
โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านเป็นอย่างไร สหรัฐฯ ต้องการอะไรจากเรื่องนี้ ผ่านการเจรจาครั้งแรกในรอบหลายปี ?

ที่มาของภาพ : AP
- Writer, ราฟฟี เบิร์ก
- Role, บีบีซีนิวส์
สหรัฐอเมริกา และอิหร่าน มีกำหนดเจรจากันครั้งแรกในรอบหลายปีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เพื่อหารือข้อตกลงใหม่เกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ที่เป็นที่ถกเถียงของอิหร่าน
หลังจากก่อนหน้านี้โดนัลด์ ทรัมป์ ในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกได้ดึงสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านกับมหาอำนาจของโลกในปี 2018 อีกทั้งยังกลับมาคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและสร้างความไม่พอใจให้กับอิหร่าน
ทรัมป์ยังเตือนด้วยว่าจะมีการปฏิบัติการทางการทหารหากการเจรจาไม่สำเร็จ

ที่มาของภาพ : Getty Photographs
หลังจากการหารือกันเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศได้สรุปผลการเจรจาครั้งแรกในโอมาน เกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งนับเป็นการประชุมระดับสูงสุดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน นับตั้งแต่ปี 2018
ทั้งสหรัฐฯ และอิหร่านต่างอธิบายถึงการประชุมที่เกิดขึ้นว่าเป็น “เชิงสร้างสรรค์” และยืนยันว่า การหารือกันรอบสองจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า โดยสหรัฐฯ ยกย่องว่า การ “สื่อสารทางตรง” เป็นกุญแจในการจะบรรลุข้อตกลงที่เป็นไปได้
and proceed readingเรื่องแนะนำ
Discontinue of เรื่องแนะนำ
การประชุมครั้งแรกนี้เป็นไปอย่างกระชับโดยใช้เวลาสองชั่วโมงครึ่ง และมีรายงานว่าบรรยากาศเต็มไปด้วยความให้เกียรติซึ่งกันและกัน และมีการเตรียมเวทีสำหรับการเจรจารอบสองด้วย
อับบาส อารักชี รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านเปิดเผยกับสถานีโทรทัศน์ของรัฐอิหร่านว่า การหารือกันครั้งแรก “จัดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่สันติและให้เกียรติกันมาก เพราะไม่มีการใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสม” โดยเขาเปิดเผยว่าการเจรจากันอีกครั้งในสัปดาห์หน้านั้น อาจไม่เกิดขึ้นที่โอมาน แต่ยังคงมีประเทศในตะวันออกกลางเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย
ขณะที่ทำเนียบขาว ระบุว่าการเจรจาครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในวันเสาร์หน้า
ทำไมอิหร่านจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ถือครองอาวุธนิวเคลียร์?
ทางการอิหร่าน ระบุว่า โครงการนิวเคลียร์ของตนเองมีวัตถุประสงค์เพื่อพลเรือนเท่านั้น พวกเขายังยืนยันว่าไม่ได้พยายามจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ แต่หลาย ๆ ประเทศ รวมถึงผู้เฝ้าระวังนิวเคลียร์นานาชาติอย่าง “ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ” (Global Atomic Vitality Agency – IAEA) ไม่เชื่อตามคำกล่าวอ้างดังกล่าว
ความคลางแคลงใจในเจตนาของอิหร่านเกิดขึ้นเมื่อพบว่ามีสถานที่ดำเนินการเกี่ยวกับนิวเคลียร์แบบลับ ๆ หลายแห่งในประเทศเมื่อปี 2002
นี่ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงที่เรียกว่า “สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์” (Nuclear Non-Proliferation Treaty – NPT) ซึ่งอิหร่านและประเทศอื่น ๆ เกือบทั้งหมดได้ลงนามกันไว้
สนธิสัญญาฉบับนี้อนุญาตให้ประเทศต่าง ๆ ใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทหารได้ เช่น เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ การเกษตร และพลังงาน แต่ไม่อนุญาตให้มีการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านก้าวหน้าไปถึงขั้นไหน?
ตั้งแต่สหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่เรียกว่า “แผนปฏิบัติการเบ็ดเสร็จร่วม” (Joint Entire Notion of Action – JCPOA) ในปี 2018 อิหร่านได้ละเมิดคำมั่นสัญญาสำคัญเพื่อตอบโต้การตัดสินใจของสหรัฐฯ ที่กลับมาคว่ำบาตรต่ออิหร่านอีกครั้ง
พวกเขาติดตั้งเครื่องหมุนเหวี่ยง (เครื่องทำให้บริสุทธิ์) หลายพันเครื่อง เพื่อเพิ่มสมรรถนะของยูเรเนียม ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามตามข้อตกลง JCPOA
การสร้างอาวุธนิวเคลียร์ต้องใช้ยูเรเนียมที่ผ่านการเพิ่มสมรรถนะจนมีความบริสุทธิ์ถึง 90% ซึ่งภายใต้ข้อตกลง JCPOA อิหร่านได้รับอนุญาตให้เพิ่มสมรรถนะของยูเรเนียมได้เต็มที่ 300 กิโลกรัม โดยทำให้บริสุทธิ์ได้เพียง 3.67% ซึ่งถือว่าเพียงพอกับการใช้พลังงานนิวเคลียร์เพื่อพลเรือนและใช้เพื่อการศึกษาวิจัย แต่ไม่ใช่สำหรับsะเบิดนิวเคลียร์
แต่ในเดือน มี.ค. 2025 ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ ระบุว่าอิหร่านมีแร่ยูเรเนียมราว 275 กิโลกรัมแล้ว ที่ถูกเสริมสมรรถนะให้บริสุทธิ์ถึง 60% ซึ่งในทางทฤษฎีถือว่าเพียงพอในการผลิตอาวุธได้ประมาณครึ่งโหล หากอิหร่านยังคงเพิ่มสมรรถนะแร่นี้ต่อ
เจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐฯ เคยกล่าวว่าพวกเขาเชื่อว่าอิหร่านจะสามารถเปลี่ยนแร่ยูเรเนียมเหล่านี้ให้เป็น ยูเรเนียมเกรดอาวุธสำหรับผลิตsะเบิดหนึ่งลูกได้ในระยะเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม พวกเขาระบุว่าอิหร่านจะต้องใช้ระยะเวลาราว 12 – 18 เดือน ในการสร้างเป็นอาวุธนิวเคลียร์ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็บอกว่าอุปกรณ์แบบ “หยาบ ๆ” อาจใช้เวลาสร้างเพียง 6 เดือนหรือน้อยกว่านั้น
ทำไมทรัมป์จึงถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ก่อนหน้านี้ ?
สหประชาชาติ สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ดำเนินมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ต่ออิหร่านตั้งแต่ปี 2010 หลังมีข้อสงสัยว่าโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านถูกใช้เพื่อพัฒนาsะเบิด
การคว่ำบาตรดังกล่าวทำให้อิหร่านหยุดการขายน้ำมันในตลาดต่างประเทศ และอายัดสินทรัพย์ต่างประเทศของอิหร่านมูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.35 ล้านล้านบาท) เศรษฐกิจของอิหร่านเข้าสู่ภาวะถดถอย และค่าเงินลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น
ในปี 2015 อิหร่านและหกประเทศมหาอำนาจของโลก ได้แก่ สหรัฐฯ จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย เยอรมนี และสหราชอาณาจักร ยอมรับข้อตกลง JCPOA หลังผ่านการเจรจาต่อรองมาหลายปี
ทั้งนี้ นอกจากจะเป็นการจำกัดสิ่งที่อิหร่านทำได้กับโครงการนิวเคลียร์ในประเทศแล้ว ยังเปิดช่องให้ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศสามารถเข้าถึงสถานที่ดำเนินการเกี่ยวกับนิวเคลียร์ทั้งหมดในอิหร่านได้ เพื่อตรวจสอบสถานที่ต้องสงสัย โดยมหาอำนาจเหล่านี้ตกลงที่จะยกเลิกการคว่ำบาตรเพื่อเป็นการตอบแทน
ข้อตกลง JCPOA ถูกกำหนดให้มีอายุ 15 ปี ก่อนที่ข้อจำกัดต่าง ๆ จะสิ้นสุดลง

ที่มาของภาพ : Getty Photographs
เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกในปี 2018 เขาได้ตัดสินใจถอนสหรัฐฯ ซึ่งเคยเป็นเสาหลักของข้อตกลงนี้ ออกจากข้อตกลงดังกล่าว
เขาบอกว่ามันเป็น “ข้อตกลงที่แย่” เพราะไม่เป็นการถาวรและไม่ได้กล่าวถึงโครงการขีปนาวุธของอิหร่านลงไปด้วย ทรัมป์จึงกลับมาดำเนินมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านอีกครั้งเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์ “กดดันขั้นสูงสุด” เพื่อบีบบังคับให้อิหร่านเข้ามาสู่การต่อรองข้อตกลงใหม่ที่มีขอบข่ายขยายออกไปอีก
การตัดสินใจของทรัมป์ได้รับอิทธิพลจากพันธมิตรของสหรัฐฯ ในภูมิภาค ซึ่งต่อต้านข้อตกลงนี้ ซึ่งผู้ที่มีบทบาทหลักผู้นั้นคือ อิสราเอล
ขณะนั้นอิสราเอลอ้างว่า อิหร่านยังคงแอบดำเนินการโครงการนิวเคลียร์ลับ และเตือนว่าอิหร่านจะใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐที่ได้จากการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตร มาเสริมความแข็งแกร่งในกิจกรรมการทางทหาร
สหรัฐฯ และอิสราเอลต้องการอะไรในตอนนี้?
การประกาศของทรัมป์เรื่องการเจรจากับอิหร่านดูเหมือนจะทำให้อิสราเอลรู้สึกแปลกใจ เขาพูดมานานแล้วว่าจะทำข้อตกลง “ที่ดีกว่า” ข้อตกลง JCPOA แม้ว่าจนถึงทุกวันนี้อิหร่านจะยังคงปฏิเสธการต่อรองข้อตกลงใหม่
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เตือนว่าหากอิหร่านยังไม่เจรจาข้อตกลงใหม่ “จะมีการทิ้งsะเบิด”
ไมค์ วอลทซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์ เคยระบุว่า ทรัมป์ต้องการ “การรื้อถอนอย่างเต็มรูปแบบ” ของโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน พร้อมกล่าวเสริมว่า “นั่นคือการพัฒนา นั่นคือการทำให้เป็นอาวุธ และนั่นคือโครงการขีปนาวุธเชิงยุทธศาสตร์ของอิหร่าน”
แม้ว่าทรัมป์จะบอกว่ามันจะเป็นการ “เจรจาโดยตรง” แต่ อับบาส อารักชี รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่าน ระบุว่าการเจรจาต่อรองในโอมานนั้น จะเป็นการเจรจาโดยอ้อม เขาบอกว่าอิหร่านพร้อมจะร่วมกับสหรัฐฯ แต่ทรัมป์ต้องตกลงก่อนว่าจะไม่มี “ตัวเลือกทางการทหาร”

ที่มาของภาพ : Reuters / Getty Photographs
หลังการประกาศของทรัมป์ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ก็ออกมาระบุว่า ข้อตกลงที่ยอมรับได้สำหรับเขานั้น จะต้องรวมถึงการที่อิหร่านตกลงจะกำจัดโครงการนิวเคลียร์ในประเทศเท่านั้น เขาย้ำว่ามันหมายถึงการที่ “เราเข้าไปข้างใน sะเบิดสถานที่ดำเนินการ และรื้ออุปกรณ์ทั้งหมด ภายใต้การกำกับดูแลและการดำเนินการตามแนวทางของชาวอเมริกัน”
ความกลัวสูงสุดของอิสราเอลคือการที่ทรัมป์อาจยอมรับการประนีประนอม โดยไม่ไปถึงจุดที่อิหร่านยอมจำนนอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเขาอาจจะบอกได้ว่ามันเป็นชัยชนะทางการทูตแล้ว
อิสราเอล ซึ่งไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) ถูกสันนิษฐานว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครองด้วย ซึ่งไม่มีการยืนยันหรือปฏิเสธจากอิสราเอล ขณะที่อิสราเอลเชื่อว่า การที่อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์โดยที่ไม่ยอมรับการมีอยู่ของอิสราเอลนั้น จะก่อให้เกิดภัยคุกคามที่สำคัญ
สหรัฐฯ และอิสราเอล สามารถโจมตีอิหร่านได้หรือไม่?
ทั้งสหรัฐฯ และอิสราเอล มีศักยภาพทางการทหารที่จะทิ้งsะเบิดเพื่อทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่ปฏิบัติการเช่นนั้นจะซับซ้อนและเสี่ยง ขณะที่ผลลัพธ์ก็ไม่แน่นอน
ไซต์นิวเคลียร์ที่สำคัญถูกฝังลึกอยู่ใต้ดิน หมายความมีเพียงsะเบิดทำลายบังเกอร์ที่ทรงพลังที่สุดเท่านั้นที่จะเข้าถึงมันได้ แม้ว่าสหรัฐฯ จะมีsะเบิดเหล่านี้อยู่ในครอบครอง แต่ไม่ทราบว่าอิสราเอลมีsะเบิดเหล่านี้หรือไม่
และแทบจะแน่นอนว่าอิหร่านต้องป้องกันตัวเอง ซึ่งอาจรวมถึงการโจมตีฐานปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ในภูมิภาค และยิvขีปนาวุธใส่อิสราเอล
ในปฏิบัติการลักษณะนี้ สหรัฐฯ อาจต้องใช้ฐานทัพในภูมิภาคอ่าว (อาหรับ) รวมถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน
อย่างไรก็ตาม ประเทศอย่างกาตาร์ ที่เป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ใหญ่ที่สุด อาจไม่ตกลงที่จะช่วยโจมตีอิหร่าน ด้วยความกลัวว่าจะถูกตอบโต้
รายงานเพิ่มเติมโดย ลีส ดูเซต์ หัวหน้าผู้สื่อข่าวต่างประเทศ และ บาบารา ทาสช์ บีบีซีนิวส์
ที่มา BBC.co.uk