการกำหนดกรอบการทำงานให้ละเอียดมากยิ่งขึ้นว่าจะทำงานยังไง ซึ่งจะแบ่งวิธีการทำงานออกมาเป็น 5 ขั้นตอน ได้แก่

  1. หาตำแหน่งหลักเขตแดนในอดีตที่ทำเอาไว้ในปี 2452 และปี 2462-2463 พอทราบตำแหน่งของหลักเขตแดนทั้ง 73 หลักแล้ว
  2. ทำภาพถ่ายทางอากาศ และจัดทำแผนที่เพื่อลงพื้นที่ทำการสำรวจ
  3. วางแผนแนวเขตที่เดินสำรวจ
  4. ส่งชุดลงพื้นที่ภูมิประเทศจริงๆ
  5. สร้างหลักเขตแดนใหม่ให้ถี่หรือละเอียดมากขึ้น เพื่อให้หลักเขตแดนถูกต้องและชัดเจน

เมื่อปักหมุดลงไปแล้ว คณะกรรมการ JTSC จะนำมาพล็อตเส้นลงบนแผนที่ และส่งต่อไปที่คณะกรรมาธิการ JBC ผลิตเป็นแผนที่ฉบับใหม่

จากการแถลงข่าวของคณะกรรมาธิการ JBC ฝั่งไทยเมื่อ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยทูตประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เผยว่าตอนนี้มีหมุดปักเขตแดนทั้งหมด 73 หลัก บวกหลักย่อย 1 หลัก โดยเห็นชอบไปแล้วทั้งหมด forty five หลัก และส่วนที่เหลือ 28 หลักเขต และ 1 หลักเขตย่อย ยังหาไม่เจอ หรือยังไม่สามารถตกลงกันได้

(ซ้าย) ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธาน JBC ไทย และ (ขวา) ฬำ เจีย ประธาน JBC กัมพูชา (ที่มา: เฟซบุ๊ก กระทรวงการต่างประเทศ ประเทศไทย)

3. แผนที่ 1:50,000 มายังไง มีผลในกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ ?

อย่างที่อธิบายไปข้างต้น แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่เราเห็นในคำวินิจฉัยตีความคำพิพากษาปราสาทเขาพระวิหารเมื่อปี 2506 เรียกได้ว่าเป็นมรดกจากสมัยยุคจักรวรรดินิยมของยุโรปเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว แต่ว่ายังมีแผนที่อื่นๆ ที่ใช้แบ่งเขตแดนของไทย-กัมพูชาที่ฝั่งประเทศไทยใช้ นั่นคือ แผนที่ L7018 มาตราส่วน 1:50,000

อัครพงษ์ กล่าวในรายการ ‘ประชาธิปไตยสองสี : ใบตองแห้ง : EP 63’ ว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยใช้แผนที่ L7018 จัดทำโดยกรมแผนที่ทหารของไทย มาตราส่วน 1:50,000 ซึ่งเป็นการปรับมาจากแผนที่ของสหรัฐฯ ช่วงยุคสงครามเย็น

จุดเริ่มต้นของแผนที่นี้เกิดขึ้นช่วงตั้งแต่ปี 2500 เป็นต้นมา เมื่อสหรัฐฯ เข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้มีการจัดทำชุดแผนที่หลายฉบับ ทั้งหมดเป็นมาตราส่วน 1:50,000 ประกอบด้วย

  1. L7014 เป็นแผนที่เวียดนามทั้งประเทศ
  2. L7015 เป็นแผนที่ลาวทั้งประเทศ
  3. L7016 เป็นแผนที่กัมพูชาทั้งประเทศ
  4. L7017 เป็นแผนที่ไทยทั้งประเทศ

เมื่อเทคโนโลยีการทำแผนที่ดีขึ้น ประเทศไทยก็เอาแผนที่ L7017 ซึ่งสหรัฐฯ ทำไว้ในช่วงปี 2514-2517 มาปรับปรุงเป็น L7018 ซึ่งก็มีการขยับเขยื้อนเส้นเขตแดนบ้าง และไทยเราใช้แผนที่ L7018 เรื่อยมา แต่ด้านล่างของแผนที่ระบุว่า “แนวแบ่งเขตไม่ถือกำหนดอย่างเป็นทางการ”

อัครพงษ์ ระบุว่า มีข้อสงสัยว่าแผนที่ L7018 ซึ่งไม่ได้เป็นทางการนี้จะเอาไปอ้างในการต่อสู้ใน ICJ ได้หรือไม่ คำตอบของเขาคือ “ไม่ทราบ” เพราะเป็นเรื่องของกฎหมายระหว่างประเทศ

4. กระบวนการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีมีกี่แนวทาง ?

คำถามที่น่าจะดีที่สุดในเวลานี้คือ การระงับข้อพิพาทอย่างสันติมีกี่วิธี? เราจำเป็นต้องเอาเรื่องข้อพิพาทขึ้นศาลโลกตลอดหรือไม่? อาจารย์อินทัช คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า กรอบกลไกการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธี มีการระบุอยู่ในกฎบัตรข้อที่ 33 ของสหประชาชาติ ซึ่งมีการยกตัวอย่างการระงับข้อพิพาทอย่างสันติวิธีออกมาอย่างหลากหลาย เช่น

  • การเจรจา (Negotiation) คือ รัฐข้อพิพาท 2 รัฐเจรจาหาทางออกร่วมกัน โดยไม่มีบุคคลที่ 3 เข้ามาร่วมการเจรจา
  • การไต่สวนข้อเท็จจริง (Enquiry) ข้อพิพาทบางครั้งไม่ได้เป็นในระดับข้อกฎหมาย แต่เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน หรือความเข้าใจข้อเท็จจริงที่ไม่ตรงกัน ดังนั้น การใช้วิธีการไต่สวนข้อเท็จจริงจึงต้องให้บุคคลที่ 3 เข้ามาร่วม เพื่อทำหน้าที่ในการแสวงหาข้อเท็จจริง แต่จะไม่มีการตัดสินบนพื้นฐานของข้อกฎหมาย
  • การไกล่เกลี่ย (Meditation) เป็นการระงับข้อพิพาทโดยให้มี ‘ตัวกลาง’ (Mediator) หรือเป็นบุคคลที่ 3 เข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ช่วยสนับสนุนให้คู่กรณีนำไปสู่ข้อสรุป และระงับข้อพิพาท
  • การประนีประนอม (Conciliation)
  • ใช้อนุญาโตตุลาการ (Arbitration)
  • กลไกกระบวนการศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)

แล้วเราเลือกวิธีไหนในการระงับข้อพิพาทหรือวิธีไหนที่ควรใช้ ตัวกฎหมายระหว่างประเทศมีการกำกับหรือบังคับหรือไม่ว่าสถานการณ์แบบไหนต้องใช้วิธีการใด

คำตอบคือ ‘ไม่มี’ ตามหลักการที่เรียกว่า ‘Free Replacement of Means' คือเป็นอิสระเสรีที่รัฐคู่กรณีจะเลือกว่าจะใช้วิธีการใดในการระงับข้อพิพาท คำถามต่อมา ไม่ไปศาลได้หรือไม่ คำตอบคือ ‘ได้’ และจะเลือกการเจรจาแบบทวิภาคีได้หรือไม่ “ก็ได้หมดเช่นกัน”

“ศาลโลกหรือว่า ICJ ไม่ได้เป็นรูปแบบเดียวในการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีระหว่างรัฐ ในทางปฏิบัติ รูปแบบหรือวิธีการที่รัฐมักจะใช้ระงับข้อพิพาทในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ก็คือการเจรจา (Negotiation) ซึ่งรวมถึงการเจรจาเขตแดนระหว่างประเทศด้วยเช่นกัน” อินทัช ระบุ

5. ตัวอย่างประเทศอื่นๆ ใช้ทวิภาคี

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) เป็นเรื่องหนึ่งในกลไกสันติวิธีที่สามารถกระทำได้ โดยเป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งตาม MOU43 และเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ไทย-กัมพูชา ยินยอมเข้าสู่กระบวนการระงับข้อพิพาท และปักปันเขตแดนร่วมกัน

การเจรจาระหว่างทวิภาคีไม่ได้เป็นเรื่องแปลกประหลาด และยังเป็นกลไกที่หลายๆ ประเทศก็ใช้เช่นกัน ยกตัวอย่างกรณีของอินเดีย-บังคลาเทศ ได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาคือ India-Bangladesh Joint Boundary Working Community กรณีของอูกันดา-เคนยา-ซูดานใต้ ร่วมมือกันเป็นรูปแบบไตรภาคี เพื่อจัดการเรื่องเขตแดนระหว่างประเทศ และสมัยที่เรายังเป็นประเทศสยามก็เคยตกลงเจรจาในเรื่องของเขตแดนกับฝรั่งเศส

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการ JBC ภายใต้กรอบ MOU43 มีหน้าที่เพียงปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา แต่ JBC ไม่ได้มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยชายแดน แม้มีหลายโอกาสที่การประชุมได้หยิบยกประเด็นปัญหาความไม่สงบหรือการปะทะด้วยกำลังทหารขึ้นมาพูดคุย และเหนี่ยวนำไปสู่การปรับความเข้าใจที่ไม่ตรงกันได้ แต่นั่นไม่ใช่หน้าที่หลักของ JBC

ปัญหาเรื่องความมั่นคงตามชายแดน ปกติมักหารือภายใต้กลไก GBC และ RBC จัดตั้งโดยความตกลงไทย-กัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือชายแดนปี 2538 (ค.ศ. 1995) โดยคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ Fashioned Border Committee (GBC) เป็นกลไกหารือระดับรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมไทย-กัมพูชา ในขณะที่คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค หรือ Regional Border Committee (RBC) เป็นกลไกที่รองลงมาจากรัฐมนตรีกลาโหม คือในระดับแม่ทัพภาค

(ซ้าย) เตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา และ (ขวา) ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทย ในการประชุม GBC ครั้งที่ 17 ที่โรงแรม รอยัล ออคิด เชอร์ราตัน ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ เมื่อ 9 พ.ค. 2567 (ที่มา: เว็บไซต์สภาความมั่นคงแห่งชาติ)

6. ไทยเป็นภาคีศาลโลก ไม่เท่ากับยอมรับอำนาจศาลโลก

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ที่ทางกัมพูชาต้องการให้วินิจฉัยกรณี 3 ปราสาท บวก 1 พื้นที่ คืออะไร ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (World Court docket of Justice – ICJ ) หรือสังคมไทยเรียกชื่อเล่นว่า ‘ศาลโลก’ เป็นศาลขององค์กรสหประชาชาติ (UN) เป็นองค์กรตุลาการของ UN เพื่อระงับข้อพิพาทตามกฎบัตรของสหประชาชาติ ข้อ 92 ตั้งอยู่ที่กรุงเฮก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

แม้ว่าตามกฎบัตรของสหประชาชาติ รัฐสมาชิกสหประชาชาติทุกรัฐเป็นภาคีธรรมนูญศาลโลก ดังนั้น ทำให้ประเทศไทยเป็นภาคีธรรมนูญศาลโลกเช่นกัน แต่นั่นไม่เกี่ยวกับการยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโลก เพราะเบื้องต้นต้องเข้าใจว่า ขอบเขตอำนาจศาลโลกจะพิจารณาคดีใดได้นั้น ต้องได้รับความยินยอมจากรัฐต่างๆ ศาลโลกไม่สามารถวินิจฉัยได้โดยพลการ

ส่วนทำไมต้องได้รับการยินยอมจากรัฐต่างๆ เพราะรัฐทุกรัฐมีอำนาจอธิปไตย และไม่มีใครอยากให้คนนอกมามีอำนาจตัดสินใจหรือแทรกแซงกิจการภายใน ฉะนั้น หากรัฐใดก็ตามต้องการให้ตุลาการอื่นๆ มามีอำนาจเหนืออธิปไตยของตนเอง รัฐนั้นต้องมีความยินยอม ถ้ารัฐไม่ได้แสดงความยินยอม ศาลโลกก็ต้องเคารพอำนาจอธิปไตยของรัฐอื่นๆ

7. การยอมรับอำนาจศาลโลกมีกี่วิธี ?

  1. ทำความตกลงพิเศษเพื่อยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโลก เมื่อ 2 ฝ่ายทะเลาะกัน หาข้อสรุปไม่ได้ก็ตกลงกันเอาเรื่องขึ้นไปให้ศาลโลกพิจารณา ยกตัวอย่าง กรณีพิพาทเกาะลีกีตันและเกาะซีปาตันเป็นความขัดแย้งระหว่างมาเลเซีย-อินโดนีเซีย ที่อยากรู้ว่าใครมีอธิปไตยเหนือเกาะทั้งสอง แต่ 2 ประเทศนี้ไม่เคยยอมรับเขตอำนาจศาลโลกไว้ก่อน วิธีที่ทำก็คือทำข้อตกลงว่าจะเอาเรื่องนี้ให้ศาลโลกวินิจฉัย

อย่างไรก็ดี จำนวนคดีที่ศาลโลกพิจารณามี 196 คดี และมีเพียงแค่ 10% หรือ 19 คดีเท่านั้นที่ใช้วิธีทำข้อตกลงพิเศษจูงมือกันขึ้นศาลโลก แต่อีก 90% ไม่ได้มีการจับมือกันไปแบบนั้น แต่เป็นการยอมรับอำนาจศาลโลกล่วงหน้า หรือเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาใดก็ตาม ซึ่งกำหนดว่าหากมีปัญหาการตีความ ให้ศาลเป็นผู้พิจารณาเป็นหลัก และมีอยู่บ้างที่ฟ้องฝ่ายเดียว

  1. กรณีรัฐประกาศยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโลกล่วงหน้า ผ่านภาคีอนุสัญญาต่างๆ สมมติว่าประเทศใดอยากเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติทุกรูปแบบ ในอนุสัญญานั้นจะมีข้อที่ 22 ที่ระบุไว้ว่า หากมีข้อพิพาทใดระหว่าง 2 รัฐหรือมากกว่า และไม่สามารถตกลงได้ด้วยวิธีการอื่นแล้ว จะเสนอให้ศาลโลกวินิจฉัย

อย่างไรก็ตาม ประเทศใดก็ตามที่ไม่อยากยอมรับข้อใดข้อหนึ่งในอนุสัญญา ก็สามารถทำข้อสงวนได้ ข้อสงวนเป็นกลไกหนึ่งของกฎหมายระหว่างประเทศ ว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ที่อนุญาตให้รัฐยกเว้นไม่ต้องผูกพันตามข้อใดข้อหนึ่ง หรือหลายข้อของอนุสัญญานั้น

สำหรับกรณีของประเทศไทย เคยประกาศยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศล่วงหน้าฝ่ายเดียว ทั้งหมด 3 ครั้ง โดย 2 ครั้งแรกเป็นการยอมรับเขตอำนาจศาลโลกเก่าในยุคสันนิบาตชาติที่เรียกว่า “Eternal Court docket of World Justice” (PCIJ) และครั้งที่ 3 เป็นการยอมรับเขตอำนาจศาลโลกยุคสหประชาชาชาติ หรือ ICJ

โดยการยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโลก ICJ ล่วงหน้าฝ่ายเดียว เป็นไปตามข้อ 36 (2) ของธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศลงนามในหนังสือตั้งแต่ 20 พ.ค.2493 (แต่มีผลบังคับใช้ย้อนไปตั้งแต่ 9 พ.ค.2493) และขาดอายุในปี 2503 ซึ่งหลังจากกรณีของปราสาทพระวิหาร ที่เริ่มขึ้นเมื่อปี 2501 ไทยก็ไม่เคยยอมรับอำนาจศาลโลกอีกเลย

ในกรณีที่สนธิสัญญาที่ระบุว่าต้องให้ศาลโลกระงับข้อพิพาทหากมีปัญหาพิพาทที่แก้ไม่ได้ ประเทศไทยมักจะทำ ‘ข้อสงวน' ไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลกไว้เสมอ

  1. หลักการ ‘ฟอรุมโปรโรกาตุม’ หรือการฟ้องฝ่ายเดียว โดยที่รัฐผู้ถูกฟ้องไม่ได้ให้ความยินยอม หรือยอมรับขอบเขตอำนาจศาล ศาลจะไม่ยอมรับไว้เป็นคดีความ จนกว่ารัฐที่ถูกฟ้องจะให้ความยินยอมต่ออำนาจศาล

8. สองประเทศในอาเซียนที่รับอำนาจศาลโลก (อย่างมีเงื่อนไข)

สำหรับรายชื่อรัฐสมาชิกสหประชาชาติมี 196 ประเทศ มีเพียง 74 ประเทศที่ยอมรับอำนาจศาลโลก ICJ ซึ่งเดากันได้ว่าส่วนใหญ่มาจากยุโรป ทวีปเอเชียมีแค่ 10 ประเทศ และในอาเซียน มีเพียง 2 ประเทศเท่านั้นที่ยอมรับ คือ กัมพูชา และฟิลิปปินส์

อย่างไรก็ตาม ประเทศฟิลิปปินส์และกัมพูชาก็ยอมรับอำนาจศาลโลกอย่างมีเงื่อนไข

  • ฟิลิปปินส์ – ยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโกล ยกเว้นกรณีที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ พื้นทะเล หมู่เกาะ ไหล่ทวีป หรือที่เกี่ยวกับดินแดนฟิลิปปินส์ ทะเลอาณาเขต และน่านฟ้าภายในของฟิลิปปินส์ เพราะว่าประเด็นอ่อนไหวภายในประเทศ
  • กัมพูชา – ยอมรับเขตอำนาจศาลตั้งแต่ปี 1951 (พ.ศ. 2494) ก่อนยื่นฟ้องไทยกรณีปราสาทเขาพระวิหาร เมื่อปี 2501 แต่ก็เปิดช่องว่า หากกรณีของข้อพิพาทเกิดขึ้นมา แล้ว ประเทศคู่กรณีตกลงภายหลังที่จะใช้วิธีการระงับข้อพิพาทอย่างสันติวิธีอื่นๆ ไม่ต้องขึ้นศาลโลก ก็สามารถทำได้

ส่วนสมาชิกถาวรของสหประชาชาติ (UN) เช่น สหรัฐฯ จีน ฝรั่งเศส และรัสเซีย ไม่ได้ยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโลก มีเพียงแค่สหราชอาณาจักรเท่านั้นที่เป็นสมาชิกถาวร และยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโลก

อาจารย์ภาวัฒน์ สัตยานุรักษ์ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า สหประชาชาติเองไม่ได้บังคับให้เรายื่นเรื่องเข้าศาลโลก แต่ขอให้รัฐทั้งหลายระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธี และมีวิธีเยอะมากตามกฎบัตรข้อที่ 33 ของสหประชาชาติ เช่น การเจรจาระหว่างคู่ความ ให้บุคคลที่ 3 เข้าไปไกล่เกลี่ย ให้อนุญาโตตุลาการตัดสิน เป็นต้น

9.ตัวอย่างการยื่นศาลโลกฝ่ายเดียว

เมื่อ 15 มิ.ย. 2568 กัมพูชาแสดงความจำนงค์ยื่นเรื่องเข้ากระบวนการของศาลโลกกรณีของ 3 ปราสาท ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ และพื้นที่ 3 เหลี่ยมมรกต จ.อุบลราชธานี ถือเป็นการยื่นฝ่ายเดียว เพราะไทยไม่ได้ยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโลก แต่มีบางกรณีเหมือนกันที่ศาลโลกอาจจะตีความว่าประเทศคู่พิพาทยอมรับอำนาจศาลโลกโดยปริยาย (Imply Consent) หรือโดยไม่ตั้งใจ

แล้วอะไรคือแนวทางการตีความหรือมาตรวัด ที่เรียกว่า ‘เป็นการยินยอมในภายหลังโดยปริยาย’ ?

คดีที่ใช้หลักการ ‘ฟอรุมโปรโรกาตุม’ ที่ปรากฏตอนนี้มีไม่ถึง 5 คดี และศาลโลกจะพิจารณาจาก 1.พฤติการณ์ต้องสมัครใจ 2.ชัดเจน และ 3.ไม่อาจโต้แย้งได้

ยกตัวอย่าง คดีช่องแคบคอร์ฟู ซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างอังกฤษ-อัลเบเนีย ตอนนั้นตัวสหราชอาณาจักรฟ้องอัลแบเนียว่า อัลแบเนียไม่เตือนเขาว่าช่องแคบคอร์ฟูมันมีทุ่นsะเบิด พอเรือรบอังกฤษแล่นผ่านก็เลยโดนทุ่นsะเบิด ดังนั้น อังกฤษจึงพยายามฟ้องว่า อัลแบเนียมีความผิด เพราะไม่เตือนก่อน

กรณีนี้อัลแบเนียไม่ได้ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก ฉะนั้น ศาลโลกก็พิจารณาพฤติการณ์ของอัลแบเนียว่ายอมรับอำนาจศาลโลกหรือไม่ โดยไปดูบันทึกโต้ตอบระหว่างอังกฤษและอัลแบเนีย จนพบข้อความ ระบุว่า

“It's miles ready ……to appear sooner than the Court docket………..The Albanian Government needs to emphasise that its acceptance of the Court docket’s jurisdiction for this case can not describe a precedent for the longer term.”

ข้อความดังกล่าวทำให้ศาลโลกตีความข้อความนี้ของอัลแบเนียว่ายอมรับอำนาจศาลโลกโดยสมัครใจ และไม่สามารถโต้แย้งได้ ทำให้ศาลรับพิจารณากรณีนี้

ส่วนเคสที่ศาลโลกไม่ยอมรับพิจารณาก็มีเช่นกัน ยกตัวอย่างกรณีของคองโกฟ้องรวันดา โดยรวันดาไม่ได้ยอมรับอำนาจศาลโลก และพูดตลอดว่าไม่ไปศาลโลกอย่างเด็ดขาด ฉะนั้น ศาลโลกก็เลยบอกว่าท่าทีของรัฐผู้ถูกร้องไม่ได้รับยอมรับอำนาจศาลโลกอย่างชัดแจ้ง และไม่คลุมเครือ

ดังนั้น ถ้าไทยเข้าข่ายยอมรับอำนจศาลโลกโดยปริยาย หรือ Imply Consent พฤติการณ์ของรัฐบาลไทยต้องสมัครใจ ชัดแจ้ง และไม่สามารถโต้แย้งใดๆ ได้

ธนภัทร ชาตินักรบ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสริมว่า ไทยต้องระวังการสื่อสารสาธารณะของคน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ประมุขของประเทศ หรือประธานาธิบดี 2.หัวหน้าฝ่ายบริหารหรือนายกรัฐมนตรี และ 3.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ให้เข้าข่ายการยอมรีบโดยปริยาย (Imply Consent)

อาจารย์นิติฯ มธ. มองด้วยว่า การให้ความเห็นโดยการพูดทำนองว่าจะแต่งตั้งทนายความไปสู้กันในกลไกศาล คำเหล่านี้ต้องระวัง เพราะศาลอาจตีความว่าเรายอมรับขอบเขตอำนาจศาล ถ้าเราไม่ต้องการยอมรับ ควรพูดให้ชัดว่าไม่ยอมรับ

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ที่มา: เฟซบุ๊ก Ing Shinawatra)

10. ความเห็นนักนิติศาสตร์-ประวัติศาสตร์ เสนอใช้ JBC ดีกว่า

จากการรวบรวมความเห็นของนักนิติศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ พบว่า ทุกคนเสนอว่าควรจะใช้วิธีระงับข้อพิพาทโดยกลไกของทวิภาคี แม้ว่าจะให้เหตุผลที่แตกต่างกันในเชิงรายละเอียด

ธนภัทร ระบุว่า เขาอยากให้ใช้กลไกลระบบทวิภาคี เนื่องจากเขามองว่าวิธีการที่ทำให้คนท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการจัดการเขตแดน เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพ ดีกว่าไปยื่นให้ศาลโลกมาพิจารณาข้อพิพาท ซึ่งใช้ทรัพยากรทั้งเงินทุน และเวลาที่สูงกว่ามาก

ภัทรพงษ์ แสงไกร อีกหนึ่งอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. ให้ความเห็นเรื่องนี้บนสื่อโซเชียลมีเดีย มองว่า การให้ศาลโลกพิจารณาข้อพิพาท ทำให้มีผู้แพ้และผู้ชนะ แม้ว่าศาลโลกจะวินิจฉัยให้เป็นประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายก็ตาม แต่ผลกระทบมันสร้างบาดแผลให้กับประชาชน และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศย่ำแย่ลงไปด้วย โดยเฉพาะกับประเด็นที่อ่อนไหวอย่างเรื่องเขตแดน ดินแดน หรือวัฒนธรรม เพราะว่าคนในชาติรู้สึกผูกพันลึกซึ้ง

ภัทรพงษ์ จึงมองว่า วิธีการที่มีประสิทธิภาพ และแก้ไขปัญหาได้ยั่งยืนคือการเจรจาจนกว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะพึงพอใจ ในกรอบเวลาที่ทำได้ และตามที่ 2 ฝ่ายสะดวก จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ยอมรับได้ในทางการเมืองทั้ง 2 ฝ่าย

ส่วนอินทัช อาจารย์นิติศาสตร์ จากจุฬาฯ มองว่า การใช้วิธีการแบบเจรจาหารือทวิภาคี ไม่ใช่เรื่องที่แปลก เพราะว่าหลายประเทศก็ใช้แนวทางนี้ เป็นธรรม และเป็นมิตร ไม่ได้แย่ไปกว่าการใช้กระบวนการยุติธรรมของศาลโลก

“ถ้าเรามองว่าการเข้าสู่กระบวนโดยกลไกของ ICJ มันเป็นธรรมและเป็นมิตรระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา …เราก็ต้องบอกว่าการดำเนินงานในเรื่องเขตแดน JBC ก็เป็นธรรมและเป็นมิตรไม่ได้หย่อนไปกว่า ICJ หรือศาลโลกเลย เพราะว่าการเจรจาเป็นการระงับข้อพิพาท 1 ในสันติวิธี ตามข้อ 33 ของกฎบัตรสหประชาชาติ เช่นเดียวกับ ICJ

“ในการเจรจา หากบรรลุความเห็นได้ ในท้ายที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นที่พอใจกับทั้งสองประเทศ ขณะที่การดำเนินการทางศาล มีลักษณะของการเผชิญหน้ากัน และเมื่อมีคำตัดสินออกมา ก็ต้องมีฝ่ายที่ชนะ หรือฝ่ายที่แพ้” อินทัช กล่าว

นอกจากนี้ อาจารย์จากจุฬาฯ ระบุด้วยว่า ICJ เป็นเพียงรูปแบบการระงับข้อพิพาทแบบหนึ่งเท่านั้น เช่นเดียวกับการเจรจาระดับทวิภาคีของ JBC ไม่ได้มีสถานะที่แตกต่างกัน แต่กระบวนการของ ICJ ในกรณีข้อพิพาทไทย-กัมพูชาไม่ได้เป็นกระบวนการที่ได้รับการยินยอมของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งแตกต่างกับกระบวนการของ JBC ที่มีหลักฐานคือ MOU43 ที่สะท้อนให้เห็นความยินยอมของทั้งไทย-กัมพูชา

อินทัช ยังเน้นย้ำว่า การใช้กระบวนการหารือแบบทวิภาคี ไม่ได้สะท้อนว่าไทยปฏิเสธการระงับข้อพิพาทแบบสันติวิธีอีกด้วย

ด้านอาจารย์อัครพงษ์ ระบุว่า เขาไม่แนะนำให้ยกเลิกการใช้กลไก JBC เพราะว่าจะเป็นการเปิดช่องให้กัมพูชาใช้กลไกอื่นๆ แต่ยังไงก็ต้องไม่ยอมรับเขตอำนาจศาล เพราะว่ามันมีบทเรียนว่าเมื่อศาลโลกตัดสินมาแล้ว มันมีแต่จะสร้างความเกลียดชังระหว่าง 2 ชาติและสร้างปัญหาอื่นๆ ตามมา

11. ข้อสันนิษฐาน กัมพูชาจะใช้หลักฐานอะไรยื่นศาลโลก ?

อาจารย์อัครพงษ์ ระบุว่า หากมีการนำเรื่องข้อพิพาทเขตแดน 3 ปราสาท และ 1 พื้นที่สามเหลี่ยมมรกตเข้าสู่กระบวนการ ICJ เขามองว่าแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 จะไม่ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ เนื่องจากแผนที่ไม่มีการระบุสัญลักษณ์ของปราสาทตาเมือนธม และตาเมือนโต๊ด ก็ต้องไปสู้ที่เรื่องของสันปันน้ำ

อย่างไรก็ตาม ในกรณีของปราสาท 3 แห่ง แม้ว่าไม่ปรากฏสัญลักษณ์บนแผนที่ มาตราส่วน 1:200,000 ที่คณะกรรมาธิการร่วมจัดทำขึ้นมา แต่พบว่ายังมีเอกสาร ‘บันทึกวาจาหลักเขตหมายเลขที่ 23′ จัดทำเมื่อปี พ.ศ. 2451 ซึ่งจะมีคำบรรยายว่าหลักเขตแต่ละหลักเขตอยู่ตรงจุดใดบ้าง โดยทุกหลักจะมีบันทึกทำเป็น 2 ภาษา คือภาษาไทย และฝรั่งเศส และมีการจัดทำแผนผังรายหลักเขต ซึ่งเป็นมาตราส่วนที่ละเอียดกว่า 1:200,000 โดยใช้มาตราส่วน 1:1,000, 1:2,000, 1:4,000 และ 1:10,000 เป็นต้น

“ผมมั่นใจว่ารัฐมนตรีฬำ เจีย ของกัมพูชาเขารู้ เพราะว่าเขาเป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมายระหว่างประเทศ เป็นศาสตราจารย์ จบฝรั่งเศส มหาวิทยาลัยลียงที่ 2 แกเจอหลักฐานพวกนี้ในหอจดหมายเหตุ แกก็เลยมั่นใจว่าแกชนะแน่ๆ” อัครพงษ์ กล่าว และเขาสันนิษฐานว่าหลักฐานชิ้นนี้น่าจะทำให้กัมพูชามั่นใจว่าจะชนะในศาลโลกเรื่องข้อพิพาท 3 ปราสาท

อย่างไรก็ตาม อัครพงษ์ ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ตอนที่ได้อ่านเอกสารบันทึกวาจาตรงนี้ มีแต่การบันทึกหลักหมายเขตเท่านั้น ไม่ได้กล่าวถึงตัวปราสาทเลย เมื่อมีแค่หลักหมายเขต ก็ต้องตีความสนธิสัญญาให้ใช้สันปันน้ำประกอบด้วย ซึ่งเราอาจจะมีโอกาสต่อสู้เรื่อง 3 ปราสาทนี้ได้เหมือนกัน แต่อย่าเชื่อเขาเสียทีเดียว

ทั้งนี้ เอกสารประกอบการพิจารณา (อ.พ. 4/2551) การประชุมร่วมกันสมัยสามัญนิติบัญญัติ สภาผู้แทนราษฎรไทย อ้างรายงาน ‘สำรวจุดพิพาทเขตแดนไทย-เขมรพื้นที่ซับซ้อน บก-ทะเล’ เผยแพร่ในเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ 18 ก.ค.2551 ซึ่งสังเขปเนื้อหาจาก ‘จุลสารความมั่นคงศึกษา ฉบับที่ 38 (2551)’ ที่ระบุว่า ไทยและกัมพูชาเคยมีการประชุมของเจ้าหน้าที่เทคนิคนำโดยประชา คุณะเกษม ที่ปรึกษา รมว.ต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ฝ่ายไทย และ วาร์ กิมฮง ที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาด้านกิจการชายแดน ในฐานะประธาน JBC ฝ่ายกัมพูชา ในปี 2544 ฝ่ายไทยได้เสนอว่าจะให้จัดชุดร่วมทำการเดินตรวจสอบแนวสันปันน้ำในภูมิประเทศบริเวณปราสาท เพื่อพิสูจน์ทราบตำแหน่งประสาททั้ง 3 หลัง โดยยึดถือตามแนวสันปันน้ำต่อเนื่องในภูมิประเทศเป็นเส้นเขตแตน

แต่ฝ่ายกัมพูชา อ้างว่าได้เดินตรวจสอบตำแหน่งของปราสาททั้ง 2 หลัง (ตาเมือนธม, ตาเมือนโต๊ด) ประกอบกับหลักฐานบันทึกการปักในเขตแดน หมายเลขที่ 23 ระหว่างไทย-ฝรั่งเศส ปี 2451 แสดงสัญลักษณ์ตัวปราสาท 2 หลังอยู่ในเขตกัมพูชา

ขณะที่ของประเทศไทย อ้างเช่นกันว่า แผนที่ชุด L7017 มาตราส่วน 1: 50,000 ที่จัดทำในปี 2527 ที่ฝ่ายไทยยึดถือ และแผนที่ชุด L7016 มาตราส่วน 1: 50,000 ปี 2514 จัดทำโดยสหรัฐอเมริกาที่ฝ่ายกัมพูชายึดถือ ปรากฏเส้นเขตแดนตรงกันคือ ตัวปราสาทตาเมือนธม อยู่ในเขตกัมพูชา และอีก 2 ปราสาท (ตาเมือนโต๊ด, ตาเมือน) อยู่ในเขตไทย

ปัจจุบัน การสำรวจเพื่อปักปันเขตแดน MOU43 ยังไม่แล้วเสร็จ และมีการตกลงให้คงทหารในพื้นที่ไว้ฝั่งละ 5 คน

อ้างอิง

ข้อมูลที่ประชาชนไทยควรทราบเกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหาร และการเจรจาเขตแดนไทย-กัมพูชา จัดทำโดย กระทรวงการต่างประเทศ ประเทศไทย เมื่อปี 2554

https://www.mfa.hotfoot.th/th/recount/5d5bcc5f15e39c306000b6d2?cate=5d5bcb4e15e39c3060006827

ประชาธิปไตยสองสี : ใบตองแห้ง:EP 63 I อัครพงษ์ ค่ำคูณ I แผนที่ 1:200,000 ไม่ใช่ผู้ร้าย เผยแพร่ บนช่องยูทูบ Matichon TV เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2568

https://www.youtube.com/search for?v=B7V6IO6-hqw

หนังสือเรื่อง เขตแดน พรมแดน และชายแดน ระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา เขียนโดย อัครพงษ์ ค่ำคูณ

https://pressure.google.com/file/d/1BhvR4OvF94j7JJTtIgyZ3dvdfg_VfKYQ/see?fbclid=IwY2xjawLHbNtleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFCT0laSTN3b2RjdmVVYWplAR7pCSLqPIXimFFiN9LFiDr-Rty6mHVJvRoC2efIyBCPCEEb5lIQDowBBFlI7w_aem_tv-xV2DvH7T_c1fIg5LmkA

เวทีเสวนา “ฬ. จุฬาฯ นิติมิติ” หัวข้อ ประเทศไทยกับการระงับข้อพิพาทที่ศาลโลก จัดโดยคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

https://www.youtube.com/search for?v=bcqWxJ4P7ZY

ทำไมชายแดนร้อนต่อเนื่อง ! เปิดปมมรดกความขัดแย้งไทย-กัมพูชา บทวิเคราะห์ท่ามกลางพายุ ‘ชาตินิยม'

https://prachatai.com/journal/2025/06/113148

คุยกับอาจารย์นิติศาสตร์ ‘ศาลโลก หรือ JBC' อะไรคือคำตอบแก้ปมพิพาทไทย-กัมพูชา

https://prachatai.com/journal/2025/06/113292

สถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา: ข้อพิจารณาทางกฎหมายระหว่างประเทศ

https://prachatai.com/journal/2025/06/113252

บทความ: ทบทวนปัญหาพิพาทไทย-กัมพูชา: สนธิสัญญา เขตแดน และแผนที่ เขียนโดย สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี นักวิชาการอิสระ เผยแพร่บนเว็บไซต์ 101.world เมื่อ 10 มิ.ย. 2568

ทบทวนปัญหาพิพาทไทย-กัมพูชา: สนธิสัญญา เขตแดน และแผนที่

ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )

เรื่องที่เกี่ยวข้อง:

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ลงพื้นที่อมตะซิตี้ ศึกษาการทำงานระหว่างรัฐ-เอกชน ป้องกันทุจริต-เรียกรับสินบน

รวบ “อ้วนลาย บางซื่อ” หลังรัวปืน ปาsะเบิด เปิดศึกถล่มแก๊งอริ

ดั๊บเบิ้ล เอ ชวนน้องรักการอ่าน ครั้งที่ 9 จุดประกายการเรียนรู้นอกห้องเรียน

"จตุพร" ปูดมีกลุ่มไม่หวังดีพยายามก่อกวน มวลชนพร้อมชุมนุมใหญ่พรุ่งนี้ 27มิ.ย.68

มีไฟลต์กี่ที ก็ต้องมีช้อป ที่ คิง เพาเวอร์ 🔥

นายกฯทูลเกล้าฯ ครม.’ แพทองธาร 1/1’ แล้ว ด้านเจ้าตัวไม่ตอบ แต่แจกยิ้ม

กระโดดสะwาน วันที่ 27 มิถุนายน 2568 ร่วมใจรับแจ้งจากศูนย์สั 2025-06-27 09:49:00

สวัสดีวันศุกร์ สนุกกับภารกิจสควิดเกมกับ NETFLIX แล้ว อย่าโดน

หมอวรงค์โพสต์เดือด นายกฯ ขายชาติจะหนักกว่าโกงชาติ 26 มิ.ย

ผู้เรียบเรียง

ให้คะแนนความพอใจของคุณ :

0 / 5 คะแนน 0

คุณให้คะแนน:

แชร์ลิ้งค์นี้ : https://ด่วน.com/0ius | ดู : 11 ครั้ง
  • No recent comments available.

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *


Share via
Click to Hide Advanced Floating Content
Send this to a friend