
สายสัมพันธ์หลายทศวรรษ ระหว่างตระกูล “ฮุน” และ “ชินวัตร” ขาดสะบั้นลงเพราะเหตุใด ?

ที่มาของภาพ : FACEBOOK/Samdech Hun Sen
Article Files
-
- Author, จิราภรณ์ ศรีแจ่ม และ ปณิศา เอมโอชา
- Function, ผู้สื่อข่าว.
เพียงคำหนึ่งคำเท่านั้นที่ทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฮุนแห่งกัมพูชาและตระกูลชินวัตรขาดสะบั้นลง ทั้งที่พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมานานหลายทศวรรษ
คำ ๆ นั้น คือคำว่า “ไม่เป็นมืออาชีพ” จากความเห็นของนายวิชานา สาร์ นักวิเคราะห์จากราชวิทยาลัยแห่งกัมพูชา (Royal Academy of Cambodia)
นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เอ่ยคำดังกล่าวออกมาเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ที่ผ่านมา เพื่อตอบโต้การสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของสองพ่อลูกตระกูลฮุนที่กวนน้ำให้ขุ่น และทำให้การจัดการเรื่องข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาไปคนละทิศละทางมากขึ้น
นายวิชานา บอกกับ.ว่า “คำนี้สร้างความเจ็บใจ” ให้กับ สมเด็จฮุน เซน ผู้ปกครองประเทศกัมพูชามายาวนานกว่า 3 ทศวรรษ ดังนั้นจึงสามารถอธิบายได้ง่าย ๆ ว่าสายสัมพันธ์ที่มีมาตั้งแต่รุ่นพ่อ ต้องจบลงเพราะลูกสาวของนายทักษิณ ชินวัตร
เขาชี้ให้เห็นว่าเราสามารถเห็นความโกรธเกรี้ยวของผู้นำชาวกัมพูชาวัย 72 ปีได้จากการออกกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสมาชิกสภาท้องถิ่นใน จ.พระวิหาร ของกัมพูชาวันนี้ (27 มิ.ย.)
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด
End of ได้รับความนิยมสูงสุด
จากการรายงานของขแมร์ไทมส์ (Khmer Instances) ระบุว่าเช้าวันนี้ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ไทยและกัมพูชาตกลงปรับวางกำลังพลบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตหลังเกิดข้อพิพาทในพื้นที่ดังกล่าว และเมื่อฝั่งกัมพูชาตกลงทำตามที่ทางฝ่ายไทยร้องขอ แต่ปรากฏว่า “สื่อในกรุงเทพฯ รายงานว่ากัมพูชาถอนกำลังพล” ทั้งที่มันไม่ใช่
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหมของไทย เคยออกมาเน้นย้ำให้สื่อไทยหลีกเลี่ยงการใช้คำว่าถอยหรือถอนตัว เนื่องจากเป็นการปรับการวางกำลังของทั้งสองฝ่าย แต่สุดท้ายดูเหมือนว่าคำขอร้องดังกล่าวจะไม่เป็นผล
สมเด็จฮุน เซน กล่าวว่าการที่สื่อและเจ้าหน้าที่ไทยบิดเบือนการเคลื่อนไหวดังกล่าวว่าเป็นการถอนกำลังทหารของกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียวนั้น เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับได้และมองว่า “ถูกทรยศ”
“เราตกลงกันแล้วเรื่องการปรับวางกำลังทหารที่สามเหลี่ยมมรกต มันยากมากสำหรับผมที่จะอธิบายในตอนนั้น ทั้งทักษิณ ชินวัตร และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมถึงนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของไทยต่างก็โทรมาขอบคุณผม” ขแมร์ไทมส์ รายงานคำพูดของสมเด็จฮุน เซน
ผู้นำกัมพูชากล่าวต่อว่า เขาจำเป็นต้องบันทึกการสนทนาระหว่างตนเองกับนายกฯ แพทองธารไว้ เพื่อความโปร่งใส และที่จริงแล้วโทรศัพท์ของเขาบันทึกทุกสายสนทนาโดยอัตโนมัติ
สมเด็จฮุน เซน ยังเน้นย้ำว่าตนเองไม่มีเจตนาเผยแพร่คลิปเสียงดังกล่าวในตอนแรก จนกระทั่งนายกรัฐมนตรีแพทองธารกล่าวหาผู้นำกัมพูชาทั้งสองว่า “ไม่เป็นมืออาชีพ”
ก่อนหน้านี้ นายวีร็อก อู นักวิเคราะห์การเมืองชาวกัมพูชา ซึ่งเป็นประธานและผู้ก่อตั้งฟิวเจอร์ ฟอรัม (Future Forum) สถาบันคลังสมองด้านนโยบายสาธารณะในกัมพูชา ให้สัมภาษณ์กับ.ว่าบางครั้งการตัดสินใจที่ส่งผลทางการเมือง อาจไม่ใช่แผนลึกลับที่ถูกวางไว้ แต่มันอาจเกิดขึ้นได้จากความโกรธเพียงชั่วครู่
“ผมคิดว่าเมื่อคุณอยู่กับการเมืองมานานหลายปีเกินไป และรู้อะไรต่อมิอะไรมากขึ้น รู้อะไรมากเกิน ผมหมายถึงรู้จักใครคนหนึ่งจนดีพอ ผมบอกได้ว่าหลายครั้งมันแทบไม่ใช่กลยุทธ์อย่างที่ผู้คนในสาธารณะเข้าใจ มันมีความเป็นกลยุทธ์น้อยกว่านั้นมาก เพราะการตัดสินใจอาจเกิดขึ้นจากความโกรธเพียงครั้งเดียว โดยผู้มีอำนาจเพียงคนเดียวหรือเพียงไม่กี่คน และทำให้เรื่องบานปลาย” เขากล่าว
นักวิเคราะห์ชาวกัมพูชาจากฟิวเจอร์ ฟอรัม ยังบอกด้วยว่าหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างสองตระกูลคงเป็นสิ่งที่ฟื้นฟูได้ยากเมื่อเวลาผ่านไป
“ผมแค่อยากบอกว่า มันไม่ได้เกิดขึ้นจากแผนการหรือกลยุทธ์อะไร มันไม่ได้ถูกวางแผน แต่มันแค่เกิดขึ้นแล้ว” นายวีร็อก กล่าวกับ.
การขาดสะบั้นของสองตระกูลที่ “แทบจะทรงอิทธิพลที่สุดในภูมิภาค”
นายวิชานา นักวิเคราะห์จากกัมพูชา เคยเขียนบทความเผยแพร่เมื่อปีที่แล้วว่าสายสัมพันธ์ระหว่างสมเด็จฮุน เซน และ อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ในการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีความซับซ้อนและน่าสนใจยิ่ง หากมองจากพลวัตในภูมิภาค ผลประโยชน์ที่มีร่วมกัน รวมถึงภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงในภูมิภาคนี้
บทวิเคราะห์ดังกล่าว ระบุว่า หากมองมิติด้านเศรษฐกิจ ทักษิณคือนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จที่ผันตัวมาเป็นนักเมืองและดำเนินนโยบายประชานิยมจนได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างมากในห้วงเวลานั้น ขณะที่ สมเด็จฮุน เซน ปกครองกัมพูชามาอย่างยาวนาน และทั้งคู่มีจุดร่วมกันคือการพยายามใช้ประโยชน์จากความสำเร็จด้านนโยบายเศรษฐกิจเพื่อเสริมสร้างสถานะการเมืองของตนเอง
ในวันนี้ นายวิชานา ให้สัมภาษณ์กับ.หลังฟังสุนทรพจน์ของสมเด็จฮุน เซน จบว่า จุดร่วมของชายทั้งสองคนในตอนนี้คือ ทั้งคู่เป็นพ่อของผู้นำประเทศอย่างที่เราเห็นว่า พล.อ.ฮุน มาเนต ลูกชายคนโตของสมเด็จฮุน เซน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ขณะที่ลูกสาวคนเล็กของนายทักษิณดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย
“แต่สิ่งที่ทำให้ สมเด็จฮุน เซน และ ทักษิณ แตกต่างกันในตอนนี้คือ ท่านฮุน เซน มีอำนาจอย่างมาก เนื่องจากปกครองกัมพูชามานานกว่า 30 ปี และยังมีอำนาจการเมืองทางตรง ตอนนี้เขาดำรงตำแหน่งเป็นประธานวุฒิสภา และเป็นผู้นำพรรคการเมืองที่ครองเสียงข้างมากของประเทศในขณะนี้มานานหลายสิบปี ขณะที่ทักษิณไม่ใช่แบบนั้น เขาถูกทำให้ออกจากการเมืองไปนานแล้ว และกลับมาครั้งนี้เขามีอำนาจทางอ้อม ไม่มีอำนาจเท่าเดิม และไม่มีอำนาจทางการเมืองโดยตรงเหมือนสมเด็จฮุน เซน”
เขากล่าวต่อว่า การที่นายกรัฐมนตรีแพทองธารโต้ว่า พล.อ.ฮุน มาเนต และ สมเด็จฮุน เซน ไม่เป็นมืออาชีพนั้น ถือเป็นเรื่องใหญ่อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำพูดดังกล่าวมาจากหญิงสาวที่ประสบการณ์ทางการเมืองน้อยกว่า และเรียกผู้นำของกัมพูชาอย่างสมเด็จฮุนเซนว่า “อังเคิล” (uncle แปลว่า อา ในภาษาไทย)
“เธอควรจะพูดว่าท่านประธานหรือท่านนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เรียกว่าอังเคิล นั่นจะแสดงความเป็นมืออาชีพเสียมากกว่า” นายวิชานา หยิบยกถ้อยคำของ น.ส.แพทองธาร ที่ปรากฏในคลิปเสียงมาเป็นตัวอย่าง
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะมาใช้สายสัมพันธ์ส่วนตัวของพ่อในการพูดคุย มันควรมีความเป็นกลางและเป็นทางการมากกว่านี้ คุณไม่สามารถเรียกผู้นำอีกประเทศหนึ่งว่า อา ได้ เพราะนี่คือเรื่องผลประโยชน์ของชาติ”
“ผมบอกได้ว่านั่นต่างหากที่ ‘ไม่เป็นมืออาชีพ'” วิชานา นักวิเคราะห์จากกัมพูชา กล่าวกับ.

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
นายวิชานากล่าวเสริมด้วยว่า บุคคลที่ถูกเรียกว่า “อังเคิล” ซึ่งถูกต่อว่าว่าไม่มีความเป็นมืออาชีพนั้น ยังเป็นผู้ช่วยเหลือครอบครัวชินวัตรมาโดยตลอด เช่นเมื่อยามที่ นายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อาศัยกัมพูชาเป็นสถานที่ลี้ภัยทางการเมือง โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ เองก็ใช้หนังสือเดินทางของกัมพูชา จากการเปิดเผยของสมเด็จฮุน เซน
เมื่อ.ถามต่อว่า แล้วทางออกที่จะช่วยคลี่คลายความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลนี้คืออะไร นายวิชานาตอบทันทีว่า “ผมคิดว่าประเทศไทยควรได้นายกรัฐมนตรีที่ดีกว่านี้” พร้อมกับกล่าวถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยที่เข้าการเมืองด้วยการยึดอำนาจรัฐบาลของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ เมื่อปี 2557
“ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง ไม่มีความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างสองประเทศ และภูมิภาคนี้มีสันติสุขกว่าในตอนนี้” เขากล่าว
ความเห็นของนายวิชานาสอดคล้องกับความเห็นของสมเด็จฮุน เซน ที่ให้สัมภาษณ์สื่อท้องถิ่นของกัมพูชาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า ช่วงการปกครองของ พล.อ.ประยุทธ์ เกือบสิบปี พบว่าไทยไม่มีปัญหากับกัมพูชาเลย
นายวิชานาอธิบายต่อว่า เหตุผลที่เขามองว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นตัวเลือกที่ดี เนื่องจากนายพลผู้นี้สามารถควบคุมกองทัพไทยได้ ขณะที่ในตอนนี้พิสูจน์แล้วว่าตระกูลชินวัตรทำไม่ได้ และไม่มีอิทธิพลมากพอจะกำหนดทิศทางการตัดสินใจของกองทัพ
“ผมคิดว่าในประเทศไทย พวกคุณรู้อยู่แล้วว่าใครที่มีอำนาจอย่างแท้จริง ผมเองคงพูดมากในเรื่องนี้ไม่ได้ ผมไม่สามารถบอกได้ว่าเหตุใดในการเมืองไทย นายกรัฐมนตรีของคุณถึงไม่มีอำนาจในกองทัพ เพราะมันเป็นเรื่องยากสำหรับผมเช่นกัน แต่ยกตัวอย่างในประเทศของผม นายกรัฐมนตรีมีอำนาจอย่างแท้จริงในการสั่งกองทัพให้เปิด-ปิดด่านชายแดน ขณะที่นายกรัฐมนตรีของไทยกลับให้อำนาจการตัดสินใจเรื่องนี้แก่กองทัพว่าจะเปิด-ปิดด่านหรือไม่”

ที่มาของภาพ : Getty Photos
ขณะที่สมเด็จฮุน เซน กล่าวสุนทรพจน์ใน จ.พระวิหาร เช้าวันนี้ต่อหน้าสมาชิกสภาท้องถิ่น นายกรัฐมนตรีของไทยโพสต์สตอรีอินสตาแกรมพาดพิงผู้นำกัมพูชาเมื่อเวลาประมาณ 11 โมงเช้าว่า “นโยบายนายกอิ๊ง เตะชามข้าวฮุนเซน” เพื่ออธิบายว่าสมเด็จฮุน เซน แทรกแซงการเมืองไทยเนื่องจากนโยบายยกระดับปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการเตรียมจะเปิดสถานบันเทิงครบวงจรนั้น กระทบกับกัมพูชาอย่างหนัก และทำให้ประเทศเพื่อนบ้านสูญเสียรายได้
นายวิชานากล่าวว่านี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของนายกรัฐมนตรีแพทองธารที่แสดงให้เห็นว่า “เธอไม่มีความเป็นมืออาชีพ” ในการตอบโต้ทางการเมือง และพร้อมกันนี้ เขายังยืนยันว่าการตัดไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตของไทยนั้น แทบไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อกัมพูชาเลย เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของประเทศกัมพูชาสามารถจัดหาได้เพียงพอต่อความต้องการ
เขายังปัดตกข้อครหาว่าสมเด็จฮุน เซน และลูกชายกำลังแสวงหาความนิยมทางการเมือง ด้วยการใช้ปมพิพาทเรื่องชายแดนเป็นเครื่องมือ โดยให้เหตุผลว่าตระกูลฮุนมีความมั่นคงทางการเมืองดีอยู่แล้ว
นอกจากนี้ นายวิชานายังชี้ให้เห็นว่า สายสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นลงของสองตระกูลที่เรียกได้ว่า “แทบจะทรงอิทธิพลมากที่สุด” ในภูมิภาคนี้ ไม่ใช่แค่ปัญหาทางการเมืองของทั้งสองประเทศเท่านั้น แต่มันยังส่งผลสะเทือนในระดับภูมิภาคด้วย
“หากความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาดี มันก็ดี แต่หากมันเปลี่ยนไป มันก็อย่างที่เราเห็น” เขากล่าวกับ.
ชินวัตรไม่มีประโยชน์ต่อตระกูลฮุนแล้วใช่ไหม ?

ที่มาของภาพ : Getty Photos
ในวันนี้ กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ออกแถลงการณ์ว่าไทยจะใช้ช่องทางทางการในการสื่อสารกับกัมพูชาเท่านั้น หลังจากมีความพยายามปั่นกระแสในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อสร้างความแตกแยกในสังคมไทย
พร้อมกันนี้ กต. ยังได้หยิบยกข้อมูลจากองค์การระหว่างประเทศ อย่างสำนักงานว่าด้วยอาชญากรรมและยาเสพติดแห่งสหประชาชาติหรือยูเอ็นโอดีซี (UNODC) รวมถึงองค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) ที่ระบุว่ากัมพูชาเป็นฐานอาชญากรรมข้ามชาติ “ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามประเทศไทย” จึงขอให้ประชาคมร่วมกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในอนุภูมิภาคร่วมกับไทย
ในห้วงหลายปีที่ผ่านมา .พบว่ามีรายงานหลายฉบับจากองค์กรระหว่างประเทศ รวมถึงสื่อต่าง ๆ ที่พยายามหาคำตอบว่าเหตุใดศูนย์กลางอาชญากรรมไซเบอร์ในกัมพูชาจึงเป็นแดนสนธยา ที่แม้แต่กฎหมายก็ยังทำอะไรไม่ได้ และคำตอบสุดท้ายก็มักเชื่อมโยงไปยังคนใกล้ตัวหรือนักการเมืองที่อยู่เคียงข้างผู้นำตระกุลฮุน
ดร.ธนเชษฐ วิสัยจร หัวหน้าสาขาวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ให้สัมภาษณ์กับ.ว่า ธุรกิจดังกล่าวเป็นทั้งเครือข่ายครอบครัวและพันธมิตรทางธุรกิจของตระกูลฮุน
“ผมมองว่ากลุ่มธุรกิจในกัมพูชาไม่ว่าจะเป็นสีอะไรก็ตาม สีสะอาด สีเทา หรือสีดำ มีความเชื่อมโยงกันหมด แล้วยิ่งถูกบีบในเรื่องการจำกัดการส่งน้ำมัน ผมก็มองว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ ฮุน เซน เสียหน้ากับประชาชนชาวกัมพูชา เสียหน้ากับเครือข่ายเน็ตเวิร์คของเขา”
“คุณฮุน เซน เขาพูดกับคนกัมพูชาไว้เยอะว่าจะสู้กับรัฐบาลแพทองธาร แล้วพอเป็นลูกสาวเพื่อน ถ้าเราจะถอยเพราะลูกสาวเพื่อน มันก็ดูเสียหน้า สำหรับนักรบที่ผ่านสงครามมา ซึ่งตัวเขาเองบอกว่าผ่านมา 100 สงคราม เป็นนายพลห้าดาว” ดร.ธนเชษฐ กล่าว
เขายังเห็นด้วยว่าการกล่าวหาว่าผู้นำกัมพูชาไม่มีความเป็นมืออาชีพของ น.ส.แพทองธาร นั้น ทำให้สมเด็จฮุน เซน ไม่พอใจอย่างมาก และนำมาสู่แรงกระแทกต่อตัวนายกรัฐมนตรีเอง และแรงกดดันที่มายังรัฐบาลแพทองธารขณะนี้มีอยู่สองกระแสหลัก กลุ่มแรกแม้ไม่พอใจในตัวนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่ต้องการให้สมเด็จฮุน เซน สมหวัง จึงเห็นว่าคนไทยควรรวมตัวกันให้เป็นเอกภาพก่อน จากนั้นจึงจัดการความขัดแย้งปมพิพาทกับผู้นำกัมพูชา
อีกกระแสหนึ่งคือให้เอารัฐบาลนี้ออกไป เพื่อให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามา “จัดการฮุน เซน” ซึ่งนักวิชาการจาก ม.อุบลราชธานี มองว่าสุ่มเสี่ยงอย่างมากที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนผู้นำนอกวิถีประชาธิปไตย และยิ่งทำให้การต่อสู้ปมข้อพิพาทพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาในเวทีโลกต้องเผชิญอุปสรรคมากขึ้นในอนาคต
“ผมคิดว่าคุณฮุน เซน หวังให้เกิดกลไกอย่างหลัง” ดร.ธนเชษฐ กล่าว “ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นเด็ดขาด หากเกิดขึ้น เวลาเราไปชี้แจงอะไรในเวทีโลก สมมติเราได้รัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เราจะเสียการต่อรองทันที”

ที่มาของภาพ : Fb/Somdech Hun Sen of Cambodia
นักวิชาการจาก ม.อุบลราชธานี ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า การไลฟ์สดมาราธอนของผู้นำที่ผ่านสงครามการเมืองในประเทศตนเองมาอย่างโชกโชนเมื่อเช้าวันนี้ยังคุกรุ่นไปด้วยความโกรธ แม้ข้อมูลที่เขาอ้างว่าจะนำมาแฉนายทักษิณนั้น แทบไม่มีอะไรใหม่สำหรับชาวไทยเลย
เมื่อ.ถาม ดร.ธนเชษฐ ว่าการตัดความสัมพันธ์ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าตระกูลชินวัตรไม่มีประโยชน์ต่อตระกูลฮุนแล้วใช่หรือไม่ เขาปฏิเสธ และบอกว่าตระกูลชินวัตร “ยังมีประโยชน์อยู่”
เขาอธิบายต่อว่า สมเด็จฮุน เซน ผ่านสงครามมามากมาย ผ่านการถูกหักหลังมาหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงเขาเองก็หักหลังคนอื่น ดังนั้น “คราวนี้หากจะตัดขาดกับชินวัตร ก็ต้องขอเอามาใช้ประโยชน์หน่อย” โดยนำประเด็นนี้มาเขย่าความเป็นเอกภาพของการเมืองไทย
ด้าน รศ.ดร.โสภาร เอียร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซนาของสหรัฐอเมริกา บอกกับ.ว่า การตัดสินใจของสมเด็จฮุน เซน ในการตัดสัมพันธ์หรือ “เลิก” กับทักษิณ รวมถึงตระกูลชินวัตร ให้สาธารณชนรับรู้ครั้งนี้ ถือเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของสมเด็จฮุน เซน ในการใช้การเผชิญหน้าทางการเมืองอย่างมีกลยุทธ์ โดยเฉพาะการไลฟ์สดที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
“การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ของ ฮุน เซน ในฐานะผู้ปกป้องศักดิ์ศรีและอำนาจอธิปไตยของชาติกัมพูชา ซึ่งสะท้อนถึงความรู้สึกชาตินิยมในช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อน”
เขากล่าวว่า แม้สมเด็จฮุน เซน “อาจกำจัด” แพทองธารได้ “แต่เขาอาจลงเอยด้วยการได้ใครบางคนที่แย่กว่านั้นก็เป็นได้”
“จงระวังในสิ่งที่คุณปรารถนา” รศ.ดร.โสภาร กล่าวเตือนผู้นำกัมพูชา
ที่มา BBC.co.uk