“สุดยอดคนชรา” อายุยืนพร้อมกับมีสุขภาพแข็งแรงไปด้วยได้อย่างไร

ที่มาของภาพ : Sandy Huffaker for The Washington Put up by means of Getty Shots

“เราทุกคนควรเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น นี่เป็นสิ่งที่ผมเน้นย้ำเสมอ” นพ.อีริก โทปอล ในวัย 71 ปี กล่าว

Article Recordsdata

    • Writer, มาร์การิตา โรดริเกซ และ รีเบกกา ธอร์น
    • Role, บีบีซี มุนโด (แผนกภาษาสเปน) และแผนกข่าวสุขภาพระหว่างประเทศ (World Successfully being)

เมื่อนายแพทย์อีริก โทปอล นักหทัยวิทยาชาวอเมริกัน ได้พบกับคุณยาย “แอลอาร์” (LR – นามสมมติที่ใช้กับกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัย) วัย 98 ปี ที่นัดมาตรวจร่างกายกับเขาเป็นครั้งแรก ลักษณะพิเศษบางอย่างในตัวคุณยายคนนี้ ทำให้นพ.โทปอลสนใจเป็นอย่างมาก

ในตอนนั้นเขาสังเกตเห็นว่า คุณยายไม่มีญาติหรือคนดูแลติดตามมาด้วย จึงได้เอ่ยถามคุณยายที่อายุมากเกือบร้อยปีแล้วว่า เดินทางมาถึงโรงพยาบาลได้อย่างไร

“เธอขับรถมาโรงพยาบาลเอง” นพ.โทปอลบอกกับบีบีซี “ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับข้อมูลสุขภาพของคุณยายมากขึ้นหลังจากนั้น เธอแตกต่างจากคนชราทั่วไปตรงที่ดูสดใสร่าเริง มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดีทุกประการ คุณยายอาศัยอยู่ตัวคนเดียว แต่ก็มีวงสังคมของตนเองที่ประกอบไปด้วยเครือข่ายญาติมิตรจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เธอมีความสุขดีในตอนที่ต้องอยู่ตามลำพัง”

นพ.โทปอล เป็นผู้อำนวยการและผู้ก่อตั้งสถาบันแปลผลวิจัยสคริปส์ (SRTI) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา โดยเขายังเป็นนักวิทยาศาสตร์และผู้เขียนหนังสือที่มีประสบการณ์สูงอีกด้วย ผลงานล่าสุดของนพ.โทปอล คือการศึกษาวิจัยเพื่อค้นหาคำตอบในเรื่องที่ว่า เหตุใดบางคนจึงอายุยืนและมีสุขภาพดีมากกว่าคนอื่น ๆ

นพ.โทปอล เริ่มอธิบายถึงงานของเขา โดยส่งคำเตือนถึงบรรดาสาวกของลัทธิความเชื่อเกี่ยวกับสุขภาพ ไม่ให้หลงงมงายกับตำนานเล่าขานต่าง ๆ รวมทั้งวิทยาศาสตร์เทียม (pseudoscience) “อย่างเช่นอาหารเสริมที่ช่วยต้านทานความแก่ชรา ซึ่งอวดอ้างสรรพคุณวิเศษทั้งที่ไม่มีข้อมูลมาสนับสนุน นอกจากนี้ยังมีกระบวนการและวิธีบำบัดรักษาต่าง ๆ ที่มีผู้นำมาเสนอให้บริการในราคาแพง ทั้งที่ไม่มีหลักฐานยืนยันทางวิทยาศาสตร์เลย”

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด

Cease of ได้รับความนิยมสูงสุด

“สักวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า มนุษย์อาจจะค้นพบยาเม็ดแสนวิเศษ ซึ่งช่วยให้เราเป็นคนแก่ที่ไร้โรคภัยและมีสุขภาพแข็งแรงได้ แต่ตอนนี้เรายังหาไม่พบ ไม่แม้แต่จะเฉียดเข้าใกล้โอกาสที่จะเจอมันเลย” นพ.โทปอลกล่าว

บทบาทของพันธุกรรม

ที่มาของภาพ : Getty Shots

ผลการค้นพบของทีมวิจัยนี้เผยให้เห็นว่า พันธุกรรมอาจมีบทบาทน้อยลงกว่าที่เคยเชื่อกัน

ย้อนไปเมื่อปี 2007 นพ.โทปอลและคณะนักวิจัยของเขา ใช้เวลานานกว่า 6 ปี ถอดรหัสพันธุกรรมจากจีโนมของกลุ่มตัวอย่างราว 1,400 คน ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นชาวอเมริกันวัย 80 ปีขึ้นไป ที่ยังไม่มีโรคเรื้อรังหรือปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง

“นี่คือคนกลุ่มที่หาพบได้ยากมากในหมู่ประชากรมนุษย์ พวกเขาไม่เคยป่วยหนักหรือเป็นโรคเรื้อรังใด ๆ มาก่อน ไม่ต้องกินยาชนิดใดเป็นประจำ ทั้งที่มีอายุกว่า 85 ปีแล้ว” นพ.โทปอลกล่าว

ทีมวิจัยของนพ.โทปอลเรียกคนกลุ่มนี้ว่า “สุดยอดคนชรา” (dapper agers) อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาของพวกเขาพบว่า พันธุกรรมเป็นปัจจัยที่มีบทบาทน้อยมาก ในการทำให้คุณตาคุณยายเหล่านี้มีสุขภาพดี แม้อายุจะมากจนเฉียดเข้าใกล้หลักร้อยปีแล้วก็ตาม

นพ.โทปอลได้พบกับคุณยายแอลอาร์ ในตอนที่ได้สรุปผลและตีพิมพ์รายงานวิจัยข้างต้นไปแล้ว ทำให้พลาดโอกาสในการนำข้อมูลสุขภาพของคุณยายผู้นี้มาร่วมวิเคราะห์และแปลผลด้วย นพ.โทปอลจึงตัดสินใจนำเรื่องราวของคุณยาย มาตีพิมพ์เผยแพร่ในงานวิจัยชิ้นล่าสุดแทน

ในรายงานวิจัยดังกล่าว นพ.โทปอลระบุว่าคุณยายแอลอาร์คือตัวอย่างหนึ่งของคนที่แก่ชราได้อย่างมีสุขภาพดี แม้ในครอบครัวของคุณยายจะมีประวัติการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรอยู่ก็ตาม

“คนกลุ่มนี้สามารถจะสูงวัยและมีสุขภาพแข็งแรงไปพร้อมกันได้อย่างเหลือเชื่อ ทั้งยังมีแนวโน้มว่าพวกเขาจะมีอายุยืนถึงร้อยปีอีกด้วย แต่ลักษณะเหล่านี้ไม่ตรงกับพันธุกรรมและประวัติของคนในครอบครัวอย่างสิ้นเชิง ผมคาดว่าแม้พันธุกรรมอาจจะมีอิทธิพลบ้างเล็กน้อย แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุหลักที่จะช่วยอธิบายให้กระจ่างได้ว่า เหตุใดคนชราเหล่านี้ถึงแข็งแรงนัก” นพ.โทปอลกล่าว

เนื่องจากพันธุกรรมส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในวัยชราน้อยมาก ผู้ที่มีประวัติของคนในครอบครัวเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ด้วยสาเหตุจากโรคภัยและปัญหาสุขภาพต่าง ๆ น่าจะพอโล่งอกโล่งใจขึ้นได้บ้างไม่มากก็น้อย เพราะไม่จำเป็นว่าตนเองจะต้องเจริญรอยตามบรรพบุรุษในเรื่องของสุขภาพเสมอไป

ความชราเพราะการอักเสบ (Inflammageing)

ที่มาของภาพ : Getty Shots

การอักเสบเรื้อรังอาจนำไปสู่โรคที่เกี่ยวข้องกับอายุ เช่น โรคอัลไซเมอร์และโรคหัวใจและหลอดเลืoด

ผลการศึกษาวิจัยครั้งล่าสุด ทำให้นพ.โทปอลเสนอแนวคิดใหม่ว่า “สุดยอดคนชรา” ที่มีสุขภาพแข็งแรงแม้สูงวัยมากแล้วนั้น ไม่ค่อยมีการอักเสบเรื้อรังภายในร่างกาย ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การอักเสบนี้มักเป็นสาเหตุของความเสื่อมตามวัยและโรคต่าง ๆ ในคนชรา

ศาสตราจารย์เดวิด เจมส์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของสถาบันเพื่อการแก่ชราอย่างมีสุขภาพดี (IHA) ที่มหาวิทยาลัย UCL ของสหราชอาณาจักร บอกว่าการอักเสบนั้นเป็นปฏิกิริยาปกติตามธรรมชาติของร่างกาย เพื่อตอบสนองต่อภยันตรายต่าง ๆ เช่นการติดเชื้อ, การบาดเจ็บ, และการได้รับพิษ แต่หากเกิดการอักเสบในร่างกายเป็นระยะเวลานานเกินไป อาจนำไปสู่การเกิดโรคร้ายแรง เช่นโรคหลอดเลืoดหัวใจและโรคสมองเสื่อมได้

“กระบวนการนี้เรียกว่า ความชราเพราะการอักเสบ (inflammageing) หากมีการอักเสบภายในร่างกายอย่างเรื้อรัง มันจะก่อปัญหาเหมือนคนงานก่อสร้างที่ไม่ยอมออกไป แม้จะได้สร้างอาคารเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตาม เมื่อการอักเสบคงอยู่ในที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป ก็จะเกิดความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงตามมา” ศ.เจมส์ กล่าวอธิบาย

เคยมีผู้เสนอแนวคิดที่มองว่า วิถีชีวิตของคนยุคใหม่เป็นตัวการที่เร่งให้เกิดการอักเสบมากขึ้น เนื่องจากความไม่สอดคล้องต้องกันระหว่างการดำรงชีวิตแบบสมัยใหม่ กับทิศทางของวิวัฒนาการมนุษย์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตัวกำหนดลักษณะทางกายภาพของคนเราในปัจจุบัน

“อันที่จริงแล้ว ร่างกายมนุษย์ถูกออกแบบมา เพื่อให้เราอยู่รอดได้ในโลกที่ขาดแคลนอาหาร” ศ.เจมส์กล่าว “มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคนยุคใหม่ ซึ่งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีไขมันสูง และอาหารแปรรูปที่สารต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนประกอบตามธรรมชาติ ถูกสกัดแยกออกไป”

ศ.เจมส์ยังบอกว่า ความอ้วนสามารถทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้ ด้วยวิธีการต่าง ๆ หลากหลายรูปแบบ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือวิธีก่อการอักเสบภายในที่จะนำไปสู่โรคเบาหวาน, โรคสมองเสื่อม, โรคหัวใจและหลอดเลืoด, รวมทั้งโรคร้ายแรงอื่น ๆ อีกมาก

จะลดการอักเสบได้อย่างไร

ที่มาของภาพ : Getty Shots

การรับประทานอาหารที่สมดุล อุดมไปด้วยผลไม้และผัก เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการมีอายุยืนยาวอย่างมีสุขภาพดี

สำหรับคำแนะนำในประเด็นนี้ของนพ.โทปอล ส่วนใหญ่ก็คล้ายกับแนวทางการดูแลรักษาสุขภาพทั่วไป ที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันมาบ่อย ๆ นั่นก็คือให้เน้นรับประทานอาหารจากพืช (plant-primarily based mostly) เป็นหลัก หรือเลือกกินอาหารที่มีลักษณะคล้ายกับอาหารเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean weight-reduction way) ซึ่งมีผักผลไม้เป็นส่วนประกอบสำคัญในปริมาณมาก

นอกจากนี้ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและมีคุณภาพการนอนที่ดี ก็ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก “ในแต่ละคืนเราจะมีของเสียสะสมอยู่ในสมอง ส่วนใหญ่เป็นสารเมตาบอไลต์ (metabolites) ที่เป็นพิษ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้” นพ.โทปอลกล่าว “ปกติร่างกายของเรามีกลไกขจัดของเสียในสมองเหล่านี้ โดยขับออกผ่านช่องทางชำระล้าง (glymphatic channel) ซึ่งเพิ่งมีการค้นพบเมื่อไม่นานมานี้”

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ glymphatic channel ในปี 2012 โดยพบว่ามันเป็นระบบขับของเสีย ที่ช่วยชำระล้างทำความสะอาดให้สมอง โดยจะขนส่งของเสียที่เป็นพิษออกไปทิ้งทางเครือข่ายอุโมงค์เล็ก ๆ ซึ่งต่อมามีการศึกษาจนพบว่า ระบบดังกล่าวจะทำงานมากขึ้นเมื่อคนเรานอนหลับสนิท

“หากเรานอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ของเสียเหล่านี้ก็จะสะสมตัวเพราะไม่ถูกขจัดออกไป จนในที่สุดก็ก่อการอักเสบภายในสมองได้ ดังนั้นเราควรนอนหลับให้สนิทและหลับลึกอย่างยาวนานเพียงพอ เพื่อป้องกันโรคสมองและระบบประสาทเสื่อม” นพ.โทปอลกล่าว

การออกกำลังกายก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่นพ.โทปอลแนะนำ “หากการออกกำลังกายเป็นยา มันก็คือยาวิเศษที่เป็นการค้นพบครั้งใหญ่ของมนุษยชาติเลยทีเดียว”

ที่มาของภาพ : Getty Shots

การออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องหนักเกินไป สิ่งสำคัญคือต้องเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ ดร.โทปอล กล่าว

นพ.โทปอลบอกว่า การเดินเร็วหรือปั่นจักรยาน นับเป็นตัวอย่างหนึ่งของการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ดีเยี่ยม แต่คนทั่วไปก็ควรจะหาโอกาสออกกำลังกายอีกแบบด้วย นั่นก็คือการฝึกความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อและการทรงตัว “ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายให้หนักมาก ๆ การขยับเคลื่อนไหวร่างกายในรูปแบบใดก็ตาม ที่เราสามารถทำได้เป็นประจำในระยะยาว ล้วนช่วยรักษาสุขภาพได้ทั้งสิ้น”

การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและหลีกเลี่ยงการแยกตัวอยู่โดดเดี่ยว สามารถจะช่วยให้ความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมลดลงได้ แต่เหล่านักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถลงความเห็นได้ว่า พฤติกรรมชอบเข้าสังคมช่วยลดการเกิดโรคสมองเสื่อมได้มากน้อยเพียงใดกันแน่

ส่วนงานวิจัยในโครงการ Lancet Commission ที่ตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อปี 2020 ประมาณการว่าหากสามารถขจัดความโดดเดี่ยวอ้างว้างทางสังคมลงได้ อัตราการพบโรคสมองเสื่อมในหมู่ประชากรโลกจะลดลงราว 4%

งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยซิดนีย์ในออสเตรเลีย ได้วิเคราะห์งานวิจัย 13 ชิ้น ที่ล้วนทำการศึกษากับกลุ่มตัวอย่างในหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงออสเตรเลีย, ภูมิภาคอเมริกาเหนือ, อเมริกาใต้, หลายชาติในยุโรป, เอเชีย, และแอฟริกา เพื่อศึกษาดูว่าการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมแบบใด ส่งผลดีต่อสุขภาพสมองมากที่สุด

“เราพบว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับญาติมิตรอย่างสม่ำเสมอและบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน รวมทั้งการมีใครสักคนให้พูดคุยด้วย ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม เรายังพบว่าการอยู่ร่วมกับผู้อื่น และการร่วมทำกิจกรรมกับชุมชน ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตลงได้ด้วย” ดร.สุราช สัมทานี หนึ่งในสมาชิกทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยซิดนีย์กล่าว

ที่มาของภาพ : Getty Shots

การรักษาปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมีผลดีเมื่อเราอายุมากขึ้น

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการติดต่อมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ช่วยให้เกิดการปรับตัวยืดหยุ่นและการฟื้นฟูภายในสมอง ซึ่งต้านทานโรคอัลไซเมอร์ได้ เนื่องจากกระบวนการนี้ช่วยเสริมสร้าง “คลังปัญญา” (cognitive reserve) ข้อมูลของสมาคมอัลไซเมอร์แห่งสหราชอาณาจักร (Alzheimer's Society UK) ยังชี้ว่าการเข้าสังคมกระตุ้นและส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ อย่างเช่นการออกกำลังกาย ทั้งยังช่วยลดความเครียดและการอักเสบได้อีกด้วย

นพ.โทปอลบอกว่า คุณยายแอลอาร์คือตัวอย่างอันสมบูรณ์แบบของคนชราที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ “เธอมีบุคลิกร่าเริงสดใส ซึ่งทำให้มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับคนมากมาย เธอยังมีงานอดิเรกหลายอย่าง เช่นเป็นจิตรกรวาดภาพสีน้ำมัน แถมยังเคยคว้ารางวัลในการประกวดด้วย นี่คือสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราทั้งหลายควรจะมุ่งมั่น และพยายามบรรลุถึงการแก่ชราอย่างมีสุขภาพดีให้ได้”

ตัวเปลี่ยนเกม

ที่มาของภาพ : Sandy Huffaker for The Washington Put up by means of Getty Shots

นพ.โทปอลเชื่อว่าเราอยู่ในช่วงเวลาสำคัญในการป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุ

นพ.โทปอลยังหวังว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ จะเข้ามาช่วยนักวิจัยทางการแพทย์ประมวลผลข้อมูลปริมาณมหาศาล เพื่อที่จะสามารถทำนายโรคล่วงหน้า และหาทางป้องกันโรคที่มากับความเสื่อมตามวัยได้ดีขึ้น หรือแม้กระทั่งทำนายอายุที่คนผู้นั้นมีแนวโน้มจะล้มป่วยได้ด้วย เพื่อเปิดโอกาสให้แพทย์เข้าแทรกแซงล่วงหน้า และให้คนผู้นั้นปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเสียแต่เนิ่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงโรคดังกล่าว

นพ.โทปอลมองว่า เทคโนโลยีเอไอนั้นเป็นเสมือน “ตัวเปลี่ยนเกม” ของการดูแลรักษาสุขภาพในวัยชรา “ตอนนี้วงการแพทย์กำลังพูดถึงการป้องกันโรค ชนิดที่ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นเลยตั้งแต่แรก มากกว่าจะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ เหมือนการป้องกันไม่ให้คนที่เคยหัวใจวายแล้ว เกิดหัวใจวายซ้ำสอง”

อย่างไรก็ตาม ศ.เจมส์ได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับนพ.โทปอล เพราะมองว่าสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การทำนายโรคล่วงหน้า แต่เป็นการจูงใจให้ผู้คนยอมเปลี่ยนวิถีชีวิต และมีวินัยในการดูแลสุขภาพระยะยาวมากกว่า “ถึงจะให้ข้อมูลกันขนาดนี้ ก็ยังมีคนมากมายที่กินอาหารขยะและมีพฤติกรรมการกินไม่เหมาะสม ปัจจุบันคนส่วนมากยังคงกินของไม่ดี ไม่ไปวิ่ง ไม่ไปออกกำลังกาย เพราะพวกเขาไม่มีเวลาที่จะทำเช่นนั้น”

“ผมคิดว่าเรายังไม่เจออาวุธวิเศษ ที่จะมาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ในเร็ววันนี้” ศ.เจมส์กล่าวทิ้งท้าย