สำรวจความคืบหน้าการเจรจาภาษีทรัมป์ 5 วันก่อนถึงเส้นเสียชีวิตที่อัตราภาษีศุลกากรใหม่จะมีผลบังคับ

ที่มาของภาพ : Getty Photos

อัตราภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศจะเรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากประเทศต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. จะมีผลบังคับใช้หลังเส้นเสียชีวิตวันที่ 9 ก.ค. สำหรับประเทศที่ยังไม่บรรลุข้อตกลงจากการเจรจาทางภาษีกับสหรัฐฯ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ขีดเส้นเสียชีวิตการประกาศใช้อัตราภาษีศุลกากรตอนโต้ใหม่ในวันที่ 9 ก.ค. นี้ ขณะที่ผลการเจรจาของหลายประเทศทำให้เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในอัตราภาษีที่สหรัฐฯ จะบังคับใช้กับพวกเขา จากอัตราเดิมที่ทรัมป์เคยประกาศไว้ในเดือน เม.ย.

สำหรับประเทศไทย มีกำหนดเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 3 ก.ค. ตามเวลาในไทย หลังทีมเจรจาที่นำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้พาคณะพบผู้แทนการเจรจาจากสหรัฐฯ ซึ่งนายพิชัย เพิ่งออกมาเปิดเผยผลการเจรจาล่าสุดว่าฝ่ายไทยรับกลับไปจัดทำข้อเสนอใหม่เพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย

อีกเพียง 5 วันเท่านั้นก็จะครบกำหนดที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศว่าจะเริ่มบังคับใช้อัตราภาษีใหม่ หลังจากที่ได้ระงับการบังคับใช้ชั่วคราว 90 วัน นับตั้งแต่การประกาศอัตราใหม่ออกมา เพื่อเปิดทางให้แต่ละประเทศมีการเจรจา

.ประมวลความคืบหน้าก่อนที่จะถึงเส้นเสียชีวิตดังกล่าวว่า ประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทย เจรจาไปถึงไหนแล้วบ้าง

ไทย

ที่มาของภาพ : Pichai Chunhavajira/Facebook

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระดมความเห็นกับทีมไทยแลนด์เมื่อ 2 ก.ค. ก่อนกำหนดการเจรจาภาษีกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (United States Replace Consultant – USTR)

สหรัฐฯ ประกาศเมื่อเดือน เม.ย. ว่าจะเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้านำเข้าจากไทย 36% ซึ่งจะมีผลหลังเส้นเสียชีวิตในวันที่ 9 ก.ค. นี้

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed studyingได้รับความนิยมสูงสุด

Discontinue of ได้รับความนิยมสูงสุด

ไม่นานหลังจากการประกาศของประธานาธิบดีทรัมป์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์ผ่านทางโฆษกประจำสำนักนายกฯ เมื่อ 3 เม.ย. ระบุว่า ไทยได้มอบหมายให้คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกาที่แต่งตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 ก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ติดตามสถานการณ์มาล่วงหน้าแล้วเพื่อจัดเตรียมข้อเสนอปรับดุลการค้ากับสหรัฐฯ ให้สหรัฐฯ มีแรงจูงใจที่จะเข้าสู่กระบวนการเจรจากับไทยที่เหมาะสม และส่งผลกระทบภาคส่วนที่เกี่ยวข้องน้อยที่สุด

ในแถลงการณ์ดังกล่าว น.ส.แพทองธาร ยังระบุถึงประเภทอุตสาหกรรมที่ไทยและสหรัฐฯ สามารถพัฒนาความร่วมมือระหว่างกัน อาทิ ภาคเกษตร-อาหาร ที่ไทยสามารถนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ มาแปรรูปได้ และในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงที่ไทยเป็นแหล่งผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ( Powerful Disk Power) ที่สำคัญของโลก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูล (Info Heart) และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) ของสหรัฐฯ

ก่อนหน้านี้ ไทยเคยมีกำหนดจะได้เข้าเจรจาเรื่องภาษีกับทางการสหรัฐฯ ในวันที่ 23 เม.ย. โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้แทน เพื่อเจรจากับ นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ แต่การเจรจาดังกล่าวถูกเลื่อนออกไป

โดยนายศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาของคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา เคยบอกกับ.ในเดือน เม.ย. ว่า กรอบการเจรจาเบื้องต้นมี 5 ข้อ ได้แก่

  • เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น โดยเน้นไปที่สินค้าเกษตรที่ไทยจะสามารถนำมาต่อยอดได้ อาทิ ข้าวโพด หรือถั่วเหลือง รวมถึงไปสินค้าเชื้อเพลิงต่าง ๆ
  • ผ่อนคลายมาตรการจัดเก็บภาษี หรือมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเพื่อส่งเสริมการนำเข้า
  • เน้นพัฒนาความร่วมมือในอุตสาหกรรมที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองประเทศ อาทิ อุตสาหกรรมการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง
  • เพิ่มความโปร่งใสสำหรับสินค้าส่งออกเพื่อป้องกันการสวมสิทธิ “Made in Thailand” จากประเทศที่สาม
  • เพิ่มการลงทุนของธุรกิจไทยในสหรัฐฯ

ที่มาของภาพ : กระทรวงพาณิชย์

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในขณะนั้น พบหารือกับ นายเจมิสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีด้านการค้าของเอเปค ประจำปี 2025 ที่จัดขึ้นช่วงวันที่ 15-16 พ.ค. ที่ผ่านมา ณ เมืองเชจู สาธารณรัฐเกาหลี

ช่วงวันที่ 15-16 พ.ค. ที่ผ่านมา นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในขณะนั้น ได้พบหารือกับ นายเจมิสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีด้านการค้าของเอเปค ประจำปี 2025 ซึ่งจัด ณ เมืองเชจู ประเทศเกาหลี

โดยข่าวประชาสัมพันธ์จากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าในการหารือครั้งนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยได้หยิบยกประเด็นข้อเสนอของฝ่ายไทยซึ่งได้จัดส่งให้ทางการสหรัฐฯ ล่วงหน้า ที่มุ่งส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งนายพิชัยระบุว่า ข้อเสนอของไทยได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากฝ่ายสหรัฐฯ โดยไทยได้แสดงความพร้อมในการเปิดการเจรจาเชิงนโยบายด้านภาษี ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งฝ่ายสหรัฐฯ จะเป็นผู้กำหนดวันนัดหมายอย่างเป็นทางการ ภายใต้ข้อตกลงไม่เปิดเผยข้อมูล (Non-disclosure Settlement – NDA)

ทั้งสองคนยังมีโอกาสได้พบกันอีกครั้งในเวทีการประชุมองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Financial Co-operation and Constructing – OECD เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ณ กรุงปารีส ของฝรั่งเศส อีกด้วย แต่ขณะนั้นยังไม่ปรากฏกำหนดการนัดหมายเจรจาอย่างเป็นทางการ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่านายกรีเออร์ ได้แสดงความมั่นใจว่าทั้งสองฝ่ายน่าจะได้นัดหมายเพื่อเจรจากันในเร็ววันนี้

ล่าสุดคณะผู้แทนการเจรจาจากฝั่งไทยที่นำโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีกำหนดเจรจากับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เมื่อคืนนี้ (3 ก.ค.) ช่วงเวลาประมาณ 21.00 น. ที่ผ่านมาตามเวลาไทย จากการรายงานของเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

โดยเมื่อเวลา 17.12 น. วันนี้ (4 ก.ค.) นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกมาเปิดเผยรายละเอียดในการเจรจาผ่านทางบัญชีเอ็กซ์ส่วนตัว เป็นวิดีโอความยาว 4.19 นาทีว่า ได้หารือกับสามภาคส่วนสำคัญของสหรัฐฯ ประกอบด้วย ภาครัฐซึ่งเป็นระดับนโยบาย ภาคเอกชนที่ลงทุนในไทยด้วยมูลค่าที่สูง รวมถึงภาคเกษตรกร ซึ่งเขาเชื่อว่าผลจากการหารือกับทั้งสามภาคส่วนนี้ จะนำไปสู่การพิจารณาตัดสินใจของฝ่ายนโยบายของทางสหรัฐฯ

“ทั้งหมดนี้ที่เราได้พบ ทำให้เราได้เข้าใจถึงผลของคนที่เกี่ยวข้อง นำไปซึ่งระดับนโยบายที่จะตัดสินใจ หรือ coverage maker (ผู้กำหนดนโยบาย) นะครับ เขาคงเอาปัจจัยเหล่านี้ไปพิจารณาด้วย นอกเหนือจากการยื่นอัตราภาษี” นายพิชัยระบุผ่านวิดีโอที่เขาโพสต์ลงในเอ็กซ์ (X)

เขายังเปิดเผยอีกว่าเขาได้พบกับผู้บริหารระดับสูงสุดของสำนักงานผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ทำให้ได้รับเสียงสะท้อนที่สำคัญกลับมา ซึ่งสาระสำคัญในการเจรจาคือการทำให้สหรัฐฯ มั่นใจว่าประเทศไทยเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจมายาวนาน และการที่เป็นเช่นนั้นก็เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ การพูดคุยยังทำให้เข้าใจแนวคิดของสหรัฐฯ ว่าลึก ๆ แล้วต้องการสิ่งใด โดยไทยจะกลับไปจัดทำข้อเสนอใหม่เพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายต่อไป

“การเจรจาวันนี้ สรุปแล้วผมคิดว่าเป็นไปด้วยดี ทางสหรัฐฯ เองก็กล่าวขอบคุณที่ไทยมีความกระตือรือร้นในการที่เข้าร่วมเจรจาในครั้งนี้ ซึ่งเราก็บอกว่าเราจะรับ feedback (เสียงสะท้อน) กลับไปจัดทำข้อเสนอใหม่เพิ่มเติมนะครับ เพื่อประโยชน์ทั้งสองฝ่าย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าว พร้อมยืนยันว่า จุดยืนของคณะทำงานฝ่ายไทย คือการได้ข้อตกลงที่ “ปฏิบัติได้ ยั่งยืน แล้วก็เป็นข้อตกลงที่เราได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย หรือที่เราพูดว่า secure-secure solution (ทางออกที่ชนะทั้งคู่)”

ก่อนหน้าในวันนี้ (4 ก.ค.) มีรายงานจาก สำนักข่าวรอยเตอร์ ออกมาในวันนี้ ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เตรียมให้รัฐบาลส่งจดหมายถึงประเทศต่าง ๆ ในวันศุกร์ ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงชัดเจนจากการบรรลุข้อตกลงกับแต่ละประเทศ โดยทรัมป์บอกกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า จดหมายจะถูกส่งออกไปถึง 10 ประเทศในแต่ละครั้ง โดยจะมีการกำหนดอัตราภาษีศุลกากรเช่น 20% ไปจนถึง 30%

เวียดนาม

ประธานาธิบดีทรัมป์ ระบุผ่านบัญชีทรูธโซเชียลของเขาเมื่อวันที่ 2 ก.ค. ที่ผ่านมา ว่า เขาเพิ่งบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับเวียดนามหลังจากที่ได้พูดคุยกับนาย โต เลิม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม โดยเวียดนามจะจ่ายภาษีให้กับสหรัฐฯ 20% สำหรับสินค้าทุกชนิดที่ส่งออกเข้าไปยังสหรัฐฯ และ 40% สำหรับการถ่ายลำ (transshipping – การถ่ายโอนสินค้าจากพาหนะหนึ่งไปยังอีกพาหนะหนึ่ง)

เขายังระบุในโพสต์ดังกล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เวียดนามตกลงจะเปิดตลาดให้กับสหรัฐฯ โดยสมบูรณ์ ซึ่งหมายความว่าสหรัฐฯ จะสามารถส่งออกสินค้าต่าง ๆ ไปยังเวียดนามได้โดยไม่ต้องเสียภาษีใด ๆ

ขณะที่สำนักข่าวของเวียดนามบางสำนัก อาทิ “เวียดนามนิวส์” รายงานในเวลาต่อมาว่า นายโต เลิม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ได้พูดคุยผ่านทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันพุธ โดยผู้นำระดับสูงของทั้งสองประเทศยินดีกับข้อตกลงที่ทีมเจรจาของทั้งสองฝ่ายบรรลุร่วมกัน

โดยการกำหนดอัตราภาษีใหม่สำหรับสินค้าเวียดนามที่จะนำเข้าสหรัฐฯ นั้น ถือว่าลดลงจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญจากที่ทรัมป์เคยประกาศไว้ในเดือน เม.ย.ว่าจะเก็บภาษีกับสินค้านำเข้าเวียดนามในอัตรา 46%

จีน

ที่มาของภาพ : Getty Photos

ประธานาธิบดีทรัมป์เปิดเผยเมื่อ 11 มิ.ย. ว่า ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และจีนสิ้นสุดลงแล้ว

หลังจากทั้งสองประเทศประกาศขึ้นภาษีศุลากรสำหรับสินค้านำเข้าซึ่งกันและกันอย่างสูงลิ่วมาตั้งแต่เดือน เม.ย. โดยประธานาธิบดีทรัมป์ เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตราสูงสุดถึง 145% ขณะที่จีนก็เก็บภาษีศุลกากรสำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ 125% ทั้งสองประเทศก็ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในช่วงกลางเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ในการประชุมที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

โดยเว็บไซต์ของทำเนียบขาวเผยแพร่ข้อมูลเมื่อ 12 พ.ค. ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้บรรลุข้อตกลงกับจีนในการลดภาษีศุลกากรของจีนและยกเลิกมาตรการตอบโต้ โดยคงไว้ซึ่งภาษีขั้นพื้นฐานของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีน และกำหนดแนวทางสำหรับการหารือในอนาคตเพื่อเปิดการเข้าถึงตลาดสำหรับสินค้าส่งออกจากอเมริกา

ข้อมูลของทำเนียบขาวยังระบุอีกว่า ทั้งสองประเทศตกลงที่จะลดอัตราภาษีลง 115% ในขณะที่ยังคงอัตราการเก็บภาษีเพิ่มเติม 10% เอาไว้ และมาตรการอื่น ๆ ของทางสหรัฐฯ จะยังคงอยู่เช่นเดิม โดยข้อตกลงนี้จะมีผลในวันที่ 14 พ.ค. ทำให้อัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากจีนลดลงมาเหลือ 30% ขณะที่อัตราภาษีที่จีนเรียกเก็บจากสหรัฐฯ ลดลงมาเหลือ 10%

อย่างไรก็ตาม วันที่ 30 พ.ค. ทรัมป์ออกมากล่าวหาจีนผ่านโพสต์บนทรูธโซเชียล ว่าจีนได้ละเมิดข้อตกลงที่ทำไว้กับสหรัฐฯ เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ก่อนที่ต่อมาจะมีรายงานว่าผู้นำทั้งสองประเทศได้เจรจากันอีกครั้ง ซึ่งทรัมป์ออกมาเปิดเผยเมื่อ 11 มิ.ย. ว่า ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และจีนสิ้นสุดลงแล้ว โดยจีนตกลงจะส่งแม่เหล็กแรงสูงและแร่หายากที่จำเป็นให้กับสหรัฐฯ ในขณะที่สหรัฐฯ ก็จะอนุญาตให้นักศึกษาจีนเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ

ทรัมป์ยังระบุอีกว่า ในการตกลงดังกล่าว สหรัฐฯ จะได้รับภาษีศุลกากรในอัตรา 55% ในขณะที่จีนจะได้รับอัตราภาษี 10%

อย่างไรก็ตาม ภายหลังทรัมป์ประกาศลดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้านำเข้าจากเวียดนามเหลือ 20% เมื่อไม่นานมานี้ ด้าน เหอ หย่งเฉียน โฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีน ออกมาระบุกับสื่อเมื่อ 3 ก.ค. ว่า จีนกำลังประเมินสถานการณ์อยู่ จากการรายงานของสำนักข่าวซินหัว

สำนักข่าวซินหัวยังรายงานการตอบคำถามของเธอที่ระบุว่า สิ่งที่สหรัฐเรียกว่า “ภาษีนำเข้าแบบตอบโต้” (reciprocal tariffs) ที่เรียกเก็บกับคู่ค้าต่าง ๆ นั้น เป็นการกลั่นแกล้งอยู่ฝ่ายเดียวซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่จีนต่อต้านมาตลอด พร้อมบอกว่าจีนสนับสนุนความพยายามของประเทศอื่น ๆ ในการแก้ไขความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ ผ่านการให้คำปรึกษาอย่างเท่าเทียม แต่ก็คัดค้านอย่างหนักแน่นต่อการที่ประเทศใด ๆ ก็ตาม ได้บรรลุข้อตกลงโดยแลกกับผลประโยชน์ของจีน ซึ่งหากมีกรณีเช่นนั้นเกิดขึ้น จีนก็พร้อมจะใช้มาตรการตอบโต้ที่เด็ดขาด

สหราชอาณาจักร

ประธานาธิบดีทรัมป์เซ็นคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อลดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าบางอย่างที่นำเข้าจากอังกฤษ ไปตั้งแต่ช่วงกลางเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมาแล้ว

โดยบีบีซีนิวส์ รายงานในวันที่ 17 มิ.ย. ว่า คำสั่งฝ่ายบริหารดังกล่าวจะลดอัตราภาษีที่บริษัทซึ่งตั้งฐานอยู่ในสหรัฐฯ ต้องจ่ายในการนำเข้ารถยนต์จากอังกฤษ โดยลดจากที่ประกาศไว้ว่าจะเก็บภาษี 25% สำหรับรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ที่นำเข้าจากสหราชอาณาจักร เหลือเพียง 10% แต่จำกัดเพียง 100,000 คันเท่านั้น โดยรถยนต์ที่ส่งออกเกินโควต้าจะต้องเสียภาษีในอัตรา 27.5%

นอกจากนี้ คำสั่งดังกล่าวที่ทรัมป์เซ็นไปแล้วยังมีผลในการยกเลิกภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการบินและอวกาศบางชนิดด้วย

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีอีกหลายผลิตภัณฑ์ที่ทั้งสองประเทศยังไม่บรรลุข้อตกลงทางภาษีร่วมกัน อาทิ เหล็กและอลูมิเนียม, ยาและเวชภัณฑ์

ทั้งนี้ สหราชอาณาจักร ยังคงอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากผลิตภัณฑ์ของสหรัฐฯ หลายชนิดไว้ตามเดิม อาทิ การเรียกเก็บภาษี 10% กับรถยนต์ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ, การเก็บภาษี 2% สำหรับบริการทางดิจิทัลที่มีรายได้ทั่วโลกเกิน 500 ล้านปอนด์ (ราว 2.2 หมื่นล้านบาท) และรับรายได้จากผู้ใช้งานชาวสหราชอาณาจักรเกิน 25 ล้านปอนด์ (ราว 1.1 พันล้านบาท) ต่อปี

อย่างไรก็ตาม สหราชอาณาจักรได้เพิ่มโควต้าการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ บางชนิดโดยปลอดภาษีเช่นกัน อาทิ เนื้อวัว และเอทานอล

แคนาดา

ที่มาของภาพ : Getty Photos

ประธานาธิบดีทรัมป์ให้การต้อนรับนายมาร์ก คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีแคนาดาคนใหม่ ที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 6 พ.ค. ที่ผ่านมา

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (27 มิ.ย.) ทรัมป์ ระบุว่า เขาได้ยกเลิกการเจรจาต่อรองกับแคนาดาไปแล้ว เนื่องจากการที่แคนาดาเรียกเก็บภาษีบริการทางดิจิทัล

ภาษีดังกล่าว หรือที่เรียกว่า “ดีเอสที” (DST – Digital Products and companies Tax) มีการประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2020 ซึ่งจะหมายความว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ อาทิ แอมะซอน เมตา กูเกิล และแอปเปิล ต้องเสียภาษี 3% หากรับรายได้จากชาวแคนาดามากกว่า 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 647 ล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของแคนาดาได้ระบุว่าได้ยกเลิกภาษีบริการทางดิจิทัลไปแล้วเพื่อให้การเจรจาการค้าเดินหน้าต่อไปได้

ก่อนหน้านี้ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับ แคนาดา อยู่ในสถานะที่ ขึ้น ๆ ลง ๆ ตามการรายงานของบีบีซีนิวส์ โดยทรัมป์ทั้งขู่ว่าจะขึ้นภาษีและจะผนวกประเทศเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงไม่นานหลังจากที่เขากลับมารับตำแหน่ง

ตั้งแต่เดือน ก.พ. ทรัมป์ ประกาศจะเก็บภาษีศุลกากรสำหรับสินค้านำเข้าจากแคนาดาในอัตรา 25 % เว้นเพียงแหล่งพลังงานจากแคนาดาที่จะเรียกเก็บภาษีต่ำกว่า โดยแคนาคาเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษี พร้อม ๆ กับเม็กซิโก และจีน โดยระบุสาเหตุเพื่อให้ทั้งสามประเทศรับผิดชอบต่อคำมั่นสัญญาว่าจะยุติการเข้าเมืองผิดกฎหมายและหยุดยั้งเฟนทานิลและยาเสพติดอื่น ๆ ที่ทะลักเข้าอเมริกา

ขณะที่แคนาดาก็ตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีศุลกากร 25% กับสินค้าหลายชนิดที่นำเข้าจากสหรัฐฯ พร้อมยืนยันว่าจะคงมาตรการนี้ต่อไปจนกว่าสหรัฐฯ จะยกเลิกเก็บภาษีกับสินค้าจากแคนาดา ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานการบรรลุข้อตกลงในการเจรจา

ญี่ปุ่น

สำนักข่าว “นิคเคอิ เอเชีย” รายงานว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เปิดเผยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (1 ก.ค.) ว่าเขายังสงสัยว่าจะบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับญี่ปุ่นก่อนเส้นเสียชีวิต 9 ก.ค. ได้หรือไม่ ซึ่งหากข้อตกลงไม่บรรลุผล อัตราการเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นอาจขึ้นไปเป็น 30% หรือ 35%

โดยก่อนหน้านี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ร้องขออย่างต่อเนื่องให้ยกเว้นภาษีรถยนต์ แต่ทรัมป์ก็ยังแสดงความตั้งใจที่จะเก็บภาษีรถยนต์ และยังแสดงออกถึงความไม่พอใจในการขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นด้วย ทำให้การเจรจาต่อรองยิ่งยากขึ้น จากการรายงานของสำนักข่าวนิคเคอิ เอเชีย

โดยจากการประกาศเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา สหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีศุลกากรต่อสินค้าญี่ปุ่นไว้ที่ 24% แต่ตอนนี้ทรัมป์กำลังเสนออัตราภาษีที่สูงขึ้นจากที่เคยกำหนดไว้ หากการเจรจาไม่บรรลุผล

ทรัมป์ยังเปิดเผยถึงการเจรจาเรื่องข้าวกับญี่ปุ่นด้วย โดยเขาระบุบนแพลตฟอร์มทรูธ โซเชียล เมื่อ 1 ก.ค. ว่า “พวกเขา ญี่ปุ่น จะไม่ยอมรับข้าวของพวกเรา แม้ว่าพวกเขาจะขาดแคลนข้าวอย่างมาก”

ขณะที่ โยชิมาสะ ฮายาชิ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่น เปิดเผยในเวลาต่อมาว่า การพูดคุยระหว่างสองประเทศยังคงดำเนินต่อ และรัฐบาลญี่ปุ่นก็รับรู้ถึงคำกล่าวอ้างของทรัมป์ อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นต่อคำกล่าวอ้างนี้ จากการรายงานของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น