
“มรดกลุงตู่” รวมไทยสร้างชาติ ย้อนจุดเริ่มต้นถึงจุดจบ?

ที่มาของภาพ : Reuters
- Creator, หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
- Role, ผู้สื่อข่าว.
พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ใช้เวลาเพียง 3 ปี 2 เดือนนับจากก่อตั้งพรรค กลายเป็น “พรรคหัวหอก” ของฝ่ายอนุรักษนิยมในสมรภูมิเลือกตั้ง 2566 ก่อนเข้าสู่ภาวะระส่ำระสายจากการเปิด “ศึกใน” รอวันแตกสลายหลังจากนี้
นักการเมืองกลุ่มหนึ่ง นำโดย สุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ และรองหัวหน้าพรรค รทสช. ปล่อยภาพร่วมวงรับประทานอาหาร-ประเมินสถานการณ์การเมือง เมื่อ 30 พ.ค. พร้อมปล่อยข่าวผ่านสื่อว่าเตรียมยกพล-ย้ายค่ายไปสวมเสื้อพรรคโอกาสใหม่ลงสู่สนามเลือกตั้งครั้งหน้า
หนึ่งในบุคคลที่ปรากฏตัวในภาพข่าวคือ ธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค รทสช. โดยเจ้าตัวยอมรับว่า ไปร่วมสังสรรค์และเพิ่งไปร่วมเป็นครั้งแรก ไม่มีความเห็นเกี่ยวกับพรรคโอกาสใหม่ เขาและเพื่อน สส. บางส่วนยังไม่คิดย้ายพรรค ยังรักพรรค รทสช.
“โดยส่วนตัวยังอยากอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ เนื่องจากเป็นมรดกของ ‘ลุงตู่'..” ธนกร ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว
เช่นเดียวกับ ศาสตรา ศรีปาน สส.สงขลา พรรค รทสช. ที่ระบุผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ตอนนี้ยังอยู่ที่เดิม ไม่เคยไปไหน พรรค รทสช. เป็น “มรดกการทำงานของลุงตู่” มีอุดมการณ์ที่ชัดเจน มี สส. ที่มีคุณภาพ ทำงานให้ชาวบ้าน
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด
Stop of ได้รับความนิยมสูงสุด
อะไรทำให้พรรค รทสช. เดินมาถึงจุดนี้ บีบีซีชวนย้อนดู “มรดกลุงตู่” จากจุดเริ่มต้น-ก่อร่าง-ถดถอย-คงที่-และอาจเคลื่อนไปสู่จุดจบ?
เริ่มต้น จากความขัดแย้งของ 2 ป.
หากจะกล่าวว่าพรรค รทสช. เกิดขึ้นเพราะความขัดแย้งก็ดูจะไม่ผิดนัก
แม้จดทะเบียนจัดตั้งพรรคกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งแต่ 31 มี.ค. 2564 โดย เสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี และอดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แต่พรรคนี้กลายเป็นที่สนใจของสังคมเมื่อถูกเลือกให้เป็น “ยานพาหนะใหม่” ในการส่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 เข้าทำเนียบรัฐบาลเป็นหนที่ 3

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
ในเวลานั้น ลูกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. ประกาศอยู่เนือง ๆ ว่าจะส่งชื่อ “ป.ประวิตร” เข้าประกวดในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ลำดับที่ 1 ในบัญชีของพรรค ซึ่งคล้ายกับเป็นการไล่ “ป.ประยุทธ์” ทางอ้อม ทั้งที่หัวหน้า คสช. เคยเป็นนายกฯ ในบัญชีของพรรค พปชร. มาก่อนในการเลือกตั้ง 2562
ฝ่ายกองเชียร์ ป. ผู้น้อง จึงยุให้แยกทาง-แยกพรรคจาก ป. ผู้พี่
ก่อนปรากฏสัญญาณชัดเจนเมื่อนักการเมืองคนสนิทของ พล.อ.ประยุทธ์ เคลื่อนตัวเข้าไปยึดครองพรรค-จัดโครงสร้างองค์กรใหม่ในการประชุมใหญ่วิสามัญพรรค รทสช. เมื่อ 3 ส.ค. 2565 โดย พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรค และ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ บุตรบุญธรรมของ สุเทพ เทือกสุบรรณ นั่งเก้าอี้เลขาธิการพรรค
ในวันนั้น พีระพันธุ์ หลีกเลี่ยงจะตอบคำถามผู้สื่อข่าวเรื่องการทำ “พรรคสำรอง” ไว้รองรับ พล.อ.ประยุทธ์ และอุบชื่อแคนดิเดตนายกฯ ในบัญชีของพรรค รทสช.
สำหรับคำว่า “รวมไทยสร้างชาติ” เป็นคำที่ เสกสกล บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ชื่นชอบและตั้งคำนี้ขึ้นมาเอง
“ผมเกรงว่าคนอื่นจะนำชื่อนี้ไปใช้ จึงส่งทีมงานไปจดทะเบียนเป็นชื่อพรรคไว้ก่อน” และ “การจดทะเบียนพรรครวมไทยสร้างชาติ มีความชัดเจนว่าสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อไป” อดีตผู้ก่อตั้งพรรค รทสช. เคยเล่าถึงที่มาที่ไปของพรรคเอาไว้
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็นคนสั่งตั้งชื่อพรรคนี้ แต่ยอมรับว่าเป็นคำที่พูดถึงในวาระอื่นว่า “เราต้องรวมพลังกันในการสร้างชาติของเรา เดินไปข้างหน้า ผมพูดในนามนายกรัฐมนตรี เขาก็ไปตั้งเป็นชื่อพรรค”
ผู้นำรัฐบาลรายนี้ มักพูดถึงคำนี้อยู่บ่อย ๆ ในช่วงแก้ปัญหาโควิด-19

ที่มาของภาพ : Reuters
ทว่าไม่นานหลังจากนั้น ป.ประยุทธ์ ก็แยกบ้านไปเป็น “หัว” ของพรรค รทสช.
ส่วน ป.ประวิตร ก็เข้ายึดบัญชีแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค พปชร. ตามคาด
ในการเลือกตั้ง 2566 จึงมี 2 “พรรค(ชู)ทหาร” ลงแข่งขัน-ตัดคะแนนเสียงกันเอง
ก่อร่างสร้างพรรค ด้วยแรง “ดูด” ขายภาพ “คนดี”
การลงสู่สนามเลือกตั้งหนที่ 2 ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ในบัญชีพรรคการเมือง ทำให้พรรค-พวกประยุทธ์ต้องเผชิญกับความท้าทาย ทั้งต้องพยายามแก้ “โจทย์เก่า” และรับ “โจทย์ใหม่”
ไม่ว่าจะเป็น ระบบเลือกตั้งแบบ “ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” ตามคำกล่าวของแกนนำพรรค พปชร. ที่เรียกว่า ระบบจัดสรรปันส่วนผสม ซึ่งใช้ครั้งแรกและครั้งเดียวในการเลือกตั้งปี 2562 ถูกยกเลิกไปแล้วเปลี่ยนมาใช้ระบบเลือกตั้ง สส.แบบเขต และแบบปาร์ตี้ลิสต์ดังเดิม
หรือการที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตเพียงคนเดียวที่เหลืออายุขัยทางการเมืองเพียง 2 ปี ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ “คดีนายกฯ 8 ปี”
แม้รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดห้ามนายกฯ ดำรงตำแหน่งรวมกันเกิน 8 ปี แต่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเมื่อ 30 ก.ย. 2565 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่สิ้นสุดลง เพราะให้เริ่มนับวาระดำรงตำแหน่งตั้งแต่ 6 เม.ย. 2560 อันเป็นวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่ 20
พลันที่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบรับเทียบเชิญเป็นแคนดิเดตนายกฯ ในบัญชีของพรรค รทสช. เมื่อ 23 ธ.ค. 2565 พีระพันธุ์ จึงลั่นวาจาว่า “คนดี ๆ อย่างท่าน หนึ่งวันก็อยู่ได้” เพื่อยืนยันว่าการเป็นนายกฯ ได้เพียงครึ่งเทอมของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่ปัญหา
ถึงกระนั้น พรรค รทสช. ก็ส่งชื่อแคนดิเดตนายกฯ 2 คนเพื่อลดจุดเสี่ยงจากภาวะไม่แน่นอนว่าลำดับ 1 คือ พล.อ.ประยุทธ์ ลำดับ 2 คือ พีระพันธุ์ แต่นั่นหาได้ทำให้กระแส “นายกฯ คนละครึ่ง” เบาบางลงตลอดช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ผู้เคยวางตัวอยู่ “เหนือการเมือง” ในช่วงเป็นนายกฯ คนนอกของพรรค พปชร. ยังยอมลงมา “คลุกการเมือง” เกือบจะเต็มตัว ด้วยการสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเป็นครั้งแรกในชีวิต และมีตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรคด้วย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา “ขาลอย” แบบในช่วงรัฐบาล “ประยุทธ์ 2”

ที่มาของภาพ : กองโฆษก รทสช.
แม้เป็นพรรคใหม่ แต่ รทสช. ยังใช้วิธีเก่าในการสร้างความเติบโตแบบฉับพลันให้แก่พรรค ด้วยการ “ดูด-ดึง” นักเลือกตั้งอาชีพทั้งระดับชาติและท้องถิ่นเข้ามาร่วมงานจำนวนมาก แน่นอนว่าชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกใช้เป็น “แม่เหล็ก” สำคัญ
นักรัฐศาสตร์ชี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังเป็นตัวเลือกเดียวของชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษนิยมในกลุ่ม “ขวาค่อนข้างสุดโต่ง”
ถดถอย ทั้งคะแนนมหาชนหาย-ยอด สส. หด
การแยกกันเดินของ 2 ป. ทำให้พลังอำนาจของฝ่ายอนุรักษนิยมคล้ายถูกผ่าออกเป็น 2 ส่วน โดยไม่มีใครรู้ว่า 2 พี่น้องจะกลับมาร่วมกันตีอย่างไรภายหลังเสร็จสิ้นศึกเลือกตั้ง
แต่พรรคขั้วตรงข้ามทางอุดมการณ์ได้ชิงจับพรรคของ 2 พี่น้องมาผูกติดกัน และผลิตแคมเปญโจมตี-ลดทอนความน่าเชื่อถือไม่ว่าของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ หรือ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร
พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ประกาศจุดยืน “มีลุงไม่มีเรา” ซึ่งกลายเป็นกระแสสูงและกระแสกดดันให้พรรคการเมืองต่าง ๆ ต้องพูดให้ชัดเจนว่าจับมือหรือไม่จับมือตั้งรัฐบาลกับพรรคไหนอย่างไร ขณะที่พรรคเพื่อไทย (พท.) ประกาศ “ปิดสวิตช์ 3 ป.”
ผลการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 ออกมาว่า พรรค ก.ก. ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนน 14.4 ล้านเสียง นำ สส. เข้าสภาได้ 151
ขณะที่พรรค พปชร. มีคะแนนมาเป็นอันดับ 4 ด้วยยอด สส. 40 คน แต่คะแนนมหาชนเหลือเพียง 5.3 แสนเสียง ส่วนพรรค รทสช. มาเป็นอันดับ 5 ด้วยยอด สส. 36 เสียง (สส.เขต 23 คน สส.บัญชีรายชื่อ 13 คน) ได้คะแนนมหาชน 4.6 ล้านเสียง

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
หากรวมคะแนนของ 2 พรรคลุง นั่นเท่ากับว่า ยอด สส. หดไปถึง 40 คน คะแนนมหาชนหายไปกว่า 3.3 ล้านเสียง จากเดิมในปี 2562 ที่พรรค พปชร. เป็นพรรคอันดับ 2 ของสภาด้วยยอด สส. 116 คน ได้คะแนนมหาชนสูงสุดในหมู่ทุกพรรคการเมืองที่ 8.4 ล้านเสียง
จริงอยู่ที่ยอดผูู้แทนราษฎร 36 คนของรวมไทยสร้างชาติ เพียงพอให้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตกคุณสมบัติการเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องมาจากพรรคที่มี สส. เกิน 25 คนขึ้นไป แต่การประสบความพ่ายแพ้อย่างยับเยินของพรรค รทสช. ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์จำต้องประกาศ “วางมือทางการเมือง” และลาออกจากพรรคเมื่อ 11 ก.ค. 2566 ก่อนมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นองคมนตรีในอีก 4 เดือนถัดมา
จึงถึงคราวที่ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวรวมไทยสร้างชาติต้องถอยห่างจากการเมืองอย่างจริงจัง
คงที่ ภายใต้รัฐบาลผสมข้ามขั้ว
มรดกที่เหลืออยู่ของ “ระบอบ คสช.” คือ 250 สว. ชุดเฉพาะกาลที่มาจากกระบวนการคัดเลือกของ คสช. และยังมีอำนาจในการโหวตเลือกนายกฯ คนที่ 30 ร่วม สส. ภายหลังการเลือกตั้ง 2566 อีกครั้งหนึ่ง
สว. ชุดที่ 12 กลายเป็นผู้ชี้ขาดที่ทำให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก.ก. ชวดตำแหน่งประมุขฝ่ายบริหาร เพราะได้คะแนนเสียงสนับสนุนจากที่ประชุมรัฐสภา 13 ก.ค. 2566 ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง โดย สว. ส่วนใหญ่ 159 คนงดออกเสียง, 43 คนลาประชุม/ไม่ปรากฏการลงมติ, 34 คนโหวตไม่เห็นชอบ และมีเพียง 13 คนที่โหวตสนับสนุนให้หัวหน้าพรรค ก.ก. เป็นนายกฯ

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
ความพ่ายแพ้กลางรัฐสภาของก้าวไกล เปิดทางให้พรรคอันดับ 2 อย่างเพื่อไทยพลิกมาเป็นแกนนำจัดตั้ง “รัฐบาลผสมข้ามขั้ว” ได้หลังจากนั้น ส่ง เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ ลำดับที่ 2 ของพรรค พท. เข้าทำเนียบฯ ในฐานะนายกฯ คนที่ 30 วันเดียวกับที่ ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางกลับบ้านเกิด 22 ส.ค. 2566
ในจำนวน 11 พรรคร่วมรัฐบาล “เศรษฐา” มี 5 พรรคเคยเป็นพรรคร่วมรัฐบาล “ประยุทธ์ 2” มาก่อน ไม่เว้นกระทั่งพรรค “2 ลุง” ที่ แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรค พท. เคยประกาศ “ปิดสวิตช์” เอาไว้
สิ่งที่พรรค 36 เสียงได้จาก “สูตรพิสดาร” ในการจัดตั้งรัฐบาลคือ เก้าอี้รัฐมนตรี 4 ตำแหน่ง แบ่งเป็น รมว. 2 ตำแหน่ง และ รมช. 2 ตำแหน่ง

ที่มาของภาพ : สำนักโฆษก สำนักนายกรัฐมนตรี
ปีต่อมา มีการเปลี่ยนตัวนายกฯ เป็น แพทองธาร หลัง เศรษฐา ต้องพ้นจากตำแหน่งตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 14 ส.ค. 2567 เนื่องจาก “ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” กรณีแต่งตั้งผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามเป็น รมต. แต่โควต้าของพรรค รทสช. ยังคงเดิมที่ 4 ตำแหน่ง โดย พีระพันธุ์ ยังคงที่-เหนียวแน่นบนเก้าอี้ตัวเดิม ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน แต่มีการสลับให้ เอกนัฏ เข้าไปนั่งเป็น รมว.อุตสาหกรรม ในรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง” จากเดิมมี พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล เป็นเจ้ากระทรวงในยุครัฐบาล “เศรษฐา”
ในระหว่างนี้ได้เกิดเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าด้วยปัญหาในการบริหารจัดการภายในพรรค ซึ่งเกิดการวัดพลังระหว่างฝ่ายที่อ้างตัวว่าเป็น “สายลุง” กับฝ่ายที่แสดงตัวเป็นตัวแทน “สายทุน” เป็นระยะ ๆ ตามด้วยร่องรอย “ปริร้าว” สะท้อนผ่านการที่อดีต รมต. และอดีต สส. ทยอยเดินออกจากพรรคไป
จึงไม่แปลกหาก “หัวหน้าพี” จะยืมชื่อ “ลุงตู่” มารวมใจคนในพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์คือคนสำคัญที่สร้างดีเอ็นเอให้กับพรรค รทสช.
“แม้วันนี้ท่านจะไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ ‘ลุงตู่' ถือเป็นส่วนหนึ่งของพรรครวมไทยสร้างชาติ ทำให้ได้ สส. ถึง 36 ที่นั่ง คณะกรรมการบริหารพรรคไม่เคยลืมบุญคุณ…” พีระพันธุ์ กล่าวระหว่างประชุมใหญ่พรรค รทสช. เมื่อ 21 เม.ย. 2567
เขายังบอกด้วยว่า ต้องเก็บดีเอ็นเอของ “ลุงตู่” ไว้ให้กับพรรค รทสช. และจะพยายามทำงานอย่างที่ตั้งใจเหมือนสมัยที่อยู่กับ “ลุงตู่”
จากนั้นสถานการณ์ของพรรค รทสช. ก็ทรง ๆ เรื่อยมา
จุดจบ จาก “ศึกใน”
กระทั่งเสร็จศึกอภิปรายงบประมาณปี 2569 เมื่อ 31 พ.ค. การเปิด “ศึกใน” พรรค รทสช. ก็เริ่มปิดไม่มิด ปรากฏความเคลื่อนไหวอย่างอึกทึกคึกโครมผ่านสื่อ จนเกิดการตอบโต้ไปมาระหว่าง 2 ส. กับอดีต 1 เสธ.
ส. แรก สุชาติ ชมกลิ่น ส่งสัญญาณย้ายพรรคอย่างชัดเจน โดยระบุว่า พรรค รทสช. อาจดีสำหรับคนบางกลุ่มบางคน แต่สำหรับตน บริบทอาจไม่ได้เหมาะ ก็ต้องมองไปข้างหน้า
“ทุกท่านทราบดีว่าผมมาอยู่ตรงนี้ผมทำเพื่อใคร และภารกิจส่วนนั้นได้จบสิ้นแล้ว ที่เข้ามารับใช้ประเทศชาติบ้านเมืองตั้งแต่ปี 2562 แต่ตอนนี้ไม่สามารถไปอยู่กับท่านได้แล้ว ซึ่งท่านได้ฝากไว้หลายเรื่อง เหมือนการตามผู้มีพระคุณมา แล้ววันหนึ่งต้องตัดสินใจด้วยตนเอง” สุชาติ ซึ่งเป็นอดีตกรรมการบริหารพรรค พปชร. และปัจจุบันเป็นรองหัวหน้าพรรค รทสช. กล่าวเมื่อ 3 มิ.ย.
จากยอด สส. ที่ถูกระบุว่าไปปรับทุกข์-ผูกมิตรกันราว 20 คน มีคำสบประมาทจากขั้วอำนาจปัจจุบันในพรรค รทสช. ว่าถึงเวลาน่าจะมี สส. ไปกับ สุชาติ เพียง 5-6 คน ทำให้ สุชาติ ท้าทายว่า “สามารถขับผมออกจากพรรคได้ก็จะได้รู้ว่ามีกี่คน” และย้ำด้วยว่า สส. 90% ที่ไปทานข้าวร่วมกันในวันนั้น ตัดสินใจมา 5-6 เดือนแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่
หิมาลัย ผิวพรรณ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมียศทหาร และเป็นที่รู้จักในชื่อ “เสธ.หิ” ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษารองนายกฯ และเป็น ผู้อำนวยการพรรค รสทช. สำรวจภาพถ่ายก๊วนทานข้าวอย่างละเอียด ก่อนบรรยายในเฟซบุ๊กของเขาว่า ในรูปที่ไปรับประทานอาหารวันนั้น มี กก.บห. 1 คน ที่เหลือเป็น สส. 4 คน, พ่อ สส. 1 คน, ลูก สส. 1 คน รวมรองหัวหน้าพรรคอีก 1 คน “ในจำนวน สส. หลายคนที่ไป ได้รับข่าวยืนยันกลับมาว่าเป็นการไปร่วมรับประทานอาหารตามคำเชิญ แต่การตัดสินใจย้ายพรรคหรือไม่นั้น หลายคนแจ้งว่ายังไม่ถึงเวลาตัดสินใจ ดังนั้นจำนวนคงไม่อาจนับได้ในเวลานี้”
ผู้อำนวยการ พรรค รทสช. ยังดักคอด้วยว่า สส. ที่ไปทานข้าวมี 2 ประเภทคือ สส.แบบเขตเลือกตั้ง มีภาระผูกพันอยู่กับพรรค เพราะตอนเสนอตัวให้ประชาชนเลือกเสนอในนามพรรค ควรเคารพมติพรรคและอยู่ในกติกาของพรรคอย่างมีมารยาท หากถึงเวลาย่อมเป็นสิทธิของท่านที่จะพิจารณาหาพรรคที่เหมาะสมกับจริตของตนต่อไป ส่วน สส.แบบบัญชีรายชื่อ เป็นคะแนนของพรรค เพราะประชาชนเลือกที่พรรค ไม่ใช่ตัวบุคคล หากพรรคที่สังกัดไม่ตรงกับความต้องการก็ควรจะลาออกจากสมาชิกพรรคในทันที

ที่มาของภาพ : HANDOUT
ส.ที่สอง เสกสกล อัตถาวงศ์ เผยแพร่คลิปวิดีโอผ่านสื่อสังคมออนไลน์เพื่อ “ทวงคืนพรรค ถ้าหัวหน้าทำไม่เป็นก็ลาออกไป” และยกสารพัดเหตุผลมาไล่เรียงความไม่สง่างามของหัวหน้าพรรคที่อยู่ระหว่างถูก สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ไต่สวนคดีฝ่าฝืนจริยธรรม กรณีแจกถุงยังชีพแล้วติดสติกเกอร์ชื่อ-รูปตัวเอง, การไม่เปิดรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น สนใจแต่พวกพ้องของตน
หิมาลัย ตอบโต้ว่า “พี่แรมโบ้” ลาออกจากสมาชิกพรรคไปแล้ว, พีระพันธุ์ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคจากการเลือกตั้งอย่างถูกต้อง, พรรคมีสมาชิกพรรค 40,000 กว่าคน จึงเข้าใจได้ว่า รทสช. เป็นของประชาชนผู้สนับสนุนพรรค ไม่ใช่ของส่วนตัวของผู้ใด “จึงไม่สามารถหาข้อมูลหรือเหตุผลที่จะนำเสนอท่านหัวหน้าพรรค เพื่อคืนพรรคให้พี่ได้”
ถึงตอนนี้ หัวหน้าพรรคยังไม่ได้ให้ความเห็นใด ๆ มีเพียงเลขาธิการพรรค รทสช. ที่ออกมาระบุว่า “ปัญหาทุกอย่างคุยกันได้” และบอกด้วยว่า ได้รับแจ้งจาก สส. ว่าแค่ไปทานข้าวกันเฉย ๆ หรือก่อนหน้านี้ก็มีการปล่อยข่าวว่าจะมีคนย้ายออกจากพรรค หลายคนก็ออกมาปฏิเสธแล้ว คิดว่าเป็นการเข้าใจผิด เรื่องนี้ทุกพรรคการเมืองถือว่าเป็นเรื่องปกติ อาจมีสิ่งที่คาใจ หรือมีปัญหากันบ้าง แต่ก็เปิดรับฟังอยู่แล้ว
พรรค รทสช. ยังอยู่กันแน่นหรือแตกแล้ว? คำตอบจาก เอกนัฏ คือ”ยังอยู่กัน”
คำกล่าวของคนการเมืองในพรรคการเมืองที่ถูกเปรียบเปรยว่าเป็น “มรดกลุงตู่” คือสิ่งที่สังคมรอคอยการพิสูจน์ว่าจะดำรงคงอยู่ไปถึงเมื่อไร หรือจะมลายหายไปเมื่อขาดไร้ผู้นำบารมีตัวจริง
ที่มา BBC.co.uk