
‘สนามบินอู่ตะเภา' ยังต้องลุ้น ‘พิขัย' ยอมรับฝ่ายรัฐทำเงื่อนไขตามสัญญาไม่ครบ มองเลิกโครงการหรือไม่ แล้วแต่สภาพเศรษฐกิจประเทศ ‘สุริยะ' เผยไฮสปีดเทรน 3 สนามบินยังอยู่ ‘อัยการฯ' ไม่เกิน 2-3 เดือนจบ ขณะที่ ‘จุฬา' เผยผลการประชุมยังไม่ได้รายงานครม. ส่วนข้อเสนอลดไซส์การก่อสร้างเหลือ 3 ล้านคน/ปีในเฟสแรก ยังไม่เห็นด้วย
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.หรือบอร์ด EEC) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการ EEC เมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา มีการรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 290,000 ล้านบาท ที่มีกองทัพเรือ (ทร.) เป็นเจ้าของโครงการ และมี บจ.อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (UTA) นิติบุคคลที่มีบจ. การบินกรุงเทพ (บางกอกแอร์เวย์ส) บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (BTS), และบมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STECON) เป็นบริษัทคู่สัญญา
เมื่อถามถึงการที่กลุ่ม UTA ส่งหนังสือแจ้งถึง EEC โดยจะไม่ขอให้ขยายเวลาโครงการออกไปจากวันที่ 31 ก.ค.นี้ ซึ่งอาจจะนำไปสู่การยกเลิกโครงการหรือไม่นั้น นายพิชัยหัวเราะก่อนตอบว่า มันก็ถึงเวลาแล้วนี่ครับ
เมื่อถามอีกว่า EEC ได้เจรจากับเอกชนแล้วหรือยัง และในแนวนโยบายยังจะทำต่อไหม นายพิชัยกล่าวว่า ก็ต้องมาทำเงื่อนไขที่มีกันต่อ เพราะฝั่งเราเองก็ทำตามเงื่อนไขไม่ครบตามที่ตกลงกันไว้
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ยืนยันว่าจะยังไม่ยกเลิกโครงการใช่หรือไม่ นายพิชัยตอบว่า จะเลิกไม่เลิกก็ต้องดูก่อนว่า โครงการมันมีผลเสียต่อเศรษฐกิจไหม?
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวสอบถามนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ถึงกรณีดังกล่าว โดยถามว่า กลุ่ม UTA ได้หยิบยกเอาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินที่ดำเนินการล่าช้าว่า เป็นสาเหตุที่จะทำให้ยกเลิกโครงการ ซึ่งนายสุริยะตอบว่า ตัวรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน น่าจะรออีกไม่นานแล้ว น่าจะสัก 2-3 เดือนนี้น่าจะเรียบร้อย
“ตอนนี้ทางการรถไฟปแห่งประเทศไทย (รฟท.) รายงานเข้ามาว่า กำลังร่วมกับ EEC ในการตรวจร่างสัญญาอยู่ โดยมีทางสำนักงานอัยการสูงสุดเป้นผู้ตรวจสอบ ก็คาดว่าไม่เกิน 2-3 เดือนนี้จะจบ” นายสุริยะทิ้งท้าย
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่มาภาพ: สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล
สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ที่มาภาพ: สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล
@ยังไม่รายงานครม.
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.หรือ EEC) เปิดเผยว่า ในการประชุมครม.วันนี้ (29 ก.ค. 68) ยังไม่มีการรายงานคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความคืบหน้าและปัญหาอุปสรรค การดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 290,000 ล้านบาท ที่มี บจ. อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (UTA) เป็นบริษัทร่วมทุนฯ บมจ. การบินกรุงเทพจำกัด (บางกอกแอร์เวย์ส) บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (BTS), และบมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STECON) เป็นบริษัทคู่สัญญาได้ เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ด EEC) ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน เพิ่งประชุมเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 ระยะเวลากระชั้นชิดไป โดยจะนำรายงานต่อครม.ในการประชุมวันที่ 5 ส.ค. 2568 ต่อไปเพื่อเร่งแก้ไขปัญหา
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 EEC ได้ทำหนังสือถึง UTA แล้ว เพื่อแจ้งขอขยายเวลาส่งมอบหนังสือให้เริ่มงาน (NTP: Ogle to Proceed) จากวันที่ 31 ก.ค.2568 ออกไปก่อน จนกว่าครม.จะมีข้อสั่งการ ซึ่งที่ผ่านมามีการเจรจกันมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินฯ ปี 2561 และเซ็นสัญญาปี 2563 ซึ่งมีปัญหาจากปัจจัยที่มากระทบมาจากหลายสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
@EEC เห็นต่างลดไซส์เฟสแรกเหลือ 3 ล้าน/ปี
นายจุฬากล่าวว่า หลักการเจรจาต้องการแก้ไขปัญหาให้ครบทุกประเด็น ซึ่ง 1 ในเงื่อนไขในการออก NTP คือ ต้องมีโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ด้วย แต่จากที่เจรจากันมา 6 เดือน โครงการรถไฟความเร็วสูงไม่มีความชัดเจน จึงเห็นว่าการเดินหน้าออก NTP ของสนามบินโดยไม่มีรถไฟความเร็วสูง ถือเป็นการลดหย่อนเงื่อนไข ซึ่งทาง UTA ได้เสนอปรับแผนพัฒนา โครงการในระยะที่ 1 โดยขอเริ่มการพัฒนาขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารที่ 3 ล้านคน/ปี จากเดิมที่จะพัฒนารองรับที่ 12 ล้านคน/ปี ซึ่ง EEC ยังไม่เห็นด้วย เนื่องจากสนามบินขนาด 3 ล้านคน/ปี ถือว่าเล็กเกินไปสำหรับการจะขับเคลื่อนให้เป็นศูนย์กลางการบิน (ฮับ)
สำหรับแผนพัฒนาที่ตกลงไว้ก่อนหน้านี้ มีการปรับการพัฒนาจาก 4 ระยะ เป็น 6 ระยะ โดยระยะที่ 1 เริ่มต้นที่ 12 ล้านคน/ปี ซึ่งเป็นศักยภาพรองรับผู้โดยสารเทียบเท่ากับสนามบินจังหวัดภูเก็ตหรือสนามบินเชียงใหม่ ซึ่งเหมาะสมสำหรับการจะพัฒนาเพื่อเป็นฮับได้
ขณะเดียวกัน EEC ได้สอบถาม UTA ในทางกลับกันว่า หากดำเนินการไปแล้ว โครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบินมีการเปิดให้บริการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มดีมานท์ให้สนามบินเหมือนเดิม ทาง UTA จะมีการพัฒนาในกรณีนี้อย่างไร ต้องคิดและเจรจากันไว้เลย ทั้งนี้เพื่อให้มีเหตุผลและแนวทางชี้แจงกับทุกฝ่ายได้
“การเจรจาต้องให้ครบทุกประเด็นและทุกกรณีที่จะเกิดขึ้น ตอนนี้ UTA บอกว่าจะเริ่มทำสนามบินโดยไม่รอรถไฟความเร็วสูง แต่หากรถไฟเปิดให้บริการได้ ตอนนั้นแผนพัฒนาสนามบินจะเป็นอย่างไร ต้องคุยให้ชัดเจนก่อน” เลขาธิการ EEC ระบุ
จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.หรือ EEC)
อ่านประกอบ
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )