แชร์ลิ้งค์นี้ : https://ด่วน.com/yyqq | ดู : 10 ครั้ง
ถนนราชดำเนินกลางกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ-ตึกตลอด-2-ข้างทาง

ถนนราชดำเนินกลางกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ ตึกตลอด 2 ข้างทางกำลังทยอยปรับโฉม และไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะปรับไปถึง ‘อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย’ หรือไม่ แค่ไหน เราคุยกับ ‘ชาตรี ประกิตนนทการ’ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม ที่มองว่า นี่คือการต่อสู้แย่งชิงความหมาย ผ่านการทำลายตึกแบบอาร์ตเดอโกในยุคคณะราษฎรเรืองอำนาจ แล้วเปลี่ยนให้เป็นรูปแบบอื่น โดนปรับรื้อรูปลักษณ์ภายนอกแล้วแน่ๆ 3 ตึกสำคัญริมราชดำเนินกลาง นอกจากนี้ ยังพูดคุยถึงโปรเจกต์เล็กๆ ของชาตรี ในการต่อต้านการรื้อความทรงจำผ่านการทำเว็บไซต์รวบรวม ‘สิ่งของปฏิวัติ' และ ‘สิ่งของที่ได้แรงบันดาลใจจากการปฏิวัติ 2475'

ช่วงนี้หากใครสัญจรผ่านไปมาคงเห็นได้ด้วยตาเปล่าถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนถนนราชดำเนินกลาง ไม่ใช่แค่โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีม่วงและสายสีส้ม แต่หมายรวมถึงหน้าตาภายนอกอาคาร หรือที่เรียกว่า ‘ฟาสาด' (façade) บนสองข้างทางถนนราชดำเนินกลาง ซึ่งเดิมสร้างโดยสถาปัตยกรรมคณะราษฎร ทั้งตัวอาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ตึกสำนักงานใหญ่เทเวศประกันภัย รวมถึงอาคารหอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ที่อยู่ระหว่างปรับรูปโฉมภายนอกตัวอาคาร

ภาพรวมถนนราชดำเนินกลางในปัจจุบัน ถ่ายโดย คชรักษ์ แก้วสุราช (ผู้อ่านสามารถคลิกลูกศรซ้าย-ขวาในภาพ เพื่อเลื่อนดูบรรยากาศถนนราชดำเนินกลาง เมื่อ ก.ค. 2568)

ไม่ใช่แค่ 3 อาคารนี้เท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไป อาคารรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เช่น ร้านแมคโดนัลด์ หรือร้านอาหารที่มีประวัติยาวนานอย่าง ‘เมธาวลัย ศรแดง’ ก็กำลังปรับปรุงรูปโฉมภายนอกใหม่เช่นเดียวกัน

เมื่ออาคารของคณะราษฎรกำลังถูกเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ภายนอก สิ่งเหล่านี้สะท้อนนัยยะสำคัญทางการเมืองอย่างไร ‘ประชาไท’ ชวนคุยกับ ชาตรี ประกิตนนทการ อาจารย์สถาปัตยกรรม จากมหาวิทยาลัยศิลปากร และผู้เชี่ยวชาญสถาปัตยกรรมสไตล์อาร์ตเดโกคณะราษฎร ที่มองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ทางการเมือง ผ่านการทำลายตึกอาร์ตเดโกคณะราษฎร และเปลี่ยนเป็นศิลปะรูปแบบนีโอคลาสสิกสมัยรัชกาลที่ 5 และ 6 และไม่มีใครทราบว่าโครงการนี้จะหยุดที่ตรงไหน และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่เป็นประจักษ์พยานการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมานาน จะต้องเปลี่ยนรูปโฉมไปด้วยหรือไม่

ชาตรี ยังร่วมแลกเปลี่ยนถึงโปรเจกต์เล็กๆ ที่กำลังทำ คือการสร้างฐานข้อมูลและความรู้บนเว็บไซต์ ‘วัตถุปฏิวัติ’ เพื่อรักษาความทรงจำของวัตถุสิ่งของเกี่ยวกับคณะราษฎร และเป็นการอารยขัดขืนต่อผู้มีอำนาจ ‘เมื่อท่านกำลังบังคับให้ลืม เราก็ขอดึงดันที่จะจำ’

นีโอคลาสสิก

สำหรับสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 1750-1850 ได้รับความนิยมในยุโรป และสหรัฐฯ สำหรับศิลปกรรมยุคนี้จะประยุกต์นำเอาศิลปกรรมแบบกรีกและโรมันมาใช้ใหม่ จุดเด่นของสถาปัตยกรรมคือการใช้เสาสไตล์กรีก และโรมันเช่นเสาคอลินเธียน การใช้หน้าจั่วเรขาคณิต และตัวอาคารมีความเรียบง่ายไม่ได้ประดับประดามากนัก ยกตัวอย่าง โบสถ์แพนธีออน ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส หรือในไทย คือโรงภาษีร้อยชักสาม และพระที่นั่งอนันตสมาคม

อาร์ตเดโก

‘อาร์ตเดโก' เป็นสถาปัตยกรรมที่ได้รับความนิยมช่วงทศวรรษ ค.ศ.1920 และต่อเนื่องมาจนถึง 1960s-Eighties ทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป และในหลายประเทศ อาร์ตเดโกของคณะราษฎรจะมีกลิ่นอายและความหมายสอดคล้องกับท่วงทำนองการปฏิวัติ และความเสมอภาค ตามเอกสารชั้นต้น คณะราษฎรจะเรียกอาคารอาร์ตเดโกเหล่านี้ว่า ‘อาคารสมัยใหม่' (Unusual Constructing) แต่ความหมายดั้งเดิมคือความหรูหรานุ่มนวล ขณะเดียวกัน แสดงออกถึงการทุ่งทะยานของความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี และยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

จุดเด่นของสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตเดโก คือปฏิเสธลวดลายฟุ่มเฟือยแบบนีโอคลาสสิก หรืออาร์ตนูโว แล้วแทนที่ด้วยลวดลายสมัยใหม่ที่เป็นรูปทรงเลขาคณิต มีการเส้นสายที่มีความลู่ลม (streamline) มีความเป็นเส้นตรงพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า เกลี้ยงเกลา และเรียบง่าย

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

  • ‘ศิลปะสะท้อนการเมือง’ มองแนวคิด ‘ความเสมอภาค’ ของคณะราษฎร ผ่านสถาปัตยกรรมเมืองลพบุรี

นโยบายของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์

อาจารย์ชาตรีเล่าว่า โครงการปรับเปลี่ยนภายนอกอาคาร (façade) บนถนนราชดำเนินกลาง มีกระแสข่าวมาตั้งแต่ปี 2563 มีการเผยแพร่ภาพจำลองการปรับเปลี่ยนภายนอกอาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ แต่ตอนนั้นไม่คิดว่าจะทำจริงๆ

จนกระทั่งเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างเมื่อปี 2566 มีการล้อมรั้วอาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ และเผยโฉมออกมาให้ได้ยลเมื่อปี 2567 ก่อนที่ต่อมาจะเป็นคิวของสำนักงานใหญ่ บมจ.เทเวศประกันภัย และอาคารหอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ที่ตอนนี้กำลังดำเนินการปรับปรุงภายนอกอาคารแบบเดียวกับนิทรรศน์รัตนโกสินทร์

จากการลงพื้นที่ของผู้สื่อข่าว สามารถมองเห็นภายนอกอาคารของ บมจ.เทเวศประกันภัยได้ แต่ยังมีการกั้นรั้วสังกะสี และคนงานยังทำงานอยู่บริเวณโดยรอบอาคาร ขณะที่อาคารหอศิลป์ฯ ยังคงคลุมผ้าอย่างมิดชิด และไม่สามารถมองเห็นอาคารภายนอกได้

(บน) อาคารเทเวศประกันภัย และ (ล่าง) หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ถ่ายโดย คชรักษ์ แก้วสุราช

แม้มีการเปลี่ยนแปลงหน้าตาอาคารภายนอกของหอศิลป์ร่วมสมัยมาสักระยะ แต่ไม่มีใครเคยเห็นตัวเอกสารโครงการมาก่อน จนกระทั่งชาตรี พบเอกสารประกาศร่างขอบเขตของงาน (TOR) ว่าด้วยงานจ้างเหมาโครงการปรับปรุงภาพลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมและแสงสว่าง ภายนอกอาคาร (façade) หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยวิธีคัดเลือก” ภายในเว็บไซต์ของหอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ซึ่งระบุว่า โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ปัจจุบันชื่อ ‘สำนักพระคลังข้างที่’) ที่ต้องการปรับปรุงภาพลักษณ์สถาปัตยกรรมและแสงสว่างภายนอกอาคาร จำนวน 17 อาคารที่ถนนราชดำเนินกลาง พร้อมกับตั้งชื่ออาคารใหม่

“การร่วมมือระหว่างสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยกับสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ในการใช้แบบแม่บท แบบงานลวดลายปูนปั้นประดับอาคาร คู่มือการติดตั้งงานออกแบบแสงสว่างเพื่อปรับปรุงอาคารแบบนีโอคลาสสิก ช่วงต้นสมัยรัชกาลที่ 6” เอกสารของ TOR ของหอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ระบุ

ทั้งนี้ อาคาร 2 ฝั่งบนถนนราชดำเนินกลาง มีอาคารสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตเดโก (Art Deco) ประมาณ 21 หลัง สร้างขึ้นในทศวรรษที่ 2480 ซึ่งเป็นยุคที่คณะราษฎรยังคงมีอำนาจในทางการเมือง ปัจจุบันเจ้าของที่ดินคือ ‘สำนักงานพระคลังข้างที่’ แต่เจ้าของโครงการปรับปรุงภายนอกอาคารเป็นของผู้เช่าตึกแต่ละแห่ง

ภาคผนวก : อนุรักษ์ด้วยภาษีของประชาชน

ระหว่างที่ผู้สื่อข่าวสำรวจตึกสองฟากถนนราชดำเนินกลาง ได้พบป้าย โครงการ ปรับปรุงภาพลักษณ์ทางสถาปัตยกรรม และแสงสว่าง ภายนอกอาคาร (façade) อาคารหอศิลป์ร่วมสมัยถนนราชดำเนิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยมีรายละเอียดระบุว่า เจ้าของโครงการก่อสร้างคือ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ใช้งบประมาณ 58 ล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 360 วัน หรือตั้งแต่ 12 ก.ย.67 – 6 ก.ย.68 อีกทั้งด้านท้ายของรายละเอียดโครงการ ระบุด้วยว่า “ดำเนินการอนุรักษ์ด้วยเงินภาษีของท่าน”

ป้ายโครงการปรับปรุงภาพลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมฯ อาคารหอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ติดอยู่ด้านข้างโครงการก่อสร้าง

กระบวนการลบความทรงจำคณะราษฎรระลอกใหม่

ชาตรี กล่าวว่า วัตถุประสงค์อย่างเป็นทางการของโครงการของหอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน มีแต่เหตุผลที่ไม่เป็นเหตุผลหรือฟังไม่ขึ้น ยกตัวอย่างเหตุผลว่า ‘เพื่ออนุรักษ์อาคารทางประวัติศาสตร์’ แน่นอนว่ารัชกาลที่ 5 เป็นคนตัดถนนราชดำเนินใน ราชดำเนินนอก และราชดำเนินกลาง และมีการสร้างสถาปัตยกรรมในสไตล์นีโอคลาสสิกทั่วพระนคร แต่ในที่ดินบริเวณที่เป็นที่ตั้งของตึกทั้ง 17 หลังริมถนนราชดำเนินกลาง ตามประวัติศาสตร์แล้วไม่เคยมีการสร้างตึกแบบนีโอคลาสสิกแบบรัชกาลที่ 5-6 มาก่อน แต่คณะราษฎรเป็นคนแรกที่มาสร้างอาคารอาร์ตเดโก 2 ข้างทางนี้เมื่อทศวรรษ 2480

“ดังนั้น เหตุผลเรื่องประวัติศาสตร์และการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 5-6 จึงฟังไม่ขึ้น เพราะไม่เคยมีตึกนีโอคลาสสิกอะไรเคยตั้งอยู่ก่อนหน้าจนเป็นเหตุผลที่ต้องปรับปรุงอาคารเพื่อย้อนกลับไปอนุรักษ์ของเดิม ตึกแรกที่สร้างจริงๆ ในที่นี้คือตึกอาร์ตเดโกเมื่อทศวรรษ 2480 เท่านั้น” ชาตรี ระบุ

ผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมคณะราษฎร ยังกล่าวด้วยว่า เหตุผลที่อ้างว่า ‘เพื่อเป็นการอนุรักษ์ศิลปกรรมไทย’ ก็น่าตั้งคำถามเช่นกัน เพราะสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก เป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก เช่นเดียวกับอาร์ตเดโก เพียงแต่สร้างกันคนละช่วงเวลา จึงน่าตั้งคำถามว่าเป็นศิลปกรรมไทยจริงหรือ

ส่วนวัตถุประสงค์ที่บอกว่า ‘เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว’ ชาตรีมองว่า ‘น่าจะฟังไม่ขึ้น’ อีกเช่นกัน ทำไมคนต่างชาติต้องมาที่ประเทศไทยเพื่อดูศิลปกรรมนีโอคลาสสิกแบบปลอมๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวในยุโรปและอเมริกา ที่มีตึกต้นแบบที่สวยงามและเก่าแก่น่าดูมากกว่าเยอะ หรือหากชาวต่างชาติอยากมาดูตึกนีโอคลาสสิกแบบไทยๆ เขาก็น่าจะอยากดูของดั้งเดิมที่มีรากเหง้ายึดโยงกับประวัติศาสตร์มากกว่า เช่น พระที่นั่งอนัตสมาคม โรงภาษีร้อยชักสาม ตึกกระทรวงการต่างประเทศ ตึกกระทรวงมหาดไทย ตึกกระทรวงกลาโหม ซึ่งสร้างขึ้นในสมัย ร.5 และ ร.6 จริงๆ มากกว่าจะมาดูเปลือกอาคารนีโอคลาสิคที่แปะเข้าไปในอาคารเก่า ที่ดูไม่ต่างจากฉากละคร

เมื่อเหตุผลทางประวัติศาสตร์ก็ไม่ใช่ เหตุผลทางด้านการอนุรักษ์ก็ไม่ใช่ เหตุผลเรื่องการท่องเที่ยวก็ไม่น่าเป็นไปได้ ชาตรีจึงตั้งข้อสังเกตและให้น้ำหนักว่า การปรับปรุงภายนอกอาคาร หรือ ‘façade’ เป็นหนึ่งในระบวนการต่อสู้ทางการเมืองเรื่อง ‘ความทรงจำของคณะราษฎร’

“ผมไม่ได้เห็นเหตุผลอะไรเลย ผมพยายามตามโปรเจกต์นี้มานาน พยายามจะคิดตามเหตุผลที่ได้ยินทั้งเป็นทางการ หรือไม่ทางการ ผมคิดว่ามันไม่มีเหตุผลใดที่ฟังขึ้นเลย

“สุดท้ายแล้วมันมีเหตุผลเดียวก็คือ โปรเจกต์การปรับ façade เป็นหนึ่งในกระบวนการต่อสู้ทางการเมืองเรื่องความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับคณะราษฎร และการเมืองร่วมสมัยที่มีคณะราษฎรเป็นผู้เล่นสำคัญหนึ่งในบริบทการเมือง” ชาตรีให้ความเห็น

ประวัติศาสตร์รื้อมรดกคณะราษฎร: ‘แม้ไม่ได้รัก แต่ไม่ได้เกลียด’

อาจารย์ชาตรีชวนทบทวนกระแสการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง 2 ข้างทางถนนราชดำเนินกลาง คู่ขนานไปกับบริบทเชิงประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัย โดยแบ่งเป็น 2 ช่วงหลัก คือ ปี 2532 ที่มีการรื้อถอนอาคาร ‘เฉลิมไทย’ และหลังการทำรัฐประหารเมื่อปี 2549 จนถึงปัจจุบัน

อาจารย์จากมหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า หลังจากคณะราษฎรหมดอำนาจหลังปี 2490 เป็นต้นมา ฝั่งอนุรักษนิยมก็ไม่มีแผนการสร้างสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตเดโกขึ้นมาอีก ส่วนที่ตึกที่สร้างเสร็จแล้วก็ไม่ได้ไปรื้อถอนทำลาย ปล่อยไว้แบบนั้น ไม่ได้ให้ความสำคัญ

กระทั่งเมื่อปี 2532 กระแสการรื้อถอนมรดกคณะราษฎรบนถนนราชดำเนินกลาง เริ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมครั้งแรก คือกรณีศาลาเฉลิมไทย ตัวตั้งตัวตีรณรงค์ในครั้งนั้นคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งวิจารณ์สถาปัตยกรรมของคณะราษฎรว่าเป็นศิลปะของกลุ่มต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และมองด้วยว่าสถาปัตยกรรมหรือศิลปกรรมดังกล่าวนั้นต่ำทราม ไม่มีความเป็นไทย

“…การสร้างศาลาเฉลิมไทย ณ ที่นั้น เป็นการปิดบังวัดราชนัดดาโดยสิ้นเชิง… แทนที่จะเห็นวัดราชนัดดาอันเป็นสิ่งสวยงาม กลับแลเห็นโรงหนังเฉลิมไทยอันเป็นโรงมหรสพ และมีสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ซึ่งต่ำทรามกว่าวัดราชนัดดาเป็นอย่างยิ่ง” คึกฤทธิ์ เขียนในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เมื่อปี 2532

ชาตรี อธิบายว่าหลังจากรื้อตึกศาลาเฉลิมไทยสำเร็จ แม้ว่าคึกฤทธิ์ จะเสนอให้รื้ออาคารอื่นๆ ตามไปด้วย แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คล้อยตาม ทำให้มีแค่ตึกศาลาเฉลิมไทยถูกรื้อไปแค่หลังเดียว มุมมองของชนชั้นนำในตอนนั้นคล้ายว่า “แม้ไม่รัก แต่ก็ไม่ได้จงเกลียดจงชัง” ถึงกับต้องไปทำลายทิ้ง

ยุคเกิดใหม่ครั้งที่ 2 : Empire Strike Motivate

หลังจากการทำรัฐประหารเมื่อปี 2549 ชาตรีวิเคราะห์ว่า มุมมองของกลุ่มอนุรักษนิยม หรือฝ่ายชนชั้นนำทางการเมืองไทย ต่อมรดกคณะราษฎรที่เคยมองว่า ‘ไม่รัก แต่ก็ไม่เกลียดชัง’ กำลังเปลี่ยนเป็นแนวทางเดียวกับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เพราะหลังการทำรัฐประหารปี 2549 กลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตยและฝ่ายต่อต้านรัฐประหารหันไปรื้อฟื้นแนวคิดของคณะราษฎร โดยใช้พื้นที่สถาปัตยกรรมอย่าง ‘อนุสาวรีย์ปราบกบฏ’ และหมุดคณะราษฎร ในฐานะสัญลักษณ์ทางการเมือง ซึ่งช่วงพีกที่สุดคือในช่วงการชุมนุม 2554-2555 ต่อเนื่องมาถึงปี 2563

“มันทำให้ชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษนิยม เริ่มรู้สึกว่าสิ่งปลูกสร้างพวกนี้จากที่ไม่เคยมีพิษภัย หรือมีอันตรายอะไร เป็นตึกทิ้งร้างๆ ไม่ได้มีคนสนใจ ‘แม้ไม่ได้รัก แต่ไม่ได้จงเกลียดจงชัง’ ก็เปลี่ยนการรับรู้ (Perception) ใหม่ เพราะว่ามีกลุ่มคนใหม่ไปใช้สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง ตึกเหล่านี้ฟื้นชีวิตกลับมาเป็นสัญลักษณ์ที่ทิ่มแท-งอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมและกษัตริย์นิยม ดังนั้น เมื่อมีแรงกิริยา ก็ต้องมีแรงสวนกลับเป็นเรื่องปกติ”

“ปรากฏการณ์การเกลียดตึกของคณะราษฎร ที่มันมากขึ้นขนาดนี้ มันจึงเป็นผลพวงของการเข้าไปรื้อฟื้นความทรงจำของคณะราษฎรให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง หรือที่ผมชอบพูดคือการเกิดใหม่ของคณะราษฎร ครั้งที่ 2 ทำให้เกิดแรงปฏิกิริยาจากฝ่ายอนุรักษนิยมรุนแรงขึ้น และทำให้จากที่เฉยๆ ไม่ชอบ แต่ไม่สนใจมัน กลายเป็นไม่ชอบและอยากทำลายมันด้วย” ชาตรี กล่าว

ทั้งนี้ จากการรวบรวมข่าวที่ปรากฏบนหน้าสื่อ พบว่า ในช่วงปี 2550 เป็นต้นมา มีการรื้ออาคารศาลฎีกา ที่สร้างในสมัยคณะราษฎร และสร้างใหม่เปลี่ยนเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยประยุกต์

ต่อมา หลังรัฐประหาร 2557 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีความพยายามลบความทรงจำของคณะราษฎรค่อนข้างถี่ยิบ ยกตัวอย่าง

  1. หมุดคณะราษฎร หายไป เมื่อ เม.ย. 2560 และถูกเปลี่ยนเป็นหมุดใหม่
  2. อนุสาวรีย์ปราบกบฏถูกเคลื่อนย้ายหายไป เมื่อ ธ.ค. 2561
  3. ค่ายพิบูลสงคราม จ.ลพบุรี เปลี่ยนชื่อเป็น “ค่ายภูมิพล” เมื่อปี 2563
  4. ค่ายพหลโยธิน จ.ลพบุรี เปลี่ยนชื่อเป็น “ค่ายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิต” (ค่ายสิริกิติ์) เมื่อปี 2563
  5. บ้านจอมพล ป. จังหวัดเชียงราย ปัจจุบันเหลือเพียงป้าย ศูนย์การเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ เมื่อปี 2563
  6. มีคนแอบปิดป้ายเปลี่ยนชื่อสะพาน ‘พิบูลสงคราม’ เป็นสะพาน ‘ท่าราบ พ.ศ. 2565’ ซึ่งคำว่า ‘ท่าราบ’ มาจากชื่อ ‘ดิ่น ท่าราบ’ ของพระยาศรีสิทธิสงคราม ทหารคนสำคัญคณะกู้บ้านกู้เมือง หรือกบฏบวรเดช เมื่อ 2 ก.ค. 2565 ก่อนจะมีการเอาออกในภายหลัง

ระลอกล่าสุดคือการพยายามเปลี่ยนสถาปัตยกรรมภายนอกอาคารอาร์ตเดโกที่สร้างในสมัยคณะราษฎร อย่างอาคาร นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ (ปี 2566) อาคารเทเวศประกันภัย และอาคารหอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน (ปี 2567)

บน: ประกาศประชาสัมพันธ์ เชิญชวนประชาชนร่วมทำความสะอาดที่อนุสาวรีย์ปราบกบฏ และรำลึกถึงคณะราษฎร ผู้ก่อกำเนิดประชาธิปไตยในไทย ในวันชาติ 24 มิถุนายน 2559

ล่าง: การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่อนุสาวรีย์ปราบกบฏ เมื่อ 14 ตุลาคม 2555 ซึ่งในวันที่ 14 ตุลานี้ ยังเป็นวันที่คณะราษฎร สามารถพิชิตกบฏบวรเดช ณ ทุ่งบางเขน เมื่อปี 2476 ได้อีกด้วย

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

จุดเด่น : อาร์ตเดโกแบบคณะราษฎร

สำหรับคนที่ไม่ได้คุ้นเคยกับสถาปัตยกรรมแบบ ‘อาร์ตเดโก ยุคคณะราษฎร’ ชาตรี อธิบายว่าเดิมอาร์ตเดโก เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ได้รับความนิยมในสหรัฐฯ และทวีปยุโรป แต่ความหมายจริงๆ ในประเทศต้นกำเนิดไม่ได้หมายถึงการต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (ความหมายนี้เป็นความหมายเฉพาะที่เกิดขึ้นในบริบทสังคมการเมืองไทยเท่านั้น) แต่ความหมายของมันคือ ‘ความหรูหราและนุ่มนวล’ และอีกนัยหนึ่งก็หมายถึงความเจริญก้าวหน้าพุ่งสู่อนาคต

อย่างไรก็ดี ต้องหมายเหตุเอาไว้ว่าอาร์ตเดโกเริ่มเข้ามาเหยียบในประเทศไทยตั้งแต่ก่อนยุค 2475 ซึ่งสามารถพบเห็นอาคารสไตล์นี้ได้ในย่านเยาวราช หรือส่วนของโรงภาพยนต์เฉลิมกรุงที่รัชกาลที่ 7 เป็นผู้ดำริสร้าง แม้ไม่ได้เป็นอาร์ตเดโกเป๊ะๆ แต่ก็เป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องแบบอาร์ตเดโกอีกทีหนึ่ง

ต่อมา เมื่อคณะราษฎร เอาอาร์ตเดโก ข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามายังประเทศไทย ก็มีการประยุกต์หรือทำให้เป็นท้องถิ่น (Localize) ให้เข้ากับบริบทการเมืองไทย มีการหยิบเอาความหมายดั้งเดิมของอาร์ตเดโก ไปใช้ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยมีการประยุกต์ลักษณะเด่น 3 อย่าง คือ 1. ลายไทยแบบใหม่ ที่ปฏิเสธลวดลายแบบไทยประเพณี 2. การสอดแทรกสัญลักษณ์ทางการเมืองอย่างพานรัฐธรรมนูญ และ 3. เพิ่มแนวคิดหลัก 6 ประการของคณะราษฎร เข้าไปในศิลปกรรม และสถาปัตยกรรมในยุคคณะราษฎร

‘ลายไทยแบบใหม่’ ของคณะราษฎรก็มาจากแนวคิดของอาร์ตเดโกที่ปฏิเสธลวดลายแบบนีโอคลาสสิก เสาโครินเธียน หรืออาร์ตนูโว แล้วแทนที่ด้วยลวดลายสมัยใหม่ที่เป็นรูปทรงเลขาคณิต เกลี้ยงเกลา มีความเป็นเส้นตรงพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า เพื่อสะท้อนถึงยุคสมัยที่เจริญก้าวหน้าในยุคแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม หรือการพุ่งทะยานของเทคโนโลยี ดังนั้น เมื่ออาร์ตเดโกเข้ามาสมัยคณะราษฎร ก็ทำให้เกิด ‘ลายไทย’ รูปแบบใหม่ เวอร์ชันที่เป็นทรงเรขาคณิต และเรียบง่าย พร้อมกับปฏิเสธลวดลายแบบไทยประเพณีเดิม

ภาพตัวอย่าง คันทวยแบบอาร์ตเดโค ที่วัดพระพุทธบาท สระบุรี ชาตรี ระบุว่า แบบอันนี้มาจากหนังสือเรื่อง พุทธศิลป์สถาปัตยกรรมภาคต้น ในภาพคือ ‘คันทวย' ตัวที่ยื่นรับหลังคาที่ยื่นออกมา ด้านขวาแบบประเพณี แต่ด้านซ้าย สร้างจากคอนกรีตเสริมเหล็ก แบบอาร์ตเดโค ลวดลายน้อยกว่า เรียบเกลี้ยงกว่า เป็นเรขาคณิต แบบคณะราษฎร (ที่มา: ยูทูบ คณะราษฎรกับวัดพระพุทธบาท สระบุรี : เสวนา ดินแดนในจินตนาการ – นครหลวงสระบุรีและพุทธบุรีมณฑล ช่อง คนหระรี)

อีกจุดเด่นคือการแทรกสัญลักษณ์พานรัฐธรรมนูญเข้าไป คืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน และอนุสาวรีย์ปราบกบฏ หรือการแทรกสัญลักษณ์เกี่ยวกับหลัก 6 ประการ เช่น ประตู 6 บาน และพระขรรค์ 6 เล่มที่ตัวอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หรือตึกศาลฎีกา ที่ด้านหน้าตึกมีเสา 6 ต้นสื่อถึงหลัก 6 ประการของคณะราษฎร

“เมื่อคณะราษฎร ใช้อย่างนี้ซ้ำๆ อย่างเป็นกิจจะลักษณะ มันเลยกลายเป็นภาพจำประจำตัว เหมือนเราใส่เสื้อผ้าซ้ำกันนานๆ มันก็จะกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวเรา เช่นเดียวกับ อาร์ตเดโก คณะราษฎรเอามาใช้ในอาคารสาธารณะเยอะมาก จนมันเกิดการผูกพันในทางความหมาย ไอ้สไตล์แบบนี้มันเป็นสไตล์ของคณะราษฎร” ชาตรีระบุ

อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจะมีการใช้พานรัฐธรรมนูญ และพระขรรค์ 6 เล่ม ประตู 6 บาน เพื่อสื่อถึงหลักคิด 6 ประการของคณะราษฎร ภาพถ่ายโดยคชรักษ์ แก้วสุราช

นีโอคลาสสิก vs อาร์ตเดโก คู่ตรงข้ามในทางการเมือง

เมื่อถามว่าทำไมฝ่ายอนุรักษนิยมถึงอยากให้เปลี่ยนภายนอกอาคารตึกราชดำเนินกลางให้เป็นสถาปัตยกรรมแบบ ‘นีโอคลาสสิก’ ชาตรี กล่าวว่า เราต้องยอมรับก่อนว่า สถาปัตยกรรม ศิลปกรรมและการพัฒนาเมืองคือเรื่องการเมืองและการต่อสู้ทางการเมือง พื้นที่ ‘เมือง’ เป็นพื้นที่ที่เรียกว่า “Contested Apartment” หรือพื้นที่ที่มีการต่อรองแย่งชิงความหมายทางการเมือง ใครก็ตามที่ยอมรับหลักคิดนี้ก็จะมองการออกแบบเมือง ตึก หรือสไตล์ของอาคาร ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องสไตล์ แต่มันแฝงเรื่องความหมายทางการเมืองสอดแทรกอยู่เสมอ พอเข้าใจตรงนี้เราจะรู้ได้ทันทีว่า ‘อาร์ตเดโก’ มันถูกสร้างให้เป็นความหมายพ่วงรัดแน่นเข้ากับอุดมการณ์ของคณะราษฎร

จริงๆ รัชกาลที่ 5 สร้างสถาปัตยกรรมหลายสไตล์ทั้งนีโอคลาสสิก นีโอเรเนซองส์ และจูเกนด์สติล (Jugendstil) แต่ภาพจำหลักๆ คือ ‘นีโอคลาสสิก’ และเช่นเดียวกับ อาร์ตเดโกที่ถูกผูกติดเข้ากับคณะราษฎร นีโอคลาสสิกก็ถูกทำให้เป็นภาพจำผูกแน่นเข้ากับกษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ของไทย เพราะเป็นระบอบที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ช่วงกลางทศวรรษ 2430 และมาพร้อมกับการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ ไปสู่ความเป็นสมัยใหม่โดยมียุโรปเป็นต้นแบบ พอรัชกาลที่ 5 ใช้สไตล์นี้ซ้ำๆ ก็ทำให้รัชกาลที่ 5 และ 6 ถูกโยงเข้ากับนีโอคลาสสิก และกลายเป็นคาแรกเตอร์ประจำตัวไปในที่สุด

“พอมันเป็นแบบนี้เลยไม่แปลกใจว่า ทำไมฝ่ายปฏิปักษ์กับคณะราษฎร หรือฝ่ายอนุรักษนิยม ถึงอยากจะทำให้สิ่งปลูกสร้างและอาคารสถาปัตยกรรมและการเมือง เลยต้องย้อนให้กลับไปเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับนีโอคลาสสิก

“ในขณะที่ไม่แปลกเช่นกัน ฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตย ต่อต้านรัฐประหาร เวลานึกถึงสถาปัตยกรรม หรือศิลปกรรม ก็จะนึกย้อนกลับไปที่คณะราษฎร และก็ต้องลามไปต่ออย่างช่วยไม่ได้ที่จะต้องไปที่อาร์ตเดโก ดังนั้น มันเลยช่วยไม่ได้ที่นีโอคลาสสิก และอาร์ตเดโก จะถูกเอามาวางโยงกันเป็นคู่ตรงข้ามกันระหว่าง 2 อุดมการณ์ นีโอคลาสสิกคือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และอาร์ตเดโก คือประชาธิปไตยของคณะราษฎร” ชาตรี กล่าว

ลบหรือไม่ลบ ขึ้นอยู่กับการให้ความหมาย

ย้อนไปเมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2568 ซึ่งเป็นการนัดชุมนุมใหญ่ของเครือข่ายอนุรักษนิยม ในนาม ‘กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย’ เพื่อมาขับไล่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร หลังเกิดกรณีการเผยแพร่คลิปคุยส่วนตัวระหว่างแพทองธารและฮุนเซน อดีตนายกฯ กัมพูชา

เมื่อสอบถามว่าทำไมกลุ่มที่น่าจะมีแนวคิดต่อต้านคณะราษฎรถึงไปชุมนุม ณ บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่สร้างโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นคู่อริตัวยงของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และทำไมอนุสรณ์สถานนี้ถึงยังไม่เป็นเป้าหมายของการถูกรื้อ

ชาตรี มองว่าเรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะไม่ใช่มรดกคณะราษฎรทุกชิ้นที่จะเชื่อมโยงกับการปฏิวัติ 2475 ยกตัวอย่าง จุดที่ถูกรื้ออย่างหมุดคณะราษฎร หรืออนุสาวรีย์ปราบกบฏ จะมีความหมายในกลุ่มเดียวกัน คือถูกอธิบายว่าเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย หรือการต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มันจึงเป็นเป้าหมายในการรื้อทำลาย และจงเกลียดจงชัง

กลับกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ข้อเท็จจริงคือสร้างในสมัยของคณะราษฎร โดยจอมพล ป. หลังจากที่เราได้ชัยชนะในการรบอินโดจีนกับฝรั่งเศส ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเราได้ดินแดนที่ประวัติศาสตร์ชาตินิยมไทยสอนให้เราเชื่อว่าเสียไป กลับคืนมาอีกครั้ง นั่นจึงเป็นเหตุผลให้มีการสร้างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิขึ้นมา

“นัยยะทางความหมายของอนุสาวรีย์ชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับแนวคิด ‘ชาตินิยม’ มันไม่ได้ยึดโยงกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 แต่เกี่ยวข้องกับลัทธิทหารนิยม และอุดมการณ์ชาตินิยมช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนั้น หน่อเนื้อเชื้อของความหมายมันถึงไม่เหมือนกัน

“อีกอันหนึ่งก็คือว่าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หลังจากที่มันสร้างมาจนถึงปัจจุบัน มันกลายเป็นพื้นที่ของการเฉลิมฉลองของทหาร เพราะฉะนั้น ทหารไทยก็ไม่ได้มองอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับคณะราษฎร และ 2475 แต่ความหมายคืออนุสาวรีย์ความภาคภูมิใจของทหารมากกว่า

“ด้วยนัยยะอย่างนี้จึงไม่แปลก ที่เลือก (ชุมนุม) ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพราะว่ามันสอดคล้องทั้งการเรียกร้องดินแดนคืน และในสมรภูมิเดียวกันคือกัมพูชา เพราะฉะนั้น มันมีเส้นเรื่องที่ยึดโยงกันได้ ขณะที่การชุมนุมเมื่อ 28 มิ.ย.มันถูกจุดขึ้นมาด้วยลัทธิทหารนิยม และชาตินิยมแบบทหาร อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จึงเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง” ชาตรี กล่าว

ชาตรี ยังยกตัวอย่าง กรณีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพราะแม้ว่าจะสร้างในสมัยคณะราษฎร แต่ว่าการชุมนุมทางการเมืองช่วง 14 ตุลา 2516 หรือพฤษภา 2535 ทำให้อนุสาวรีย์เปลี่ยนความหมายใหม่ที่ไม่ได้ยึดโยงกับคณะราษฎรอย่างเดียว

“เราจะเห็นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นที่ๆ ฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยต่อต้านรัฐประหาร ฝ่ายสนับสนุนรัฐประหาร กปปส. หรือเสื้อเหลือง ก็มาชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพราะว่าอนุสาวรีย์นี้มีความหมายทับซ้อนกัน ซึ่งตรงนี้แตกต่างจากหมุดคณะราษฎร และอนุสาวรีย์ปราบกบฏ ที่วงเวียนหลักสี่ ซึ่งมีความหมายเดียวคือ การต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ความหมายมันพุ่งตรงไปยึดโยงกับ 2475 อย่างเดียว” อาจารย์ศิลปากร ระบุ

บน : การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2553

ล่าง : การชุมนุมของ กปปส. เมื่อ 22 ธ.ค. 2556 (ที่มา: เว็บไซต์ มติชนออนไลน์)

อาจารย์ศิลปากร ยกอีกหนึ่งตัวอย่างคืออาคารไปรษณีย์กลางบางรัก ที่สร้างในสมัยคณะราษฎรและสไตล์ตึกก็มีความเป็นคณะราษฎรอย่างมาก แต่ความหมายของตึกปัจจุบันก็ไม่มีนัยยะทางการเมืองเลย มันกลายเป็นศูนย์กลางของงานสร้างสรรค์ ‘Inventive Construct’ เป็นสถานที่ที่วัยรุ่นหรือคนทั่วไปมาเที่ยว หรือถ่ายภาพ ไม่มีความหมายทางการเมืองเข้าไปสนับสนุนแนวคิดของคณะราษฎรแบบเดิม ดังนั้น ในทัศนะของอาจารย์จึงมองว่าตึกนี้ก็น่าจะไม่เป็นเป้าหมายถูกรื้อ

‘ลบไม่ทำให้ลืม' แต่พลังทางการเมืองก็ลดลง

เมื่อสอบถามว่าการลบหรือทำให้หายไปช่วยทำให้ลืมจริงหรือไม่ หรือผลกระทบจากการรื้อสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อเราในทางใดทางหนึ่งโดยที่เราไม่รู้ตัวบ้างหรือไม่ อาจารย์ผู้สันทัดด้านสถาปัตยกรรมคณะราษฎร มองว่า แน่นอนว่าการลบไม่ทำให้ลืมแน่นอนในบริบทสังคมปัจจุบัน แต่ว่าสิ่งที่อนุรักษนิยมทำทั้งหลายก็ส่งผลกระทบเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อเราพูดถึง ‘พลังทางการเมือง' ที่ลดลง

ชาตรี มองว่า ในอดีตเวลาลบ มันทำให้ลืมจริง อย่างการรื้อศาลาเฉลิมไทย คนลืมเลย ทำสำเร็จ เพราะว่ายุคสมัยนั้นเราไม่ได้มีโซเชียลมีเดีย และสื่อสมัยนั้นก็ถูกควบคุม มีเพียงเรื่องเล่าแบบปากต่อปาก ไม่กี่วันคนก็ลืมและสูญหาย เพราะฉะนั้น การลบหรือการรื้อในบริบทอดีตมีผลกระทบสูง ทำให้ลืมได้พอสมควร

อย่างไรก็ตาม ยุคปัจจุบันมีสื่อโซเชียลมีเดีย มีสื่อหลายช่องทาง ไม่ได้โดนผูกขาด การรื้อทำลาย หรือการลบจึงมีพลังจำกัด เพราะมีช่องทางอื่นๆ ที่ทำให้ความทรงจำเหล่านี้ไม่หายไปไหน การปรินต์ออกมาเป็นโมเดล กาชาปอง หมุดคณะราษฎร หรือพวงกุญแจหมุดคณะราษฎร มันทำให้การลบหรือรื้อไม่มีผลกระทบเท่ากับ 30-40 ปีก่อนแล้ว มันเลยเป็นความหมายว่า ‘ลบมันไม่ได้ทำให้ลืม’

“อย่างไรก็ตาม การลบและรื้อมันก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว มันก็มีผลอยู่ คุณต้องลองจินตนาการว่า ในอดีตเรายังสามารถไปยืนล้อมหมุดคณะราษฎร ยืนอ่านประกาศราษฎรร่วมกัน ในฉากหลังเป็นพระที่นั่งอนันตสมาคม ในบริเวณที่เป็นไซส์จริงในอดีต ถามว่ามันมีพลังมากกว่าการมาใส่นาฬิกาหมุดคณะราษฎร หรือพวงกุญแจหมุดคณะราษฎรหรือเปล่า มันเทียบกันไม่ได้ การที่ผู้ชุมนุมสามารถเข้าไปยืนอ่านประกาศคณะราษฎรตรงหมุดชิ้นเดียวกับประวัติศาสตร์เมื่อ 70-80 ปีก่อนที่มันเคยเกิดเหตุการณ์นี้จริง มันมีพลังกว่ากันเยอะ บรรยากาศจริง วัตถุจริง มันทำให้เกิดอารมณ์ร่วม และความรู้สึกปลุกเร้าได้ดีกว่า ดังนั้น แม้การลบไม่ได้ทำให้ลืม แต่มันก็มีศักยภาพมากพอที่จะลดทอนพลังทางการเมืองของสัญลักษณ์นั้นๆ ลง” ชาตรี กล่าว

ประชาชนนักกิจกรรมจัดรำลึก 78 ปีคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่หมุดคณะราษฎร เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2553 (แฟ้มภาพประชาไท)

โปรเจกต์รวบรวมวัตถุปฏิวัติ การอารยขัดขืนผู้มีอำนาจ

ท่ามกลางกระแสที่มรดกของคณะราษฎรกำลังอันตรธาน ถูกลบเลือนไปทีละอย่างสองอย่าง สิ่งที่นักวิชาการผู้คร่ำหวอดเรื่องสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตเดโกผู้นี้พอจะทำได้ คือการค่อยๆ รวบรวมข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์บนเว็บไซต์ที่มีชื่อว่า “วัตถุปฏิวัติ”

ชาตรี เล่าให้ฟังว่า จุดเริ่มต้นของเว็บไซต์นี้มาจากในช่วงการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ปี 2560-2563 เป็นต้นมา เขาเริ่มเห็นวัตถุสมัยใหม่ที่ถูกดีไซน์โดยได้แรงบันดาลใจจากวัตถุสิ่งของยุคคณะราษฎร เช่น ของใช้ในชีวิตประจำวัน ของที่เป็นการต่อสู้ทางอ้อม เพราะอนุสาวรีย์ปราบกบฏก็ถูกรื้อ หมุดก็ถูกรื้อ เลยเป็นการต่อสู้ผ่านเสื้อผ้าหรือสิ่งของต่างๆ ทำให้ตนเองเริ่มสนใจสิ่งเหล่านี้มากขึ้น

กระทั่งปี 2566 ชาตรีได้พบเจอกับอาจารย์โซเรน อีวาเซน (Søren Ivarsson) อาจารย์ชาวเดนมาร์ก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ การสนทนากับอีวาเซน ทำให้ชาตรี เห็นว่า ในต่างประเทศก็มีการทำเว็บไซต์เก็บข้อมูลวัตถุสิ่งของในประวัติศาสตร์ เขาจึงมีความคิดริเริ่มทำเว็บไซต์นี้ขึ้นมา เพื่อเก็บความทรงจำสิ่งของต่างๆ เมื่อ ‘ของจริง’ ถูกรื้อ การผลิตซ้ำเป็นวัตถุสิ่งของก็ช่วยได้ประมาณหนึ่ง แต่เขาอยากให้เว็บไซต์นี้ทำหน้าที่ให้ข้อมูลทั้งในเชิงวิชาการและไม่วิชาการ ถ้าต้องการจะรู้ความเป็นมาของวัตถุเหล่านี้ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร จะได้มีฐานข้อมูลที่ช่วยให้คนเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้

เป้าหมายของเว็บไซต์ตอนนี้คือ การพยายามรวบรวมสิ่งของเกี่ยวกับคณะราษฎร ทั้งทางตรง และทางอ้อมให้ได้ 2,475 ชิ้น แต่ชาตรี ยอมรับว่า ภารกิจหนนี้น่าจะยาก เพราะต้องใช้ทั้งพละกำลัง และงบประมาณที่มากพอสมควร

“คงจะยากมากๆ เพราะว่าต้องอาศัยงบประมาณ อาศัยการช่วยเหลือจากคนหลายคน ต้องใช้พลังเยอะ คิดว่าก็ทำไปอย่างช้าๆ อย่างน้อยถ้ามีเว็บไซต์นี้เป็นความฝันที่ถูกสร้างค้างทิ้งเอาไว้อยู่ แม้อาจจะทำอะไรต่อไม่ได้ ณ วันนี้ แต่สักวันอาจมีใครสักคนเห็นว่าอันนี้มีประโยชน์ต่อไปในอนาคต ก็เข้ามาเทกโอเวอร์ และทำมันต่อไป หวังว่าจะเป็นแบบนั้น ในทัศนะผมมันเป็นโปรเจกต์ระยะยาว (Existence-long project) …ทำไปเรื่อยๆ ว่างตอนไหนก็มาเติมวัตถุลงไป ถ้ามีคนรุ่นใหม่หรือนักวิชาการรุ่นใหม่สนใจก็มาเติมวัตถุลงไป มีใครทำวิจัยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ก็มาเติมลงไปในเว็บไซต์” อาจารย์ศิลปากร ระบุ

ชาตรี เห็นว่า นอกจากเป้าหมายหลักในการทำฐานข้อมูลให้กับศิลปะ สถาปัตยกรรม และวัตถุสิ่งของคณะราษฎร และการชุมนุมของคนรุ่นใหม่ปี 2563 แล้ว เป้าหมายรองเว็บไซต์นี้ยังมีวาระแอบแฝง (hidden agenda) ในทางการเมือง คือ ภายใต้กระแสการรื้อถอนวัตถุสิ่งของยุคคณะราษฎร เว็บไซต์นี้ก็เหมือนการขัดขืนต่อสู้ ‘เมื่อคุณอยากบังคับให้ลืม เราก็ดึงดันที่จะจำ’

การรื้อถอนจะไปสุดที่ตรงไหน

แล้วคิดว่าการรื้อถอนทำลายมรดกคณะราษฎรจะสิ้นสุดที่ไหน? ชาตรีคิดว่าขึ้นกับสถานการณ์การเมืองปัจจุบันจะไปไกลขนาดไหน ถ้าเทียบกับสมัยปี 2562-2563 ที่มีการรื้อถี่ๆ ตอนนี้สถานการณ์ไม่รุนแรงขนาดนั้น แต่ก็ยังน่ากังวลและอันตรายโดยเฉพาะกรณีของถนนราชดำเนินกลาง

ผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมคณะราษฎรมองว่า ไม่ทราบว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะสมมติสถานการณ์ทางการเมืองร้อนขึ้นมาอีกครั้ง มีการทำรัฐประหารใหม่ และมีคนออกมาต่อต้านและใช้แนวคิดของคณะราษฎร ก็จะมีแรงปฏิกิริยาจากฝ่ายอนุรักษนิยมและชนชั้นนำที่จะไปรื้อซ้ำอีก

นอกจากนี้ ชาตรีมองว่า การรื้อตึกที่ราชดำเนินกลางของฝ่ายปฏิปักษ์คณะราษฎรถือว่าเป็นการ ‘ล้ำเส้น’ มากเกินไป เหตุที่กล่าวว่า ‘ล้ำเส้น’ เพราะบริบทความขัดแย้งหรือการต่อสู้ทางการเมือง ไม่ควรถึงขั้นจะต้องมาทำลายหรือรื้ออาคารสถานที่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และเป็นสิ่งที่สังคมไทยควรจะต้องส่งต่อให้คนรุ่นต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะอาคาร 2 ข้างทางถนนราชดำเนิน และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

“ผมขอเปรียบเทียบ มันอาจจะไม่ตรงซะทีเดียวและดูเวอร์วังไปหน่อย คือในสงครามโลกครั้งที่ 2 มันมีการคุยกันในระดับผู้นำประเทศว่า มีสถานที่ไหนหรือเมืองไหนบ้างที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สูงในระดับที่แม้จะเป็นศัตรูกันก็จะไม่มีทางเอาsะเบิดไปบอมบ์ทิ้งโดยเด็ดขาด เพราะว่ามันเป็นมรดกของมนุษยชาติ แม้กรณีคณะราษฎรอาจไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แต่ผมก็คิดว่า Metaphor (การเปรียบเทียบ) พอจะใช้ได้อยู่ เพราะว่าความขัดแย้งทางการเมืองที่มันเกิดขึ้นในปัจจุบัน มันไม่น่าล้ำเส้นหรือไปไกลขนาดที่รื้อตึกอาคารสถานที่ เพราะตัวมันเองก็มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มาก” ชาตรีกล่าว

เมื่อถามว่า พอจะมีหนทางหยุดกระบวนการรื้อถอนเหล่านี้ได้หรือไม่ ชาตรีถึงกับพูดว่า “ถามผม จะต้องถามผิดคนแน่ๆ เลย เพราะผมไม่เคยรณรงค์ตึกไหนแล้วจะสามารถเก็บรักษามันไว้ได้เลย แม้แต่ชิ้นเดียว”

อาจารย์ศิลปากรระบุอีกว่า เขารู้สึกว่าไม่ค่อยมีหวังเท่าไรนัก หน่วยงานที่พอจะฝากผีฝากไข้ได้อย่างกรมศิลปากรก็ไม่มีจุดยืนมั่นคงในทางวิชาการมากนัก ยกตัวอย่างกรณีของการรื้อหายของอนุสาวรีย์ปราบกบฏ ซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติแล้ว กรมศิลปากรกลับนิ่งเฉย ก็เป็นสัญญาณที่ดูไร้อนาคตทีเดียวกับการที่จะรักษามรดกที่มีคุณค่าในยุคคณะราษฎร

“ดูไม่มีหนทางเลย ตอนแรกก็รู้สึกโมโห อย่างตึกศาลฎีกาถูกรื้อโมโหมากเลย แต่ตอนนี้ก็ทำใจ และคิดว่าสิ่งที่ควรทำภายใต้สถานการณ์แบบนี้ก็คือการให้ความรู้และข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์หรือทำเว็บไซต์เป็นฐานข้อมูล อย่างน้อยมันก็หลงเหลือความทรงจำทิ้งเอาไว้ให้กับคนรุ่นต่อไปได้บ้าง ในกรณีถนนราชดำเนินก็ไม่ต่างกัน ถึงแม้ว่าผมจะพูดมาตลอด แต่ก็ไม่เคยหยุดสำเร็จ (สิ่งเดียวที่อาจหยุดได้คือวิกฤตเศรษฐกิจ เพราะว่าตึกหนึ่งมันใช้ประมาณ 60 ล้านบาทในการเปลี่ยน façade) ดังนั้นสิ่งที่พอทำได้ก็คือการเก็บรักษาความทรจำมันไว้ในเว็บไซต์” ชาตรี กล่าว

อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จะปลิวไปด้วยหรือไม่

เมื่อถามถึงสถานการณ์ของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมีโอกาสจะถูกปรับเปลี่ยน หรือเปลี่ยนโฉมมากน้อยขนาดไหน ชาตรี มั่นใจว่า 80% น่าจะถูกรื้อหรือแปลงสภาพไปเป็นนีโอคลาสสิก โดยเขาประเมินว่าหลังจากที่ฝ่ายอนุรักษนิยมเปลี่ยนโฉมตึกอาร์ตเดโกในราชดำเนินกลางหมดแล้ว ก็จะนำไปสู่การสร้างข้ออ้างที่ชอบธรรมในการเปลี่ยนโฉมภายนอก หรือรื้ออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่ส่วนที่เหลืออีก 20% คือหวังว่าคนรุ่น 14 ตุลาและพฤษภา 35 จะคำนึงถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในฐานะพื้นที่ต่อสู้ของตัวเองและเลือกจะเก็บรักษาไว้อย่างที่ควรเป็น

“20% คืออะไร คือผมยังฝากความหวังเล็กๆ กับกลุ่มอนุรักษนิยม ในกลุ่มนี้แต่เดิมมีจำนวนมากเลยที่ผ่าน 14 ตุลา 2516 พฤษภา 2535 ซึ่งกลุ่มคนพวกนี้มีความผูกพันกับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในฐานะพื้นที่ต่อสู้ของตัวเองสูงมาก แต่กลุ่มนี้ปัจจุบันเทิร์นตัวเองมาเป็นฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตย สนับสนุนรัฐประหารทางอ้อม เป็นอนุรักษนิยมเพิ่มขึ้น

“ผมก็หวังว่าคนกลุ่มนี้อาจจะยังพอมีสติเหลืออยู่บ้าง อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มันมีความหมายที่ทับซ้อนกว่านั้น และมันมีคุณค่าขึ้นไปอีกระดับ มันผ่านการต่อสู้ทางการเมือง เป็นประจักษ์พยานให้กับการเปลี่ยนทางการเมืองให้กับไทยหลายครั้ง มันมีคุณค่าสูงมากในทางประวัติศาสตร์” ชาตรีทิ้งท้าย

ภาพอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ่ายจากโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า เกาะกลางถนนราชดำเนินกลาง ถ่ายโดย คชรักษ์ แก้วสุราช

ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )

ผู้เรียบเรียง

ให้คะแนนความพอใจของคุณ :

0 / 5 คะแนน 0

คุณให้คะแนน:

แชร์ลิ้งค์นี้ : https://ด่วน.com/yyqq | ดู : 10 ครั้ง
  1. 7ag16vturbo-500hp-ส่งเข้าประกวด-(feed--with-get 7ag16vTurbo 500hp ส่งเข้าประกวด- Get
  2. บยสส.4-ศึกษาดูงานส่วนกลาง-ครั้งที่-1-ณ-tellscore บยสส.4 ศึกษาดูงานส่วนกลาง ครั้งที่ 1 ณ Tellscore
  3. เอื้องแมงมุมขาว-กล้วยไม้รูปร่างแปลกตา-จากสวนพฤกษศาสตร์ทุ่งค่ เอื้องแมงมุมขาว กล้วยไม้รูปร่างแปลกตา จากสวนพฤกษศาสตร์ทุ่งค่
  4. รวบหนุ่มใช้รถหลุดจำนำ-ติดแผ่นป้ายทะเบียนปลอม-พร้อมยึดรถส่งคื รวบหนุ่มใช้รถหลุดจำนำ ติดแผ่นป้ายทะเบียนปลอม พร้อมยึดรถส่งคื
  5. นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่-สะท้อนว่าการสร้างพนังลักษณ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สะท้อนว่าการสร้างพนังลักษณ
  6. -ข้อเท็จจริงจากกองบิน-21-“ขอยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เพจต่างๆหร ✅ ข้อเท็จจริงจากกองบิน 21 “ขอยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เพจต่างๆหร
  7. โคนม-และตอบทุกปัญหาคาใจ-:-กฎหมายชายคา-ปัญหาชาวบ้าน-โดย-สำนัก-|-2025-07-29-08:22:00 โคนม และตอบทุกปัญหาคาใจ : กฎหมายชายคา ปัญหาชาวบ้าน โดย สำนัก 2025-07-29 08:22:00
  8. กราดยิv-โฉมหน้าคนร้ายหราดยิvรปภ-ตลอด-อตก.-(feed--|-2025-07-28-13:forty-five:00 กราดยิv โฉมหน้าคนร้ายหราดยิvรปภ. ตลอด อตก. 2025-07-28 13:forty five:00
  9. ถนนราชดำเนินกลางกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ-ตึกตลอด-2-ข้างทาง ถนนราชดำเนินกลางกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ ตึกตลอด 2 ข้างทาง
  10. ทบ.สดุดีทหารกล้า’สิบโทต่อพงษ์-พันดวง’-ปะทะช่องอานม้า-รวมกำลังพลเสียชีวิต-15-นาย ทบ.สดุดีทหารกล้า’สิบโทต่อพงษ์ พันดวง’ ปะทะช่องอานม้า รวมกำลังพลเสียชีวิต 15 นาย
  • No recent comments available.

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *


Share via
Click to Hide Advanced Floating Content
Send this to a friend