
ย้อนรอยกรณีพิพาทเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ในศาลโลก

ที่มาของภาพ : thaigov
สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน หรือสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและประธานวุฒิสภาของกัมพูชา ออกมาสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อข้อเสนอของนายฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา ซึ่งเป็นบุตรชายของตน ที่เสนอให้นำข้อพิพาทเรื่องชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ( World Court of Justice – ICJ) หรือศาลโลก
สื่อกัมพูชาสองสำนัก ได้แก่ เขมอร์ ไทม์ส (Khmer Instances) และเดอะ พนมเปญ โพสต์ (The Phnom Penh Publish) รายงานตรงกันถึงการออกมาสนับสนุนของสมเด็จฮุน เซน
“หากเราไม่ให้ศาลตัดสิน ประเด็นนี้จะเป็นเหมือนกับเรื่องกาซาระหว่างปาเลสไตน์และอิสราเอล แก้ไขไม่ได้ จะมีการสู้กันร่ำไป ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ทำไมถึงกลัวไปขึ้นศาลหากเรามีความจริงใจ ?” เดอะ พนมเปญ โพสต์ รายงานคำพูดของสมเด็จฮุน เซน เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (2 มิ.ย.) ในที่ประชุมร่วมของสภาแห่งชาติและวุฒิสภากัมพูชา
ตามการรายงานของสื่อกัมพูชา เขากล่าวด้วยว่า หากประเทศไทยยังคงหลบเลี่ยงทางเลือกนี้ “ก็เป็นที่ชัดเจนว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่เบื้องหลัง”
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมร่วมของสภาแห่งชาติและวุฒิสภากัมพูชา ยังลงมติให้ความเห็นชอบข้อแถลงการณ์ของนายฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา ในการนำเรื่องข้อพิพาทชายแดนยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศด้วย
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue finding outได้รับความนิยมสูงสุด
Halt of ได้รับความนิยมสูงสุด

ที่มาของภาพ : thaigov
ก่อนหน้านี้ นายฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา ออกมาแสดงความเห็นเรื่องนี้ผ่านทางโพสต์บนเฟซบุ๊กของเขาเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (1 มิ.ย.) เสนอให้มีจัดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมระหว่างกัมพูชา-ไทย (JBC) กับฝ่ายไทยทันที เพื่อดำเนินการสำรวจ กำหนดแนวเขต และติดตั้งเครื่องหมายพรมแดนระหว่างสองประเทศ
พร้อมทั้งระบุว่าให้รวมเอาประเด็นของกรณีพื้นที่พิพาทพื้นที่ปราสาทตาเมือนและใกล้เคียงรวม 5 จุด ซึ่งจะนำขึ้นสู่ศาลโลกบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมของเจบีซีด้วย ซึ่งพื้นที่พิพาทดังกล่าวส่วนใหญ่คือกลุ่มปราสาทตาเมือนที่อยู่แนวชายแดนไทยด้าน จ.สุรินทร์
ความเคลื่อนไหวที่ช่วงวันที่ 1-2 มิ.ย. เกิดขึ้นหลังจากเกิดเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พ.ค. โดยทางกัมพูชาระบุว่า มีทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย
.รวบรวมความเคลื่อนไหวกรณีล่าสุด และย้อนรอยข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาในศาลโลกกรณีเขาพระวิหาร อันอาจทำให้เห็นขั้นตอนทางกฎหมายเกี่ยวกับข้อพิพาทในอดีต
ฮุน มาเนต กล่าวว่าอย่างไรเรื่องการนำกรณีพิพาทขึ้นศาลโลก
ฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก Hun Manet เป็นภาษากัมพูชาและภาษาอังกฤษ เมื่อคืนวันอาทิตย์ (1 มิ.ย.) ว่าหลังจากกลับจากภารกิจในต่างประเทศ เขาได้พบกับผู้นำทหารที่ประจำการในพื้นที่ชายแดนเพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์จริงในพื้นที่ชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย และระบุว่ากัมพูชายึดมั่นในการแก้ไขปัญหาพรมแดนอย่างสันติผ่านกลไกทางเทคนิคและกฎหมายระหว่างประเทศเป็นพื้นฐานหลัก
ฮุน มาเนต กล่าวต่อไปว่าในกรณีดังกล่าว เขาได้ให้คำแนะนำแก่คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมระหว่างกัมพูชา-ไทย (JBC) ว่าให้มีการจัดประชุมร่วมคณะกรรมการเจบีซีกับฝ่ายไทยทันที เพื่อดำเนินการสำรวจ กำหนดแนวเขต และติดตั้งเครื่องหมายพรมแดนระหว่างสองประเทศ พร้อมกับรวมเอากรณีพิพาทในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม (Ta Moan Thom), ตาเมือนโต๊ด (Ta Moan Toch), ปราสาทตาควาย (Ta Kro Bei temples) และพื้นที่มอมเบย (Mombei space) ที่จะนำขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ บรรจุในวาระการประชุมของเจบีซีด้วย
“เนื่องจากข้อเท็จจริงเมื่อเร็ว ๆ นี้ ความตึงเครียดได้ยกระดับขึ้นในพื้นที่มอมเบย ตาเมือนธม และตาเมือนโต๊ด สืบเนื่องจากการปลุกระดมอย่างต่อเนื่องของกลุ่มสุดโต่งกลุ่มเล็ก ๆ เติมเชื้อไฟให้กับขบวนการเคลื่อนไหวชาตินิยมในทั้งสองประเทศที่อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าครั้งใหม่ในอนาคต ผมหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถทำงานร่วมกันได้เพื่อบรรลุการแก้ปัญหาขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับพื้นที่พิพาทที่มีความอ่อนไหว รวมถึงการดำเนินการสำรวจ กำหนดแนวเขต และติดตั้งเครื่องหมายพรมแดนในพื้นที่ที่ยังไม่ได้กำหนดเขตแดนอย่างสันติ โดยอ้างอิงจากเหตุผลทางเทคนิคและกฎหมายระหว่างประเทศ” ข้อความบนเฟซบุ๊กของ ฮุน มาเนต ระบุ

ที่มาของภาพ : fb/Hun Manet
ฝ่ายไทยมีปฏิกิริยาอย่างไร
ท่าทีของฝ่ายไทยมีความเคลื่อนไหวมาจากกองทัพบกตั้งแต่ช่วงสายที่ผ่านมา โดย พล.ต. วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ช่องบก จ.อุบลราชธานี ภายหลังนายฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา เตรียมให้ที่ประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมเจบีซีไทย-กัมพูชา ที่จะมีขึ้นกลางเดือน มิ.ย. เสนอนำขึ้นศาลโลกว่า ยังเป็นคนละเรื่องกับปัญหาปัจจุบัน
พล.ต.วินธัย ระบุว่าปัจจุบันคือการทำอย่างไรที่จะอยู่ร่วมกันในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนที่ยังไม่ชี้ชัดว่าควรเป็นพื้นที่ของใครในขั้นตอนแรก ทั้งสองฝ่ายจึงถอยห่างจากจุดปะทะ และให้คณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชาหรือเจบีซีมาดูในเป็นเรื่องปักปันเขตแดน หรือกฎหมาย ข้อตกลง ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
“เพราะข้อตกลงที่ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ไปพูดคุยกับ ผบ.ทบ.กัมพูชา มีเห็นตรงกัน 3 ประเด็นคือ การถอยกำลังออกจากพื้นที่จุดปะทะ และใช้กลไกเจบีซีมาร่วมแก้ปัญหาเรื่องเขตแดน เรื่องสนธิสัญญา และข้อปฎิบัติตามเอ็มโอยูที่จะระมัดระวังดูแลกำลังพลพยายามไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก”
โฆษก ทบ. กล่าวต่อด้วยว่ากติกาที่ทำมาก่อนหน้านี้ เส้นที่มีอยู่แล้วของ 2 ประเทศไม่ได้ทับกัน เช่น พื้นที่ที่มีการขุดคูเลตเป็นพื้นที่อยู่ระหว่างจัดทำเขตแดน ซึ่งตามกติกาที่ใช้ร่วมกันมาอยู่ได้ตลอด ไม่ให้มีการดัดแปลงสภาพภูมิประเทศ ต้องไม่มีการวางกำลังทหาร วางปืนหันหน้ามาฝ่ายไทย จึงต้องมาร่วมกันรักษากติกาข้อตกลงที่ให้ไว้ต่อกันให้ได้ก่อนที่จะไปใช้กลไกอื่น ๆ

ที่มาของภาพ : FACEBOOK/SAMDECH HUN SEN
ส่วนความเห็นจากรัฐบาล สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า รัฐบาลขอให้กองทัพอย่าพึ่งดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาตลอดแนวทั้ง 5 จุด ซึ่งในเวลาต่อมานายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กชี้แจงกรณีความเข้าใจผิดเรื่องการปิดชายแดน โดยยืนยันว่า เขาและกองทัพ หารือร่วมกันหลายครั้ง และเห็นตรงกันว่าสถานการณ์ปัจจุบันทั้งสองประเทศwยายามหาทางออก จึงกำหนดขอบเขตในการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า และพยายามลดเงื่อนไขไม่ให้ความขัดแย้งขยายตัว
“สำหรับเรื่องการปิดชายแดนขณะนี้รัฐบาลเห็นว่า ท่าทีและการแสดงออกของทั้งสองประเทศ ยังเป็นการแสดงออกที่สามารถลดระดับความรุนแรงได้ เพราะการปิดด่านชายแดนแม้ไม่ใช่เรื่องการสู้รบทางตรง แต่กลับจะเกิดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ที่จะกระทบกับวิถีชีวิตประชาชน ทำให้สถานการณ์ยากต่อการคลี่คลาย”
ส่วน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พบการเคลื่อนไหวทางโซเชียลมีเดีย โดยนายกฯ ได้แชร์โพสต์ของบัญชีอินสตาแกรมพรรคเพื่อไทย ผ่านทางสตอรี่อินสตาแกรม “ingshin21” เป็นโพสต์ที่ระบุว่า “นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ยืนยันว่า ไทย-กัมพูชา มุ่งแก้ปัญหาแนวชายแดนอย่างสันติ ไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยใช้ 3 กลไกหลักคือ การเจรจากัมพูชา หารือถก JBC เร็วที่สุด ดูแลผ่อนคลายความตึงเครียดรอบชายแดน และการยึดหลักกฎหมายสากลในทุกขั้นตอน ดังนั้น ตอนนี้จึงต้องเตรียมประชุม JBC โดยเร็วที่สุด และขอความร่วมมือสื่อระมัดระวังในการเผยแพร่ข้อมูลเพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลาย”
ย้อนรอยกรณีปราสาทพระวิหารในศาลโลก
จากเอกสารที่ชื่อว่า “ข้อมูลที่ประชาชนไทยควรทราบเกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหารและการเจรจาเขตแดนไทย-กัมพูชา” จากกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือน ธ.ค. 2554 ได้ให้รายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับกระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศกรณีปราสาทพระวิหารที่มีการพิจารณาของศาลโลก ซึ่งไล่เรียงตามไทม์ไลน์ได้ ดังนี้
- ปี 2502 กัมพูชายื่นคำขอต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศให้วินิจฉัยเขตแดนไทย-กัมพูชา 2 ประเด็น ได้แก่ 1. อธิปไตยแห่งดินแดนเหนือปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา และ 2. ให้ไทยถอนกำลังทหารออกจากบริเวณปราสาทพระวิหาร
ต่อมาในปี 2505 กัมพูชาขอให้ศาลโลกวินิจฉัยเพิ่มเติม อีก 3 ประเด็น คือ ขอให้ตัดสินชี้ขาดเขตแดนไทย-กัมพูชา, พิจารณาสถานะของแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ระวางดงรัก ให้มีผลผูกพันไทย และขอให้รัฐบาลไทยส่งคืน สิ่งประติมากรรม แผ่นศิลา ส่วนสลักหักพังของสิ่งก่อสร้างโบราณสถาน รูปหินทราย และเครื่องปั้นดินเผาโบราณ ซึ่งได้ถูกโยกย้ายไปจากปราสาทพระวิหารโดยเจ้าหน้าที่ไทย นับแต่ ค.ศ.1954 ให้แก่รัฐบาลกัมพูชา
- ปี 2505 ศาลโลกตัดสินปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตแดนกัมพูชา
15 มิ.ย. 2505 ศาลโลกโดยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 ลงความเห็นว่า ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา และลงความเห็นว่า ลงความเห็นว่าไทยมีพันธะที่จะต้องถอนกำลังทหารหรือตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาหรือผู้ดูแลซึ่งไทยส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหารหรือในบริเวณใกล้เคียงอาณาเขตของกัมพูชา
นอกจากนี้ ศาลโลกโดยคะแนนเสียง 7 ต่อ 5 ลงความเห็นว่า ไทยมีพันธะที่จะต้องคืนวัตถุโบราณต่าง ๆ ให้แก่กัมพูชาด้วย
ทั้งนี้ เอกสารของ กต. ระบุช่วงหนึ่งว่า ในคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505 ศาลฯ ระบุว่าจะไม่ตัดสินว่า เส้นเขตแดนไทย – กัมพูชา บริเวณปราสาทพระวิหารเป็นไปตามแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ระวางดงรักหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ศาลฯ จำเป็นต้องทราบว่า เส้นเขตแดนไทย -กัมพูชา อยู่ที่ใดในบริเวณปราสาทพระวิหาร เพื่อใช้เป็นเหตุผลที่จะตัดสินว่าปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อธิปไตยของประเทศใด
พร้อมอธิบายความด้วยว่าคำตัดสินของศาลโลก ฯ อ้างเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่า ไทยได้ยอมรับแผนที่ดงรัก โดยไม่ได้ตัดสินเกี่ยวกับเส้นเขตแดนหรือสถานะของแผนที่ระวางดงรัก
6 ก.ค. 2505 ดร.ถนัด คอมันตร์ รมว.ต่างประเทศของไทยในขณะนั้น ได้มีหนังสือถึงรักษาการเลขาธิการสหประชาชาติว่า รัฐบาลไทยได้ออกแถลงการณ์เมื่อ 3 ก.ค. 2505 ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา แต่ในฐานะประเทศสมาชิกยูเอ็น ไทยจะปฏิบัติตามพันธกรณีต่าง ๆ อันเป็นผลมาจากคำพิพากษา
มติ ครม. มติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 10 ก.ค. 2505 ให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาด้วยการคืนเฉพาะตัวปราสาท โดยรัฐบาลไทยขณะนั้นและในเวลาต่อมายึดถือว่าคำพิพากษานี้มิได้ชี้ขาดในเรื่องแนวเส้นเขตแดนในบริเวณดังกล่าว

ที่มาของภาพ : กระทรวงการต่างประเทศ
ปี 2540 จัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา (Joint Boundary Price – JBC) เพื่อเป็นกลไกหลักในการเจรจาและการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา
ปี 2543 เกิด MOU 2543 เป็น บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก กำหนดพื้นฐานทางกฎหมายว่าการเจรจาเขตแดนไทย-กัมพูชา จะใช้เอกสารใดในการเจรจา แต่มิได้หมายความว่า อีกฝ่ายยอมรับว่าเอกสารดังกล่าวผูกพันตนเองแล้วแต่อย่างใด
ปี 2550 กัมพูชายื่นจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตร เนื่องจากกัมพูชาต้องกำหนดพื้นที่กันชนโดยรอบปราสาท
กระทรวงการต่างประเทศของไทยระบุว่า “กัมพูชาได้อ้างเส้นเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 โดยถ่ายทอดเส้นตามที่กัมพูชาเข้าใจเอาเอง และไม่ตรงกับเส้นที่กัมพูชาอ้างในคดีเดิม ปี 2505 ดังนั้นเรื่อง “พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร จึงเป็นปัญหาเขตแดนที่เกิดขึ้นใหม่”
ปี 2551-2554 เกิดเหตุปะทะหลายครั้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมกับความเคลื่อนไหวประเด็นมรดกโลก
– 18 มิ.ย. 2551 นายนพดล ปัทมะ ในฐานะ รมว.ต่างประเทศ ได้ลงนามคำแถลงการณ์ร่วมกับฝ่ายกัมพูชาและยูเนสโก ในขณะเดียวกันพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ได้ชุมนุมขับไล่เขาออกจากตำแหน่ง
– 28 มิ.ย. 2551 ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้กระทรวงการต่างประเทศและ ครม. ยุติการดำเนินการตามมติ ครม. ที่รับรองการออกแถลงการณ์ร่วมไทยกัมพูชาสนับสนุนให้กัมพูชาจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไปจนกว่าคดีจะเป็นที่สิ้นสุด
– 8 ก.ค. 2551 องค์การยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนตามคำขอของกัมพูชาให้ตัวปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ที่นครควิเบก ประเทศแคนาดา
เอกสารของ กต. ระบุว่า ภายหลังจากกัมพูชานำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในเดือน ก.ค. 2551 ได้เกิดความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณปราสาทพระวิหารมาเป็นลำดับ จนในที่สุดได้เกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาหลายครั้ง ได้แก่
– บริเวณเขาพระวิหาร ด้านภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ (ทางด้านตะวันตกของปราสาทพระวิหาร) ในเดือน ต.ค. 2551, เม.ย. 2552, ก.พ. 2554
– บริเวณพื้นที่กลุ่มปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ ซึ่งห่างจากปราสาทพระวิหารประมาณ 140 กิโลเมตร ในเดือน เม.ย.- พ.ค. 2554
ปี 2554 กัมพูชายื่นคำขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกได้ตัดสินไปแล้วเมื่อปี 2505
28 เม.ย. 2554 กัมพูชาได้ยื่นคำขอดังกล่าวว่าไทยมีพันธกรณีที่ต้องเคารพบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา
ดินแดนส่วนดังกล่าวถูกกำหนดขอบเขตในบริเวณปราสาทพระวิหารและพื้นที่ใกล้เคียงโดยเส้นที่ปรากฏบนแผนที่ภาคผนวก 1 หรือแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ที่กัมพูชาใช้แนบคำฟ้องของกัมพูชาในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 ซึ่งฝ่ายไทยมองว่ามีการขีดเส้นเขตแดนล้ำเข้ามาในฝั่งไทย
กัมพูชายังขอให้ศาลโลกออกมาตรการชั่วคราว ได้แก่ ขอให้ไทยถอนกำลังทั้งหมดจากส่วนต่าง ๆ ของดินแดนกัมพูชาในพื้นที่ปราสาทพระวิหารทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ห้ามไทยมีกิจกรรมทางทหารใด ๆในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร เป็นต้น
เอกสารของกระทรวงการต่างประเทศ อธิบายเรื่องการยอมรับเขตอำนาจศาลโลกของประเทศไทยไว้ว่า “ประเทศไทยได้ยอมรับเขตอำนาจศาลฯ ล่วงหน้า โดยผลของการประกาศฝ่ายเดียว ตามข้อ 36 (2) ของธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ โดยหนังสือลงวันที่ 20 พ.ค. 2493 (ยอมรับอำนาจศาลเป็นเวลา 10 ปี)” และ “หลังคดีปราสาทพระวิหารแล้ว ไทยไม่ได้ให้การยอมรับอำนาจของศาลโลกอีก ซึ่งหมายถึงการยอมรับอำนาจในคดีใหม่” (กระทรวงการต่างประเทศระบุตามเอกสารที่เผยแพร่ในเดือน ธ.ค. 2554)
กต. ระบุด้วยว่า “การยื่นคำขอต่อศาลโลกของกัมพูชาในครั้งนี้ (ปี 2554) ไม่ใช่เป็นการฟ้องคดีใหม่ แต่เป็นการตีความคดีเก่าที่ศาลได้ตัดสินไปแล้วเมื่อปี 2505 ซึ่งไทยได้ยอมรับอำนาจศาลแล้ว ในครั้งนั้นจึงเป็นการถ่ายทอดมาจากคดีเดิม ทั้งนี้การยอมรับดังกล่าวครอบคลุมถึงการที่ศาลจะตีความและออกมาตรการชั่วคราวใด ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับคดีหลักนี้ด้วย”
18 ก.ค. 2554 ศาลโลกมีคำสั่งมาตรการชั่วคราว โดยให้ไทยและกัมพูชาถอนทหารออกจากเขตปลอดทหารชั่วคราว (Provisional Demilitarized Zone – PDZ) ที่ศาลฯ กำหนด และงดเว้นการดำเนินกิจกรรมที่ใช้อาวุธไปยังพื้นที่ดังกล่าว และไม่ให้ไทยขัดขวางการเข้าออกปราสาทพระวิหารโดยเสรีของกัมพูชา หรือการส่งเครื่องอุปโภคบริโภคไปยังบุคลากรที่ไม่ใช่ทหารของกัมพูชาที่อยู่ในปราสาทพระวิหาร

ที่มาของภาพ : Getty Photographs
ปี 2556 ศาลโลกตัดสินชี้ขาด
เดือน พ.ย. 2556 ศาลชี้ขาดเป็นเอกฉันท์โดยอาศัยการตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ที่ตัดสินไว้ว่ากัมพูชามีอธิปไตยเหนือดินแดนทั้งหมดของยอดเขาพระวิหาร และพื้นที่บริเวณปราสาทที่ไทยต้องถอนทหารนั้น คือยอดเขาพระวิหาร
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ในขณะนั้น บรรยายสรุปต่อสื่อมวลชนว่า ศาลโลกไม่รับพิจารณาข้อเรียกร้องของกัมพูชาเหนือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร และไม่ได้ตัดสินว่าแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ผูกพันไทย ส่วนพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาท ศาลโลกเห็นว่าเป็นพื้นที่ขนาดเล็กซึ่งจำกัดอยู่เฉพาะบริเวณเขาพระวิหาร ไม่รวมถึงภูมะเขือ
ทั้งนี้ตามความเห็นของ เชิดชู รักตะบุตร อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศระบุว่า “คำพิพากษาทั้งสองครั้ง (2505 และ 2556) ยังไม่สามารถเฉลยข้อพิพาทระหว่างสองประเทศได้ทั้งหมด ซึ่งจะยังเป็นหน้าที่ของคู่ความทั้งสองที่จะต้องใช้วิธีเจรจากันต่อไป”
ที่มา BBC.co.uk