
หลังจากเกิดการปะทะกันของกองทัพไทยกับกัมพูชาตามแนวชายแดนเมื่อวันที่ 24-28 ก.ค.2568 และมีปะทะแถมท้ายอีก 2 วันหลังรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายไปเจรจาหยุดยิvที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียในวันที่ 28 ก.ค. จากการปะทะตลอด 5 วันทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในฝั่งไทยเป็นพลเรือนรวม 17 ราย บาดเจ็บอีก 38 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ทหารอีก 15 นาย
แต่จากการปะทะ 5 วันและการทุ่มโถมกำลังวันสุดท้าย ทำให้วันรุ่งขึ้นทางกองทัพไทยได้ประกาศว่าสามารถคุมพื้นที่ตามแนวชายแดนได้ 11 จุด ซึ่งแต่ละจุดก็ยังคงถือได้ว่ายังมีข้อพิพาทอยู่เพราะยังปักปันเขตแดนกันไม่เรียบร้อย จะมีก็แต่จุดที่ชวนสงสัยว่าเหตุใดไทยไปยึดมาทั้งที่เคยมีคำสั่งศาลโลกแล้วว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชาอย่างเขาพระวิหาร
ประชาไทกลับมาตั้งต้นจากคำถามที่ไม่ค่อยมีใครถาม กับอดีตนักข่าวที่ติดตามประเด็นชายแดนมายาวนาน ‘สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี’ ว่าด้วยการยึดครองพื้นที่พิพาท 11 จุดของกองทัพไทย สร้างความได้เปรียบทางการทหาร แต่สำหรับการเจรจาทางการเมืองที่จะหาทางออกอย่างสันติ ดูเหมือนจะยิ่งทำให้คุยกันยากขึ้นไปอีกเพราะอะไร
‘ยึดก่อนค่อยคุย’ เป็นไปได้เพียงใด แผนที่ 1: 50,000 หรือ 1:200,000 ต่างกันอย่างไร มีนัยสำคัญเพียงไหนในการปักปันเขตแดน กระบวนการที่จะร่วมกันปักปันเขตแดนระหว่างสองประเทศเหลือหวังริบหรี่แค่ไหน
ข้อตกลงหยุดยิvเปราะบางขนาดไหน การให้ ‘คนกลาง’ มาสังเกตการณ์อย่างที่เป็นอยู่ เป็นการช่วงชิงทางการทูต แต่ยังไม่ใช่ ‘กระบวนการอย่างเป็นทางการ’ เพราะเหตุใด
‘ใครยิvก่อน’ ที่ทุกภาคส่วนในสังคมไทยให้ความสำคัญทำไมจึงไม่สำคัญในสายตานานาชาติ และอะไรที่เป็นเรื่องสำคัญ ยุทธศาสตร์ใหญ่ในเวทีโลกของกัมพูชาชัด แต่ของไทยไม่ชัดและทำไมดูขัดกันเอง รัฐบาลพลเรือนไร้ประสิทธิภาพหรือถูกทำให้ดูไร้ประสิทธิภาพ กระแส ‘รักชาติ’ ทำไมกลายเป็นดาบสองคมต่อการแก้ปัญหาอย่างสันติ ฯลฯ
ในสถานการณ์เผชิญหน้า แม้คำถามและมุมมองที่แตกต่างอาจดูน่าขัดใจ แต่หากต้องการแสวงหาทางออกจากจุดเปราะบางที่ติดขัดคับข้องไปทุกด้าน หลีกเลี่ยงการสูญเสียชีวิตของประชาชนและทหารชั้นผู้น้อยจากปัญหาการลากเส้นเขตแดน ก็นับว่าน่าพิจารณาถกเถียง
การหยุดยิvในบริบทที่ไทยครอบครองพื้นที่ไว้ 11 จุดตอนนี้ จะทำให้สถานการณ์หลังจากนี้เป็นอย่างไร? จะหยุดยิvได้นานแค่ไหน เหมือนวันนี้ก็ยังมีข่าวว่ามีการเติมกำลังกันอยู่?
ทางทหารเขาเชื่อว่าพื้นที่ทั้ง 11 จุดที่เขายึดไว้มีประโยชน์ทางการทหารทางยุทธวิธี เช่น ภูมะเขือมันอยู่ในพื้นที่สูงกว่า ภาษาทหารเรียกสูงข่ม อาจจะเอาไว้สำหรับการติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชา
แต่สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการเจรจาเรื่องเขตแดน อันนี้ไม่ค่อยจะเป็นผลดีสักเท่าไร เนื่องจากพื้นที่ 11 จุดที่ยึดเอาไว้มีปัญหามาก เช่นพระวิหาร ตามคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกปี พ.ศ. 2505 และการตีความอีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ. 2556 บอกว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนเขตที่เป็นอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา แล้วในคำตัดสินของปี 2556 ก็ตีความว่าเขตอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาคือภูเขานั้นทั้งลูก ศาลให้คำนิยามว่ามันไปสิ้นสุดที่ไหนบ้างทั้งด้านทิศใต้ ด้านทิศเหนือ มีคำบรรยายเอาไว้หมด เลยแปลกใจว่าที่ทหารไทยบอกว่ายึดเอาไว้คือตรงไหน เนื่องจากว่าพื้นที่นอกเหนือจากนี้แล้วยังมีชื่ออื่นๆ เช่น ภูมะเขือ ผามออีแดงและอื่นๆ
ภาพตำแหน่งทั้ง 11 ที่ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา(ศบ.ทก.) ชี้แจงว่าทางกองทัพไทยสามารถเข้าควบคุมพื้นที่ได้ก่อนถึงเส้นเสียชีวิตหยุดยิvเมื่อเวลา 24.00 น. ของวันที่ 28 ก.ค.2568 ภาพจาก ถ่ายทอดสดของ ศบ.ทก.
ฉะนั้น การพูดเช่นนี้จึงมีปัญหา ถ้าผมเป็นฝ่ายกัมพูชา ผมคงเข้าใจว่าไทยละเมิดแม้กระทั่งคำสั่งศาลโลกที่เขาบอกว่าให้ถอนทหารออกมาจากปราสาทพระวิหาร การกลับไปยึดใหม่คือการการลุกล้ำอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา ผมไม่แน่ใจว่ามีผู้สื่อข่าวคนไหนไปถามประเด็นนี้หรือไม่ แต่อันนี้เป็นข้อสังเกตจากจากประสบการณ์ เพราะประสาทพระวิหารเดิม พื้นที่จำนวนหนึ่งในกัมพูชา พระตะบอง เสียมเรียบ ศรีโสภณ ที่จอมพล ป. ยึดเอาไว้ตอนช่วงสงคราม พอแพ้สงครามก็ต้องทำความตกลงกับฝรั่งเศสใหม่คืนดินแดนให้ ในคำพิพากษาของศาลโลก ดินแดนที่ต้องคืนมันคือพระวิหารด้วย จะมาเถียงว่ามันเป็นของไทยอะไร เขาตัดสินไปแล้ว นี่เป็นประเด็นหนึ่งซึ่งเป็นจุดอ่อนสำหรับฝ่ายไทยที่อาจจะทำให้เป็นประเด็นข้อพิพาทในอนาคตได้
อีกจุดที่น่ากังวลคือ ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย เอกสารหลักฐานต่างๆ ไม่ค่อยเป็นคุณกับฝ่ายไทย เมื่อคุณเข้าไปยึดครองพื้นที่พิพาทโดยแสดงการครอบครองทางกายภาพ ทั้งที่ไทยก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่แน่นักว่าที่จริงจะเป็นของไทย การอ้างโดยใช้ภาษาทหารว่า ‘เพื่อที่จะเคลียร์แนวเส้นปฏิบัติการของไทยให้ได้’ อันนี้อาจมีประโยชน์ทางทหารก็ได้ ผมก็ไม่ใช่ทหาร แต่ถ้าพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการปักปันเขตแดน อันนี้ไม่เป็นผลดี เนื่องจากว่าเส้นปฏิบัติการนั้นฝ่ายกัมพูชาก็มี ไทยก็มี และเส้นปฏิบัติการก็อาจจะทับกันได้ แล้วเส้นปฏิบัติการความจริงก็เลื่อนได้เป็นธรรมดา หลายครั้งเราพบว่ามีการเลื่อนเส้นปฏิบัติการกันไปมา เช่น เพื่อลดการเผชิญหน้า หรือเพื่อความสะดวกในการปฏิบัติการรักษาความมั่นคงในพื้นที่ มันสามารถยืดหยุ่นได้เพื่อประโยชน์ของการปักปันเขตแดน อันนี้ก็เคยทำกัน
พื้นที่พิพาทบริเวณที่เป็นปราสาทตาเมือน ตามเอกสารของพื้นที่นี้มีปัญหาที่ต่างจากบริเวณพระวิหารและภูมะเขือที่อาศัยสันปันน้ำซึ่งยังเถียงกันได้เยอะ แต่ตรงปราสาทตาเมือนเคยมีหลักเขตและเส้นเขตแดนที่กำหนดเอาไว้แล้วโดยคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยาม-ฝรั่งเศสเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เมื่อมีบันทึกที่ค่อนข้างชัดเจนมีทั้งภาษาไทย ภาษาฝรั่งเศสที่ไทยก็เก็บเอกสารนี้ไว้อยู่แล้ว ย่อมรู้ว่าตำแหน่งที่แท้จริงตำแหน่งดั้งเดิมของหลักเขตอยู่ตรงไหน เส้นเขตแดนห่างจากตัวปราสาทเท่าไหร่ อยู่ทางทิศไหน อันนี้มีเขียนเอาไว้ชัดเจนแล้ว
เพราะฉะนั้นจริงๆ ไม่มีอะไรน่าสงสัย ไม่ต้องเถียงกันเรื่องแผนที่ด้วยซ้ำไป เนื่องจากว่าตรงนั้นมีการดำเนินการปักปันแล้ว แผนที่เขียนไว้แล้ว ต่อให้ในเวลาต่อมาสันปันน้ำจะมีการเปลี่ยนแปลงหรืออะไรก็ตาม แต่ตัวปราสาทยังตั้งอยู่ที่เดิม ก็วัดจากตัวปราสาทไปหาเส้นเขตแดนตามบันทึกด้วยวาจาที่เขาทำกันเอาไว้ก็สามารถรู้ได้แล้ว
ผมคิดว่าเมื่อไทยเข้าไปยึดปราสาทหินอันนั้นอาจไม่เป็นคุณในการเจรจา เพราะว่ากัมพูชาสามารถพูดได้ว่ารู้อยู่แก่ใจแต่ไทยก็ยังปฏิบัติเช่นนี้อยู่ ตัวข้อตกลงเดิมก่อนหน้าที่จะพิพาทกัน คือให้คงทหารเอาไว้แค่ฝ่ายละ 5 คน แปลว่ากัมพูชาก็พูดได้ใช่ไหมว่าไทยละเมิดข้อตกลงเดิมที่มีอยู่มาตั้งแต่ก่อนหน้านั้น ต้องไปเถียงกันเยอะ อย่างไรก็ตามการสร้างบรรยากาศแบบนี้ทำให้การปักปันเขตแดนหรือการเจรจาเป็นไปด้วยความยากลำบาก
เมื่อการเจรจา 2 ฝ่ายเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากฝ่ายไทยครอบครองพื้นที่เอาไว้และไม่ยอมรับเอกสารใดๆ ที่มีอยู่ โดยตรรกะต้องไปหาคนกลางมาตัดสิน คนกลางก็มีได้หลายแบบ ที่กัมพูชาอยากได้คือศาลโลก ไทยบอกว่าไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก แต่ยังไม่ได้เสนอว่าจะให้มีคนกลางที่ไหนมาตัดสินเรื่องเขตแดน สิ่งนี้ทำให้เกิดความยากลำบาก และจะเป็นเชื้อปะทุให้เกิดสถานการณ์ได้อีกในอนาคต ต่อให้ช่วงนี้กัมพูชายอมแพ้กำลังทหารสู้ไม่ได้ ถอยออกไปแล้วพยายามคุย JBC กัน แต่ไทยก็ยังครองพื้นที่อันนี้อยู่ ผมนึกไม่ออกว่ามันจะคุยกันในสภาพนี้อย่างไร
ถ้าจะมีการปะทะขึ้นมาอีกจะเป็นเร็วๆ นี้หรือไม่ หรืออย่างน้อยต้องให้กระบวนการหยุดยิvที่มีมาเลเซียเข้ามาเป็นคนกลางจบไปก่อน?
ตอนนี้เป็นภาระของอาเซียน สหรัฐฯ และจีนที่จะต้องพิสูจน์ว่าสัญญาหยุดยิvมันดำเนินไปได้มีผล เนื่องจากตอนนี้กลายเป็นปัญหานานาชาติไปแล้ว การปะทะกันในคราวนี้ทุกประเทศเขาก็มีส่วนที่จะต้องดูแลผลประโยชน์ของตัวเอง
สหรัฐฯ เสนอสิ่งที่เป็นรูปธรรมมากเลยคือ เอาเรื่องการเจรจาไปผูกกับเรื่องภาษี เพราะฉะนั้นถ้าการเจรจาล้มเหลวไทยก็มีความเสี่ยงทำให้การเจรจาภาษีไม่เป็นผล ทางกัมพูชาเองก็มีความเสี่ยงเช่นกันว่าการเจรจาภาษีอาจจะไม่เป็นผล เมื่อเป็นเช่นนั้นทุกฝ่ายคงพยายามไม่ให้การเจรจาล้มเหลว แต่ถ้าไม่อยากให้ล้มเหลวฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้ง 2 ฝ่ายต้องแสดงให้เห็นว่ากระบวนการมันจะเดินต่อไปได้
กระบวนการที่จะทำต่อจากนี้ในเวลาอีก 2-3 วันก็คือ รับผู้สังเกตการณ์จากอาเซียน เข้าใจว่าสหรัฐฯ ก็อาจจะอยากมีส่วนร่วมด้วย เพราะฉะนั้นที่บอกว่าจะพยายามทำแบบ ‘ทวิภาคี’ (สองฝ่าย) คงเป็นไปไม่ได้แล้ว เมื่อมีฝ่ายที่ 3 ที่ 4 เข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าสหรัฐฯ อยากเข้ามาดู จีนก็คงต้องอยากเข้ามาดูด้วย เพราะทั้ง 2 ประเทศนี้ต่างมีผลประโยชน์ อาเซียนก็คงจะต้องคนเข้ามาในฐานะที่ไทยและกัมพูชาเป็นสมาชิกอาเซียน ก็จะทำให้เป็นข้อพิสูจน์ว่าตกลงแล้วใครกันแน่ที่ทำให้สัญญาหยุดยิvไม่เป็นผลหรือล้มเหลว
ทีนี้ถ้าสัญญาหยุดยิvล้มเหลวก็จะเป็นประเด็นอีกว่า การล้มเหลวในระดับนี้คือการประชุมในระดับภูมิภาคแล้ว เรื่องได้ขยับไปจากระดับทวิภาคีแล้ว เพราะการประชุม JBC เมื่อเดือนกลางเดือนมิถุนายนไม่เป็นผลแม้ว่าจะนัดกันอีกเดือนกันยายนก็ดูเป็นการนัดที่ไม่มีเป้าหมาย เนื่องจากว่าพื้นที่พิพาทอาจจะไม่ถูกรวมในการพูดคุย แบบนี้ถือว่ากระบวนการมีปัญหาแล้ว เรื่องนี้จะยกระดับไประดับโลกคือไป UN (สหประชาชาติ) แต่ UN ไม่มีทางออกใดหรือท่าทีใดๆ ให้แค่รับฟัง กัมพูชาก็ย่อมรู้สึกว่ายังไม่ได้อย่างที่ต้องการ เขาก็จะต้องผลักดันต่อไปศาลโลกให้ได้ ไทยก็รู้สึกว่าเราต้องป้องกันกัมพูชากันเต็มที่ ต่างฝ่ายต่างขัดขวางซึ่งกันและกันไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งบรรลุเป้าหมาย
ผมเห็นว่าเป็นบรรยากาศของการเผชิญหน้ากันอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงเราจะลดการเผชิญหน้าทางทหารแต่การเผชิญหน้าทางการทูตจะยังคงมีอยู่ต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง
ขอย้อนกลับไปเรื่องความพยายามของฝ่ายไทยที่จะยึด 11 จุด ถ้ามองจากทางกัมพูชาเหตุผลที่เขาจะต้องดันกลับคืออะไร?
ผมว่าทหารคิดเหมือนกัน พูดจากมุมมองทหาร มันเหมือนอยากได้พื้นที่เอาไว้เป็นของตัวเองก่อนแล้วค่อยเจรจาทีหลัง เลยทำให้ช่วงชั่วโมงท้ายๆ ก่อนเดดไลน์ของสัญญาหยุดยิvต้องแย่งกันใหญ่เลย ทางทหารมองตาก็รู้ใจแล้วว่าทุกคนจะทำเหมือนกัน
แต่ในความเห็นผมในฐานะพลเรือนหรือหลายคนที่คิดว่าต้องการสันติมากกว่า มันไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้น เขตแดนมันไม่เคยได้มาด้วยการยึดครอง ประวัติศาสตร์บอกเราไว้ชัดเจนแล้ว ไม่อย่างนั้นเราก็ได้เขาพระวิหารไปแล้ว เรามีกำลังเหนือกว่ากัมพูชาตั้งเยอะแยะ แต่ที่สุดเราก็ไม่ได้ใช่ไหม แล้วเราก็ต้องถอยออกมาทำให้อับอายขายขี้หน้าไปทั่วโลกว่าประเทศใหญ่รังแกประเทศเล็ก ตราตึงอยู่ในประวัติศาสตร์โลก เรื่องก็คล้ายๆ กันแล้วก็มาเกิดกรณีแบบนี้อีก
ทีนี้ยุทธศาสตร์ของกัมพูชาก็ต้องการที่จะให้มีบุคคลอิสระ มีศาลมาตัดสิน ซึ่งเป็นกลไกระหว่างประเทศ เน้นว่ากลไกเหล่านี้เป็น กลไกสันติวิธี แต่ไทยที่บอกว่าไม่เอาสงคราม ไม่เอาความขัดแย้งทางทหาร และต้องการแก้ปัญหาโดยสันติวิธีกลับไม่ยอมรับกลไกใดๆ มันเป็นตรรกะและท่าทีที่ขัดแย้งกันในตัวเองอยู่เสมอ
แต่ไทยก็บอกว่ามีกลไกทวิภาคีอยู่แล้ว
มันไม่เวิร์ค ถ้ามันใช้ได้เรื่องก็จบไปแล้ว ตอนนี้เรื่องก็ขยับไป UN ไปอาเซียนแล้ว จะยังเหลือที่ไหนอีก สังเกตว่าเวลากัมพูชาวางยุทธศาสตร์ เขาบอกว่าทุกที่ที่คิดว่าแก้ปัญหาได้เราจะไปกัน อันนี้คือเป็นแนวทางของกัมพูชา ไป UN แล้วแต่ UN ไม่ได้ว่าอะไร กลับมาที่อาเซียน อาเซียนบอกให้ทำอันนี้ ถ้าสมมติว่าล่มอีกภายใน 1-2 วันนี้ แล้ววันที่ 4 ส.ค.การประชุม GBC ไม่มีผลอะไรออกมาอีก กัมพูชาจะยืนยันได้ทุกเวทีทั้งในภูมิภาคในระดับทวิภาคี พหุภาคีว่ากลไกต่างๆ ใช้ไม่ได้ ก็เหลือที่เดียว (ศาลโลก) ตอนนี้ไทยจะเถียงลำบาก
เป็นไปได้หรือไม่ว่าความพยายามจะยึดครองทั้ง 11 จุดเป็นเหตุผลทางการเมืองด้วย เช่น เมื่อเปิดฉากยิvกันไปแล้ว ถ้าต่างฝ่ายต่างยอมอาจมีปัญหาทางการเมืองภายในประเทศตัวเองด้วยเหมือนกัน?
คงจะมี และสำหรับประเทศไทยคงมีมากกว่า เนื่องจากการเมืองของไทยเปราะบางและไม่มั่นคง รัฐบาลไม่กล้าขัดใจทหารจริง รัฐบาลไม่กล้าสั่งให้ทหารยุติการดำเนินการแย่งพื้นที่ต่างๆ ในขณะที่กัมพูชาเขายังไม่ได้อะไร ถ้าเราดูจากข่าวของเขา แถมมีความสูญเสียมากด้วย รัฐบาลกัมพูชาก็อาจจะบอกว่าพอเถอะ แล้วเราก็เชิญให้ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศมาดู เล่นประเด็นใหม่
สังเกตว่ากัมพูชาส่งจดหมายเชิญอย่างเป็นทางการถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมไทยให้ประชุมกันที่ GBC คือเราต้องสังเกตว่าบางทีมันก็ไม่ได้ชนะกันในทางกายภาพอย่างเดียว เกมที่กัมพูชาเล่นเปิดในหลายมิติที่ลงมือก่อนตลอดเวลา การเชิญผู้สังเกตการณ์เขาก็ลงมือก่อน เชิญประชุมเขาเป็นเจ้าภาพ เขาก็เป็นฝ่ายออกปากเชิญ เราต่างหากที่กลับเป็นดูก่อนว่าจะไปดีไหมหรือว่ามีเงื่อนไขอะไร ประเทศไทยไม่ควรแสดงตัวอย่างนั้น ในขณะที่กัมพูชาแสดงอยู่ตลอดเวลาว่าเขาเป็นฝ่ายริเริ่มที่จะแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี UN ศาลโลก อาเซียน ทุกที่มันล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องมือทางการทูตและการระหว่างประเทศ เขารู้อยู่แล้วว่ากำลังทหารของเขาสู้ไทยไม่ได้หรอก
ไทยก็รู้อยู่แก่ใจ แต่ตอนนี้อารมณ์ของคนไทยคือ ‘อยากสั่งสอน’ คำนี้อันตรายมาก ถ้าเป็นระดับเจ้าหน้าที่หรือคนในรัฐบาลพูดมันก็จะมีประเด็นให้กัมพูชาอ้างว่าจริงๆ แล้วไทยมีเจตนาในการปะทะ แต่เราพูดตลอดเวลาว่าเราป้องกันตัวเอง กัมพูชาเป็นฝ่ายรุกราน กัมพูชายิvก่อนในที่ของพลเรือน โรงพยาบาล แต่เวลาที่เรามีการโต้ตอบกลับไป โรงพยาบาลของเราก็ประกาศว่าไม่รับคนไข้จากกัมพูชา
มันไม่เห็นต่างกันเลย เราบอกว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายรุกราน แต่ผลที่สุดแล้วเราครอบครองพื้นที่ได้ทั้งหมด 11 จุด
ตกลงใครรุกรานใคร เวลาคนทั่วไปเขาดูก็ดูผลของมัน เขาก็ไม่ได้ถามคุณหรอกว่าใครยิvก่อนใครยิvหลัง แต่ดูว่าตอนจบมันเกิดอะไรขึ้น ผลของมันเป็นแบบไหน แล้วผลของมันก็คือไทยสามารถครอบครองพื้นที่ที่พิพาทไว้ตลอดแนวเลย แล้วพอจะเจรจากันก็ต้องเจรจาพื้นที่ที่ไทยยึดครองอยู่ สมมติว่าเรื่องนี้ไปถึงศาลโลกมันก็เหมือนกรณีปราสาทพระวิหารที่สุดท้ายมีคำสั่งให้ไทยถอนทหาร
คำอธิบายของกองทัพที่บอกว่าจำเป็นต้องยึดเพื่อที่จะยุติการยิvมาฝั่งไทยสมเหตุสมผลแค่ไหน
มันเมคเซนส์สำหรับทหาร แต่ไม่เมคเซนส์สำหรับการระหว่างประเทศ ทหารเขาอธิบายจากปัญหาของเขา แต่ปัญหาของประเทศไทยในเวลานั้นคือปล่อยให้กรอบคำอธิบายทางสงครามหรือทางยุทธวิธีครอบงำการสื่อสารมากเกินไป ในขณะที่กัมพูชากรอบคำอธิบายของเขาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการทูต
เพราะฉะนั้นเราจะสังเกตเวลาอ่านเรื่องเล่าของทางกัมพูชาคือ เป็นประเทศเล็กซึ่งถูกประเทศไทยรุกรานและเขาพยายามจะหาทางออกโดยสันติ ใช้กลไกระหว่างประเทศ อ้างอิงกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เรื่องเล่าของเราคือยึดไว้ก่อน เราได้เปรียบ เรามีกำลังรบที่เหนือกว่าเดี๋ยวส่ง F-16 ไปทิ้งsะเบิด นี่คือเรื่องเล่าของไทยคนจำนวนมากหลงไปกับเรื่องเล่าแบบนี้
แม้กระทั่งคนที่น่าจะมีคุณธรรมสูงอย่างแพทย์ก็ยังใช้เรื่องเล่าแบบนี้ คืออยากจะเอาชนะกัมพูชา ลงโทษคนกัมพูชาซึ่งเขาเป็นคนป่วย คำพูดแบบนี้คนก็มองออกแล้วว่าเจตนาของไทยคืออะไร เขาไม่ได้ตีความจากสิ่งที่คุณพูดแต่เขาตีความจากสิ่งที่คุณทำ เวลาพูดต่างฝ่ายก็บอกว่าอีกฝ่ายรุกราน
สุดท้ายแล้วพื้นที่ทั้ง 11 จุด ไทยจะต้องจัดการอย่างไรเพื่อเปลี่ยนสถานการณ์?
ถ้าการประชุมที่ GBC ตกลงกันได้ บรรยากาศการคุยดี ก็คือกำหนดแนวปฏิบัติใหม่ในพื้นที่ทั้ง 11 จุดเหมือนอย่างที่เคยทำ เช่น ให้ถอยออกไปกันคนละกี่เมตร ทิ้งทหารไว้ฝั่งละกี่คน จะมีการสื่อสารกันเพื่อป้องกันเหตุเผชิญหน้าหรือการปะทะกันโดยบังเอิญอย่างไร ประชาชนที่ขึ้นไปบนปราสาทเที่ยวชมจะปฏิบัติอย่างไร จะยั่วยุกันหรือไม่ จะอนุญาตหรือจะควบคุม จะต้องมีรายละเอียดออกมาว่าจัดการได้
แต่ในเมื่อตอนนี้ทหารไทยอยู่เต็มพื้นที่พิพาทไปหมดแล้ว ถ้าเกิดการปะทะรอบใหม่จะกลายเป็นการปะทะในเขตที่กัมพูชาบอกว่าเป็นดินแดนของเขา ก็เป็นปัญหาที่จะเถียงกันไม่จบว่าพื้นที่ตรงไหนเป็นของใครอยู่ดี
บางที่ในสากลโลกเขาอาจจะบอกว่าที่สุดแล้วพื้นที่พิพาทขอให้เป็น No Man’s land (พื้นที่ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ) ซึ่งจะต้องให้มีฝ่ายอื่นเข้ามาบังคับให้เป็น No Man’s land จริงๆ จะว่าไปก็มีแนวทางเยอะแยะที่จะเสนอกัน ปัญหาอยู่ที่ว่าจะยอมกันหรือไม่
ดูท่าทีของไทยมีปัญหาว่ารัฐบาลไม่สามารถที่จะบังคับบัญชากองทัพได้ แล้วก็อารมณ์ของคนไทยตอนนี้ใครพูดอะไรขัดหูหน่อยกลายเป็น ‘พวกไม่รักชาติ’ ‘คนไทยใจเขมร’ ด่าทอกันตลอดเวลา ผมไม่คิดว่าเราอยู่ในอารมณ์ที่จะแก้ไขปัญหากัมพูชาได้ในระยะนี้ อย่างน้อยที่สุดก็คงต้องทอดระยะเวลากันอาจจะเป็นเดือนหรือหลายเดือน
ดูความเห็นคนตอนกองทัพแถลงเรื่องไม่สามารถยึดปราสาทตาควายได้ กลายเป็นขนาดทหารเองก็เริ่มโดนกระแสตีกลับว่าทำไมไม่ยึดมาให้ได้ หรือทำไมไปยอมกัมพูชา บรรยากาศแบบนี้จะยิ่งทำให้ข้อเสนอให้กลับไปตั้งหลักเท่าก่อนหน้านี้กลายเป็นเรื่องยากไปแล้ว?
ตอนนี้ให้กลับไปเหมือนก่อนวันที่ 28 ก.ค.ยังไม่เอากันเลยสำหรับคนไทย ในสถานการณ์ที่รัฐบาลเราอ่อนแอจะพังเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วกองทัพก็บริหารงานความมั่นคงตามโซเชียลมีเดีย ผมกล้าพูดว่าเขาบริหารงานความมั่นคงตามโซเชียลมีเดีย อารมณ์แบบว่าเขาบอกให้ไปตีที่ไหนก็ไป พวกเซเลบพวกอินฟลูเอนเซอร์ระดมของไปมอบให้ โดรนเด็กเล่น ไนท์วิชั่นเด็กเล่นก็เอาไปมอบให้ทหาร เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ แต่มันไม่ใช่ของที่ทหารต้องใช้ แต่ว่าทหารก็ทำเพื่อผลในทางจิตวิทยา
ฉะนั้นกองทัพไทยถอยไม่ได้แล้วตอนนี้ แต่กองทัพกัมพูชาถอยได้เพราะว่าเขาไม่ได้หน้าใหญ่ขนาดนั้น เขาถอยเป็นเพราะกัมพูชาเคยชนะและแพ้ในสงครามมาแล้วมากมาย เรื่องแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตสำหรับเขาขณะที่เรื่องหน้าตาเป็นเรื่องใหญ่โตมากของกองทัพไทย ซึ่งไม่เคยผ่านสงคราม ไม่เคยแพ้สงคราม และไม่เคยชนะสงคราม ฉะนั้นกองทัพไทยคิดว่าตัวเองรบตัวเองต้องชนะอย่างเดียว อาการจมไม่ลงแบบนี้จะทำให้การแก้ไขปัญหาระหว่างกัน เป็นไปด้วยความยากลำบากมากขึ้น
ถ้าไม่สามารถจัดการเรื่องเรื่องการการปรับกำลังทหารได้ หรือทำให้พื้นที่ชายแดนเป็นพื้นที่ปลอดภัย การปักปันเขตแดนย่อมทำไม่ได้
พอพูดถึงเรื่องการปักปันเขตแดน ตอนนี้คำอธิบายของกองทัพยืนยันจนเหมือนว่าต้องยอมรับแผนที่ 1:50,000 เท่านั้น ไม่มีแผนที่ 1:200,000 อีกต่อไป สังคมก็เชื่อแบบนี้ แต่สุดท้ายกระบวนการทวิภาคีที่ไทยพูดเองตั้งแต่วันที่ไปเจรจาหยุดยิvยังอ้างอิงอยู่บนแผนที่ 1: 200,000 ประธาน JBC ฝั่งไทยอธิบายว่ากระบวน JBC เกิดขึ้นมาได้เพราะอ้างอิงอยู่บนแผนที่ 1:200,000 ตาม MOU43 เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้จะปักปันเขตแดนกันยังไง?
ก็ถึงทำไม่ได้อยู่ในตอนนี้ แต่อาจแบ่งในส่วนที่พอจะทำได้ก่อน คือ ส่วนที่มีหลักเขตแล้ว หาเจอไป forty five หลักจาก 74 หลัก ยังเหลืออีก 29 หลัก ฉะนั้นแปลว่า JBC ก็ทำงานกันได้ถ้าหาหลักเหตุเจอมากกว่านี้ ทำให้อย่างน้อยที่สุดพื้นที่จากหลักเขตที่ 1 จนถึงหลักเขตที่ 73 ซึ่งผ่านพื้นที่พิพาทด้วย อย่างปราสาทตาเมือน ปราสาทตาควาย กลุ่มนี้ก็จะจัดการได้โดยอาศัยบันทึกเก่า ไม่ต้องไม่ต้องอาศัยแผนที่ก็ได้
แม้แต่แผนที่ 1:200,000 ก็ไม่ได้บอกแม้กระทั่งระวางดงรัก มีที่เดียวที่แผนที่บอกระบุตำแหน่งของปราสาทหินเอาไว้ก็คือ ประสาทพระวิหาร นอกนั้นไม่มี เขาไปเขียนในบันทึกว่าเส้นเขตแดนอยู่ห่างจากตัววัตถุที่อาจจะผุพังไม่ได้ง่ายนักเท่า เช่น ต้นไม้ แต่ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าอยู่ตรงไหน บางทีก็จะมีปัญหามากเนื่องจากว่าไม่รู้ว่าตำแหน่งสถานที่จริงๆ อยู่ตรงไหน ก็มีความยากลำบากเหมือนกัน เพราะนั้นเขาจะใช้เทคนิคสมัยใหม่ เริ่มต้นจากการทำภาพถ่ายทางอากาศแล้ววางจุดลงบนแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศก่อน เสร็จแล้วก็เดินสำรวจตามแนวที่เชื่อว่าเป็นสันปันน้ำ หรือเชื่อว่าเป็นแนวเส้นเขตแดนโดยประมาณกัน แล้วก็ไปเถียงกันบล็อกต่อบล็อก จุดต่อจุด ถ้าตกลงกันได้ก็กำหนดตรงนั้นเป็นเส้นเขตแดน แล้วก็ทำแผนที่ขึ้นมาใหม่อีกฉบับหนึ่ง คือในข้อกำหนดการดำเนินงานหรือ ToR (phrases of reference) ของ JBC เขียนไว้ให้ทำแบบนี้
ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ฝ่ายไทย(ซ้าย) และนายฬำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบกิจการชายแดนและหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา ประธานร่วมฝ่ายกัมพูชา (ขวา) ลงนามในเอกสารบันทึกการประชุมในการประชุม JBC เมื่อ 15 มิ.ย.2568 ที่มาภาพ กระทรวงการต่างประเทศ
ส่วนที่ยังทำไม่ได้แล้วก็มีปัญหาคือส่วนที่ยังไม่เคยปักปัน คือจากหลักที่ 1 ตรงช่องสะงำจนถึงช่องบก ตรงนั้นสนธิสัญญาเขียนไว้หยาบๆ ว่าให้ใช้สันปันน้ำ ซึ่งก็ไม่ตรงกับแผนที่ 1:200,000 และสันปันน้ำในความเข้าใจของคนยุคปัจจุบันก็ไม่เหมือนกับคนที่ทำการสำรวจและจัดทำแผนที่ในเวลานั้น กลายเป็นว่าคนยุคปัจจุบันก็จะต้องมานั่งเถียงกันและหาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาช่วย ทำอย่างไรถึงจะระบุได้ว่าสันปันน้ำที่ใช้เป็นเส้นเขตแดนคือสันไหนกันแน่
สันฐานภูเขาพนมดงรักมันไม่ได้ตรงแบบวางแนวขวางตลอด มีช่วงบางช่วงวางแนวเหนือใต้หรือเฉียงๆ เอียงๆ เพราะฉะนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าสันปันน้ำมันจะคดเคี้ยวไปมาและไม่ได้อยู่ตรงขอบหน้าผา อันนี้ช่างเทคนิคไทยก็ยอมรับแล้วว่าบางทีมันไม่ได้อยู่ตรงขอบหน้าผา บางที่มันอยู่ลึกเข้ามาที่ในจุดที่เชื่อว่าเป็นที่ของไทย
วาทกรรมประเภท ‘ขอบหน้าผาคือสันปันน้ำ’ ‘ตรงนี้สูงสุด เขมรต่ำ’ มันครอบงำสังคม ดังนั้นเจ้าหน้าที่ผู้ทำงานปักปันเขตแดนต้องไม่ปล่อยให้วาทกรรมพวกนี้เข้ามาครอบงำสังคม แต่ผมคิดว่าเขาก็รู้นะ เจ้ากรมแผนที่ทหารก็อธิบายอย่างมีหลักเกณฑ์ในทางวิทยาการแล้วก็ทางวิทยาศาสตร์
ฉะนั้นทั้ง 2 ฝ่ายก็คงจะต้องใช้นักนักวิทยาการ นักวิทยาศาสตร์และนักแผนที่ทำมันขึ้นมาโดยปราศจากอคติทางการเมืองต่อกัน เพื่อทำให้มันแล้วเสร็จ จะมากจะน้อยจะได้เท่าไหร่ก็อย่าเอาแนวคิดแบบทหารมาใช้ คือถ้าทหารบอกว่าตรงนี้เป็นชัยภูมิที่เราต้องการ แล้วปักปันเขตแดน มันไม่ใช่ที่ของทหาร ร้อยปีพันปีก็ไม่มีทางทำได้ ถ้าหากเอาแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเขตแดนไปปนกับยุทธวิธีทางทหาร
แต่ตอนนี้ด้วยกระแสชาตินิยม คนไทยรู้สึกว่าตรงนี้เป็นพื้นที่บ้านตัวเองแต่มีเพื่อนบ้านล้ำเข้ามา คนไทยควรจะต้องเข้าใจเรื่องแผนที่นี้ยังไงกันแน่?
ขึ้นอยู่กับความกล้าหาญของเจ้าหน้าที่รัฐที่จะอธิบายให้คนไทยรู้ แล้วแผนที่ 1:200,000 ในทางเทคนิคทุกคนก็รู้ว่าผลิตด้วยเทคนิคที่แตกต่างจากแผนที่ 1:50,000 ซึ่งอันหลังเอามาใช้ประโยชน์ทางการทหาร เนื่องจากว่าสหรัฐฯ เป็นคนทำให้ มีอยู่ทั้งหมด 4 ชุด คือ
- L7014 ทำให้เวียดนามใต้ในช่วงทศวรรษ 1970 ช่วงสงครามเวียดนาม
- L7015 ทำให้ลาว
- L7016 ทำให้กัมพูชา
- L7017 ทำให้ไทย
แผนที่ทั้ง 4 ชุดเทคนิคที่ใช้คือโครงแผนที่เป็นรูปทรงกระบอก มันจะมีความแม่นยำในการทำระยะทาง คือเขาใช้ประโยชน์สำหรับเอาไว้เล็งปืนใหญ่และสำหรับการเดินลาดตระเวน ซึ่งต้องรู้ระยะทางแม่นยำ มีประโยชน์ทางทหาร แต่มันบอกสัญฐานของรูปทรงภูเขาและลักษณะภูมิประเทศไม่แม่นเท่ากับแผนที่ 1:200,000 แต่เรื่องขนาดสัดส่วนของแผนที่ไม่ใช่ประเด็นในความเห็นของผม เพราะถ้าสเกลเป็นแบบเดียวกันเมื่อย่อสเกลแล้วขยายสเกลมันจะต้องลงที่เดียวกันเสมอ สมมติว่าคุณมี 1:50,000 แล้วจะทำเป็น 1:10,000 เพื่อให้มันละเอียดขึ้นในพื้นที่นั้นก็ขยายสเกลมันออกเท่ากัน มันก็จะได้พื้นที่ซึ่งถูกต้อง เพราะฉะนั้นคำว่าสัดส่วนแผนที่ไม่ใช่คำที่จะมาบอกว่าแผนที่อันไหนละเอียดกว่าหรืออันไหนหยาบกว่า
แต่แผนที่ที่ทำด้วยเทคนิคคนละอย่างกัน นักแผนที่จะไม่เอามาเปรียบเทียบกัน แล้วก็ไม่สามารถที่จะกำหนดได้ เรื่องแผนที่จริงๆ ทหารน่าจะพูดได้ แผนที่ 1:50,000 ในซีรีส์ L รวมทั้งแผนที่ที่ไทยพัฒนาขึ้นมาใหม่ คือ L7018 เขียนไว้ท้ายระวางทุกระวางบอกว่า ‘เส้นเขตแดนยังไม่ถือเป็นทางการ’
แผนที่นี้ก็มีคนโชว์ กองทัพเองก็โชว์ แต่แม่ทัพกลับไปพูดอีกอย่างหนึ่งบอกว่า ‘เรายึดเส้นปฏิบัติการของเราตามแผนที่นี้’ ซึ่งมันผิด เส้นปฏิบัติการยืดหยุ่นขยับไปขยับมาได้เพื่อความสะดวก แต่เส้นเขตแดนมันกระดิกได้ตามสภาพธรรมชาติ ในเมื่อเส้นนั้นยังไม่ใช่เส้นเขตแดนก็ไม่เห็นจะต้องเอาเป็นเอาเสียชีวิตกับมันก็ได้
คือเรื่องเล่า ‘แผนที่กับความรักชาติ’ มันถูกผูกไว้ด้วยกันแน่นจนเกินไป เนื่องจากการลวงหลอนของคดีปราสาทพระวิหาร ซึ่งลวงกันมาตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์เมื่อ 60 กว่าปีมาแล้วยังไม่จบ ทั้งที่จริงแล้วมันควรจบกันได้แล้ว เราควรจะบอกกับคนไทยได้แล้วว่าแผนที่นั้นมีสถานะทางกฎหมายของมัน แผนที่ 1:50,000 ก็มีฐานะทางประวัติศาสตร์ของมัน แล้วมันใช้ประโยชน์แตกต่างกัน
ถ้าเราจะทำเรื่องเขตแดน เราจะต้องนั่งลงคุยกับกัมพูชาดีๆ แล้วเดินสำรวจด้วยกันทั้งสองฝ่ายเพื่อจัดทำแผนที่ชุดใหม่ ไม่อาจใช้ 1:200,000 เป็นสรณะ ต้องบอกสังคมแบบนี้ แต่ที่เราต้องใช้ 1:200,000 อยู่เนื่องจากมันเป็นแผนที่ทำขึ้นในสมัยอาณานิคมฝรั่งเศสซึ่งต้องเอามาเปรียบเทียบสันปันน้ำ
เมื่อก่อนผมก็เข้าใจผิดนะว่าสันปันน้ำมันจะอยู่แบบนั้นชั่วฟ้าดินสลาย แต่ในความเป็นจริงของโลกก็คือ
ปีไหนฝนเยอะ ปีไหนฝนน้อย มันกัดเซาะจุดที่เคยสูงกลับกลายเป็นที่ต่ำ จุดที่เคยต่ำกลับสูง เพราะฉะนั้นฝรั่งเศสเขียนไว้เป็นร้อยปีแล้ว ตรงนั้นมันก็อาจจะไม่ได้แบ่งได้แบบนั้นอีกแล้ว
เพราะฉะนั้นก็ต้องเปลี่ยนไปตามความเป็นจริง คนไทยก็ต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพบวกกับความเปลี่ยนแปลงของความคิดและจินตนาการของเราเกี่ยวกับ ‘ชาติ’ แต่ถ้าดูจากการศึกษาวิชาการต่างๆ นานา ผมไม่แน่ใจว่าคนไทยจะยอมเปลี่ยนแปลง เพราะจินตนาการนี้ถูกทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนรุ่นหลังมาก็แบบอะไรไม่รู้ เขาบอกว่า 1:50,000 ก็เอากับเขาด้วย ดังนั้นคนมีอำนาจ ทหารก็ดี เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ดี กระทรวงการต่างประเทศก็ดี นักแผนที่ก็ดี ช่วยอธิบายมาหน่อยว่ามันไม่ได้เป็นพระเจ้า แผนที่เปลี่ยนได้ เราทำกันใหม่ได้
พูดแบบติดตลกคือ ถ้าสมมติว่าเกิดแผ่นดินไหวแล้วหน้าผานั้นมันถล่มหายลงไปที่ดินกัมพูชาก็ขยาย
มันเป็นเรื่องจริงนะ ไม่ใช่เรื่องตลก แล้วเขตแดนเราจะอยู่ตรงไหน เรื่องที่เกิดขึ้นจริงก็คือเขตแดนทางน้ำมีปัญหามาก เพราะแม่น้ำเปลี่ยนทางไหล ตรงที่เคยเป็นร่องน้ำลึกมันไม่ลึกอีกต่อไป มันตื้นขึ้นมาหรือเปลี่ยนทางไหลไป อย่างไทยกับลาว ถ้าเราเป็นเอาเสียชีวิตกันผมว่าไม่สามารถแบ่งเส้นเขตแดนไทยลาวไทยได้เลย หรือพม่าแม่น้ำเมยเปลี่ยนทางไหล แม่น้ำเคยอยู่ตรงคอกช้างเผือก สิ่งที่มีปัญหาอยู่ในปัจจุบันก็คือเกิดน้ำท่วมใหญ่แล้วแม่น้ำเปลี่ยนทางเดิน เส้นเขตแดนก็เปลี่ยนด้วย ปัญหาของคนยุคปัจจุบันก็คือเราจะกำหนดอย่างไร มันต้องมาคุยกันอย่างอย่างยืดหยุ่นและถ้อยทีถ้อยอาศัย
ถ้าอยากจะอยู่กับเพื่อนบ้านด้วยความสันติ เราก็ต้องพยายามละเลยสิ่งนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นจินตนาการ ประเทศไทยไม่เคยเสียดินแดนหรอก เพราะจริงๆ แล้วเราก็แค่ไม่ได้มา เขาพระวิหารเราก็ไม่ได้เสียเพราะว่ามันไม่ใช่ของเรา เราจะเสียได้อย่างไร เราไม่ได้มาต่างหาก ถึงจะไปยึดไว้แล้วเขมรบอกไม่ใช่ของเราเราก็ต้องคืน ทหารไทยชอบพูดว่าเราเป็นสุภาพบุรุษ เราทำตามกฎเกณฑ์ แล้วคุณไปยึดทำไมปราสาทตาเมือน มันอาจไม่ใช่ของเราก็ได้
ในสายตานานาชาติ คิดว่าพวกเขามองเรื่องการปะทะนี้อย่างไร?
เขาก็มองว่า เรื่องไม่เป็นเรื่อง เพราะว่าแนวคิดของไทยมันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ตอนแรกเราบอกเราปะทะกันเรื่องเขตแดน ไม่กี่วันเราปิดด่านแล้วก็บอกว่าปิดด่านเพื่อกดดันพวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตกลงเรื่องอะไรกันแน่ แต่ปัจจุบันรัฐบาลไทยตอบไม่ได้ ทหารไทยก็ตอบไม่ได้ว่าปิดด่านทำไม มันมีผลโดยตรงต่อการจัดการเรื่องเขตแดนอย่างไร ฝรั่งก็งง
ทุกครั้งที่ผมรับโทรศัพท์ เพื่อนฝรั่งนักข่าวฝรั่งเขาถามว่าตกลงทะเลาะเรื่องอะไรกัน ตกลงเรื่องคอลเซ็นเตอร์คุณทำแบบนี้ได้เหรอ เพราะเรื่องคอลเซ็นเตอร์เขาไม่ทะเลาะกัน ถ้าคุณทะเลาะกันคุณปราบคอลเซ็นเตอร์ไม่ได้ เพราะต้องอาศัยการบังคับใช้กฎหมายและอาศัยกฎเกณฑ์ทางสากลหลายตัวที่จะเข้าไปจัดการการฟอกเงิน การเคลื่อนย้ายเงินหรือการค้ามนุษย์ มันมีกฎหลายอย่างที่จะต้องดำเนินการและจัดการในทางสากล
ด่านช่องสายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ หลังจากแม่ทัพภาคที่ 2 สั่งปิดด่านเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.2568
เพราะฉะนั้น เรื่องเล่าของแต่ละฝ่ายขัดแย้งกันไปมา ถ้าเราดูเวลาฝรั่งเขียนก็จะเขียนว่าไทย-กัมพูชาต่างฝ่ายต่างเคลม ตอนที่เรื่องยิvต่างฝ่ายต่างอ้างว่ายิvก่อน ในเรื่องเล่าของต่างชาติปัจจุบันคือต่างฝ่ายต่างกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งว่าละเมิดสัญญาหยุดยิv
เขาไม่สามารถเลือกข้างใครได้ แม้แต่จีนกับสหรัฐฯ ก็ไม่สามารถพูดอย่างนั้นได้ เราบอกว่านานาชาติเข้าใจสิ่งที่เราทำ อันนี้ไทยพูดเอง ผมยังไม่เคยได้ยินนานาชาติแสดงความเข้าใจเลย ผมรับโทรศัพท์นานาชาติตั้ง
หลายต่อหลายสาย แม้กระทั่งพวกทูต คือต้องไปอธิบายให้ตลอดว่าตกลงที่มาของปัญหาอยู่ที่ไหน แล้วคุณได้พูดได้อย่างไรว่านานาชาติเข้าใจ
อีกคำถามที่ตอบยากคือ ถ้าคุณบอกว่าคุณยอมรับกฎเกณฑ์และกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อเรียกร้องของกัมพูชาผมว่าก็แฟร์ที่จะให้ศาลตัดสิน แต่ทำไมคนไทยไม่ยอมรับ ยังหาคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลในทางการเมืองไม่ได้ ในทางกฎหมายคุณมีสิทธิที่จะไม่รับเขตอำนาจศาลโลก แต่ในทางการเมืองคุณจะอธิบายว่าไง ผมยังไม่เห็นคำอธิบายทางการเมืองที่แม้แต่นักวิชาการที่ได้ชื่อว่า ‘ก้าวหน้า’ ไม่เห็นตอบได้เลยว่าทำไมไทยไม่รับขอบเขตอำนาจศาลโลกเพื่อให้เรื่องจบกันไป
บางคนบอกฝรั่งเศสจะรวมหัวกับศาลโลกช่วยเขมร หรือเขมรมีเส้นสายในศาลโลก ผมว่าคำอธิบายนี้ไม่ค่อยสมเหตุสมผล คือประเทศกัมพูชานี่เป็นประเทศเล็ก ฐานะยากจนต้องขอความช่วยเหลือ ไม่มีอิทธิพลขนาดจะโน้มน้าวได้เหมือนอเมริกาที่ล็อบบี้ให้ศาลมาเห็นด้วยกับเขาได้ แล้วทำไมไทยไม่มีอิทธิพลอย่างนั้นบ้าง ไทยใหญ่กว่าไม่ใช่เหรอ ไหนคุยว่าตัวเองมีเส้นสายทางการเมืองในระหว่างประเทศมากมาย ใครๆ ก็ชอบประเทศไทย ทำไมเขาไม่ช่วยไทยแต่ช่วยกัมพูชา นี่แค่ตรรกะหรือคำถามธรรมดา ผมว่านักข่าวก็ไม่กล้าถามรัฐมนตรีของไทยว่าทำไมไทยไม่รับ ผมเชื่อว่าไม่มีรัฐมนตรีหรือทหารคนไหนอธิบายได้
เหตุผลเรื่องที่ไทยเคยแพ้คดีเขาพระวิหาร อาจจะไม่ใช่แค่เหตุผลเดียว?
ไม่ใช่ ผมรู้สึกว่าความภูมิใจในชาติของไทยมีปัญหามาก คือคำพิพากษาของศาลกรณีเขาพระวิหารเขียนไว้ชัดเจนว่าไทยไปยึดมา จอมพล ป.ส่งทหารไปยึดมา ตอนถึงเวลาคืน ไทยคืนของเขาไม่ครบ เขาเขียนไว้ในคำพิพากษาศาลโลก เพราะฉะนั้นเราพูดไม่ได้หรอกว่ากัมพูชาใช้เล่ห์เหลี่ยม นั่นเป็นคำปลอบใจตัวเอง
ปัญหาของคนไทยในปัจจุบันคือ เรามีนักกฎหมายส่งไปเรียนด็อกเตอร์ เรารู้กฎเกณฑ์ระหว่างประเทศแต่เราไม่กล้าสู้ในศาลโลก แล้วเวลาสู้จริงๆ นักกฎหมายไทยก็ไม่ได้ไปสู้เองแต่จ้างฝรั่งเอาทั้งนั้น กัมพูชาก็จ้างฝรั่ง ไทยก็จ้างฝรั่ง แล้วอีกอย่างผมก็แปลกใจว่าทำไมไม่คิดว่าตัวเองจะชนะบ้าง บางทีผมว่าไทยมีสิทธิ์ชนะ อย่างกรณีช่องบก ผมว่าไทยชนะ กรณีปราสาทตาเมือน ไทยอาจจะไม่ได้เสียหมด กัมพูชาไม่ได้หมดอย่างที่เขาขอ ถ้าศาลลงแล้วมันก็จะได้จบกัน เหมือนสิงคโปร์กับมาเลเซียเขาก็ทะเลาะกันเรื่องหินก้อนเดียว สุดท้ายศาลว่าก็ว่าตามศาล จบไม่ต้องทะเลาะกัน
ทำกันอย่างมีอารยะก็ได้ ประชาชนจะได้ไม่ต้องเสียชีวิต ผมไม่เห็นรู้สึกว่าการไปศาลโลกเป็นเรื่องเสียหายอะไร ถ้าหากรักสันติวิธีอย่างที่ว่า ก็ไปสิ คือที่ดินที่จะเสียนิดเดียว
กลับมาที่การเมืองภายในไทย การปะทะครั้งนี้ เราเห็นบทบาทนำของทหาร ถึงขนาด ‘ภูมิธรรม’ ให้สัมภาษณ์กับสื่อในวันแรกๆ ของการปะทะว่า ปฏิบัติการทางทหารให้อิสระทหารไปเลย มองเรื่องนี้อย่างไร และแล้วการจะทำให้รัฐบาลพลเรือนกลับมานำการทหารหลังจากนี้เป็นไปได้หรือไม่?
เผลอๆ ไม่ได้แล้ว ผมอธิบายว่าเป็นรูปแบบของการเมืองยุคหลังเสนาธิปัตย์อำนาจนิยม
เสนาธิปัตย์อำนาจนิยมก็คือการปกครองทหารแบบสมัยประยุทธ์ ปัจจุบันเรามีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง แต่รัฐบาลจากการเลือกตั้งอ่อนแอ ทหารจะใช้ความอ่อนแอของรัฐบาลพลเรือนแสดงบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ครอบงำการบริหารนโยบายยุทธศาสตร์ทางด้านความมั่นคงก่อน ต่อไปก็คงจะลุกลามไปเรื่องอื่น อธิบายได้สามมิติ
มิติแรก ในเชิงโครงสร้าง เนื่องจากพรรคเพื่อไทยไม่ชนะแลนสไลด์อย่างที่ต้องการ เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องข้ามขั้วตระบัดสัตย์เพื่อประนีประนอมกับผู้มีอำนาจเดิม เพื่อวาระของครอบครัวชินวัตร เพื่อที่จะเอาคุณทักษิณกลับมาและอยากจะได้คุณยิ่งลักษณ์กลับมาโดยไม่ต้องติดคุก เขาจำเป็นต้องประนีประนอมกับอำนาจเก่าก็คือทหารเป็นหลัก
เมื่อเป็นเช่นนั้น หลักการเรื่องการปกครองโดยพลเรือน (Civilian rule) หรือหลักการพลเรือนมีอำนาจเหนือกองทัพ (Civilian supremacy) จึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในเชิงโครงสร้าง ยังไม่นับว่าพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหมที่ให้อำนาจสภากลาโหมและซุปเปอร์บอร์ดในการควบคุมนโยบายและบุคลากรทางด้านความมั่นคง ก็คือจะเลื่อนลดปลดย้ายใครเป็นเรื่องของทหาร และงบประมาณทหารไม่ค่อยกล้าตัดหรือตัดไม่ได้ ยิ่งตอนนี้สงสัยจะตัดยาก
มิติที่สอง ในสถานการณ์ความขัดแย้ง รัฐบาลก็เหมือนอย่างที่คุณว่าคือเปิดโอกาสให้กองทัพเข้าควบคุม 100% การควบคุมเขตชายแดนไม่ใช่เป็นการควบคุมการเข้าออกธรรมดา การควบคุมชายแดน
และการปฏิบัติการทางทหารบริเวณชายแดนล้วนแล้วแต่อยู่ในอำนาจการตัดสินใจของกองทัพโดยที่อาจจะแจ้งหรือไม่แจ้งให้รัฐบาลทราบก็ได้ เช่นวันที่ลงมือเมื่อวันที่ 24 ก.ค.ผมไม่แน่ใจว่ารัฐบาลรู้ อาจจะตัดสินใจกันในระดับผู้บัญชาการทหารเท่านั้น แม่ทัพกับผู้บัญชาการทหารบกคงรู้เพราะว่าต้องประสานหลายเหล่าทัพ แม่ทัพเรืออาจจะรู้ แม่ทัพอากาศอาจจะได้รับแจ้งทีหลังถึงได้เอา F-16 ขึ้น เพราะฉะนั้นแม้แต่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดผมไม่ค่อยแน่ใจว่ารับรู้ทั้งหมดหรือเปล่า ไม่ต้องนับว่ารัฐบาล รัฐมนตรีช่วยกลาโหมก็อาจจะรู้อันตราย เพราะฉะนั้นเขาก็ตั้งคณะกรรมการพิเศษที่มีคุณณัฐพล นาคพาณิชย์ เป็นประธาน ทำหน้าที่ในการดำเนินการและบริหารสถานการณ์วิกฤต ในความขัดแย้งระหว่างไทยกัมพูชา
มิติที่สาม ความคิดและเรื่องเล่าแบบทหารกำลังครอบงำสังคมไทย ดูจากอิทธิพลของการสื่อสารมวลชนการรายงานข่าวที่เป็นรายงานข่าวทางยุทธวิธีทั้งสิ้น ผมเห็นนักข่าวพูดน้อยมากเรื่องความเป็นอยู่ของประชาชนตามแนวชายแดน เขาจะเน้นว่าวันนี้ยึดตรงนั้นได้วันนั้นยึดตรงนี้ได้ กัมพูชาส่งกำลังเข้ามาเท่าไหร่ เราจะไปประท้วงอะไรที่ไหนมันเป็นเรื่องเล่าที่กองทัพเป็นคนกำหนดและปล่อยออกไปทุกวันทุกวัน ผ่านสื่อทั้งสื่อกระแสหลักและสื่อกระแสรอง และกองทัพก็มีสื่อของตัวเองอย่างโซเชียลมีเดีย
การปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารหรือ ไอโอ หรือปฏิบัติการจิตวิทยา ทำกันแบบเต็มที่จนกระทั่งมันสร้างกรอบความคิดและมุมมองของคนในสังคมไทยได้ในปัจจุบัน สะท้อนว่าสังคมจะยอมรับฟังเฉพาะเรื่องเล่าที่กองทัพให้มา แม้แต่ของกองทัพเองกรณีปราสาทตาควายไม่ถูกใจกองเชียร์ “กองทัพอ่อนแอเกินไป” “กองทัพไม่แข็งแกร่ง” “ทำไมแค่นี้ยอมมัน” เรื่องเล่าแบบนี้ก็จะเริ่มครอบงำสังคมไทยมากขึ้นเรื่อยๆ
20 มิ.ย. 68 แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้พบกับ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ที่กองบิน 21 อุบลราชธานี หลังเกิดกรณีคลิปเสียงหลุดการสนทนากับสมเด็จ ฮุน เซน ภาพจาก ทำเนียบรัฐบาล
ในอนาคตผมเชื่อว่ามันจะเริ่มลุกลามไปถึงขั้นว่ามองเรื่องความมั่นคงทั้งหมดให้ไปอยู่กับทหารทั้งหมด โดยที่ต่อไปไม่มีใครพูด หรือคนอย่างผมอาจจะต้องหุบปากเรื่องปัญหาความมั่นคงด้านการทหาร เพราะว่าทหารจะต้องเป็นคุณพ่อรู้ดี พลเรือนที่เคยพูดเรื่องทหารตอนนี้ทุกคนแม้แต่อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข ซึ่งอาวุโสมากและเป็นที่เคารพนับถือในหมู่ทหารก็ยังถูกด่า เพราะฉะนั้นนักวิชาการปัญญาชนที่จะพูดแล้วคนฟังก็คือคนที่พูดอย่างที่ทหารอยากจะให้พูด เวลาไปเล็คเชอร์ให้ทหารฟัง เขาก็มีความคาดหวังจะได้ยินสิ่งที่เขาอยากฟังด้วย มิตินี้ในทางสาธารณะความรู้สึกร่วมของคนก็จะไปในทางเรื่องของการทหาร
เพราะฉะนั้นรวม 3 มิติเข้าด้วยกันสังคมยุคหลังเสนาธิปัตย์อำนาจนิยมก็คือ ยุคที่ประจักษ์ ก้องกีรติ เรียกว่า ‘ยุคของระบอบประยุทธ์’ ส่วนตอนนี้ก็ยังเป็นส่วนขยายของระบอบประยุทธ์อยู่ดีในความเห็นของผม มันมี
แกนกลางอยู่ที่กองทัพอยู่ดี บทบาทของทหารจะเล่นในอีกมิติหนึ่ง รัฐบาลพลเรือนจะไม่แตะต้องเรื่องเกี่ยวกับกิจการความมั่นคง เรื่องที่เราอยากจะปฏิรูปกองทัพเพื่อให้เขาออกจากการเมืองสงสัยต้องหลบไปนั่งข้างหลังแล้วในบางช่วง
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
- รวมสถานการณ์แนวชายแดน – ฝ่ายการเมือง กรณีเหตุปะทะไทย-กัมพูชา 25 ก.ค.68
อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยกลับเข้ามาอยู่ในกรอบเรื่องเล่าแบบทหารอีกครั้ง ทั้งที่ตอนช่วงปี 2563 ที่มีการชุมนุม เราจะเห็นว่าภาพลักษณ์ของทหารเสียไปเยอะ ทั้งที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่ปี?
ผมคิดว่าทหารอยากจะแก้มือตอนพลเอกประยุทธ์บริหารประเทศแล้วมันลดต่ำลงในทุกๆ เรื่อง ความภาคภูมิใจของคนไทยมันลดต่ำลง ดัชนีเกือบทุกตัวถดถอย ดัชนีทางการเมืองเราถดถอย เศรษฐกิจเราตกต่ำ
ดัชนีทางสังคมเราถดถอย ผู้คนไม่ค่อยมีความหวังกับสังคม
ตอนนี้ทหารก็รู้แหละว่าจิตวิทยาสังคมก็คือ การสู้กับกัมพูชามันง่ายสำหรับพวกเขาที่จะปั่นความรู้สึกภาคภูมิใจของความเป็นชาติ เขาจะเน้นความเป็นชาติ คนติดธงชาติไทยกันใหญ่เพื่อสร้างความภาคภูมิใจครั้งใหม่ซึ่งผูกอยู่กับกองทัพเป็นหลัก เพื่อเรียกศรัทธาคืนจากประชาชนอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ล้มเหลวในการบริหารประเทศ ปราบปรามเยาวชน
สิ่งที่กองทัพพยายามทำและฉวยโอกาส ผมคิดว่ามันเป็นการวางแผนในทางยุทธศาสตร์ของกองทัพ อาจจะไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติหรอก แต่เป็นประโยชน์ต่อกองทัพโดยเฉพาะทหารที่อยากเล่นการเมืองก็จะได้ความรู้สึกที่เป็นฮีโร่มากขึ้นๆ ฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันเป็นเรื่องที่มีการสร้างขึ้นอย่างเป็นระบบโดยใช้เรื่องปะทะกัน
การปะทะกัน 10 นาที(เมื่อ 28 พ.ค.) ถ้าเป็นสมัยพลเอกประยุทธ์ไม่ลุกลามขนาดนี้ หรือถ้ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีเสียงในสภามากกว่านี้และเข้มแข็งมากกว่านี้ นายกรัฐมนตรีเข้มแข็งมากกว่านี้แสดงภาวะการนำได้
ถ้าวันที่ 28 บอกว่าหยุด ไปคุยกัน จบ ไม่มีการปิดด่าน ไม่มีการเสริมกำลังมาใส่กัน มันจะไม่เกิดการเผชิญหน้า
การปิดด่าน การเสริมกำลัง มันทำให้เกิดการเผชิญหน้าและการทุ่มเทที่มากขึ้นๆ และจัดการยาก มีปัญหาอย่างอื่นซับซ้อนตามมา เช่น เศรษฐกิจการค้าชายแดน การพนันบริเวณชายแดนจะจัดการยาก เพราะฉะนั้นทหารก็รู้ว่าเขาจะคลุกเคล้าส่วนผสมนี้อย่างไรให้มันพอเหมาะพอเจาะที่เขาจะจัดการได้
ผมหาเหตุผลดีๆ ไม่ออกเลยนะว่าทำไมปิดด่านหรือควบคุมด่าน เพราะว่าอีกฝ่ายหนึ่งเสริมกำลังเข้ามา มันไม่เป็นเหตุผลต่อกัน แต่เขาก็ทำเพื่อสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลแล้วมันก็สร้างได้จริงๆ
มีคนวิเคราะห์ว่าการปะทะที่เกิดขึ้น ฝ่ายไทยไม่รับมือไม่ดี จากการสืบค้นข้อมูลพบว่าคำอธิบายหลักเป็นเรื่องยุทธวิธี สิ่งที่มาอ้างอิงคือข้อมูลของนักวิชาการด้านความมั่นคงในสถาบันวิชาการที่ออสเตรเลียที่ไปพบข้อมูลดาวเทียมว่ากัมพูชาเสริมกำลังกันมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว พร้อมจะรบ จนเชื่อว่ากัมพูชาจะบุก การอธิบายแบบนี้ได้เข้ามาครอบงำว่ารัฐบาลไทยอ่อนแอ ไม่ยอมเตรียมรับมือ การอ้างอิงข้อมูลทางยุทธวิธีมากขนาดนี้มีปัญหาหรือไม่?
โพสต์ที่อ้างอิงข้อค้นพบของ นาธาน รูเซอร์ นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงทางเทคโนโลยีจาก Australian Strategic Protection Institute หรือ ASPI ที่นำข้อมูลดาวเทียมถึงการเคลื่อนย้ายกำลังพลของฝั่งกัมพูชา ที่ถูกนำไปรายงานต่อในสื่อกระแสหลักของไทยด้วย เช่น ไทยรัฐ
มีปัญหา มันให้ความชอบธรรมกับการรบการใช้กำลัง จริงๆ ข้อมูลอันนั้นผมคิดว่ามันไม่ได้บอกอะไรมาก การเสริมกำลังเข้าชายแดนมันอาจจะไม่ได้บอกแรงจูงใจมากขนาดนั้น สมมติเขาเสริมมา แล้วเราไม่เสริมกลับก็จะรู้สัญญาณกันและกันระหว่างกองทัพ
แต่ผมอยู่ตรงนั้นก็เห็นกองทัพไทยเสริมคน เขาก็มาเตรียมกองกำลังเสริมเข้ามาเรื่อยๆ ในการเข้าตรวจเช็กพื้นที่ให้กระจายข่าวสารข้อมูลในหมู่บ้าน จำนวนกำลังทหารในหมู่บ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เดือนมีนาคม-พฤษภาคม
เพราะฉะนั้นการโทษกันแบบนั้นว่าไทยไม่เสริมเข้าไป ถ้าไทยเสริมเข้าไป กัมพูชามีฝ่ายข่าวเขารู้ว่าไทยเสริมกำลัง เขาก็เสริมด้วย มันก็เกิดการเผชิญหน้า มันก็แสดงให้เห็นแรงจูงใจด้วยกันทั้งคู่ว่าจะสู้กัน เหมือนเวลานักมวยที่อีกฝ่ายหนึ่งพร้อมจะชก แต่อีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ใส่หมวกมันก็รู้แล้วว่าโอเคทางนี้ไม่คิดจะชกเพราะไม่ใส่หมวก
อันนี้ขึ้นอยู่กับว่า เวลานำเรื่องเล่าทางยุทธวิธีพวกนี้มาอธิบายจะให้ความชอบธรรมกับเรื่องเล่าที่ฝ่ายไทยต้องการคือ กัมพูชาเป็นฝ่ายรุก เราเป็นคนรักสงบ เราไม่ทำอะไรหรอก แต่ผมคิดว่าถ้าเราไม่ทำอะไรจริงๆ การปะทะวันที่ 28 พ.ค.ก็จบ เพราะเคยมีแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว ทหารแถวนั้นก็รู้จักกัน ทำไมเจอหน้ากันแล้วยิvเลยเหรอ บางทีเขาจะทักกันก่อนไม่ใช่เหรอ ถ้าบรรยากาศมันดี ไม่ใช่บรรยากาศเสริมกำลังใส่กันก็จะคุยกันก่อนว่าเลยเส้นปฏิบัติการเข้ามาแล้วนะ
หรือการขุดคูเลทไม่ใช่ใช้เวลาวันสองวัน ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะขุดได้ยาวขนาดนั้น แล้วทำไมทหารไทยไม่แจ้งมาที่รัฐบาลเพื่อที่รัฐบาลจะได้ประท้วงไปที่พนมเปญหรือโพนทะนาเรื่องนี้ให้มันออกมาทำไมอมพะนำไว้ตั้งหลายวัน เผลอๆ เป็นเดือนกว่าที่จะปล่อยออกมา แล้วยังให้นักข่าวก่อนด้วยให้สื่อคลุกเรื่องอยู่หลายวันเลยทีเดียว
เพราะฉะนั้นผมเห็นว่า มีความจงใจจากทหารไทยที่อยากจะให้เกิดปะทะในครั้งนี้เพื่อเหตุผลทางการเมืองของพวกเขา
การขยายเรื่องเล่าทางยุทธวิธีแบบนี้อาจไม่ใช่แค่ให้ความชอบธรรมกับเรื่องเล่าที่ว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายบุก แต่ยังให้ความชอบธรรมกับเรื่องเล่าที่ว่ารัฐบาลพลเรือนไทยไม่ได้เรื่องด้วย?
ใช่ ผมว่าได้ 2 เด้ง กับกัมพูชานั้นก็ต้องก็สร้างให้เป็นศัตรู แต่กับภายในไทยเองก็จะต้องสร้างบทบาทให้รัฐบาลเป็นง่อย ไม่ทันเกม งี่เง่า บริหารไม่ได้หรือสั่งการไม่ได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤติยิ่งให้ความชอบธรรมกับทหารว่ามีแต่ทหารเท่านั้นที่สั่งการและคุมสภาพได้ รัฐบาลคุมไม่ได้
ถ้าเราฟังคำถามนักข่าวกระแสหลักจะเห็นว่าเขาพยายามจะชงเรื่องโทษรัฐบาลตลอดเวลา เช่น วันที่ทะเลาะกับคุณภูมิธรรม ผมฟังคำถามนักข่าว ผมก็รู้สึกว่านั่นมันเป็นคำถามที่กองทัพชงมา เพราะว่าวันนั้นเขาต้องการสร้างเงื่อนไขให้กัมพูชาถอนทหารก่อนถึงจะหยุดยิv แล้วต้องถอนทหารเพื่อที่เขาจะได้เข้าไปในพื้นที่ที่เขาต้องการ ปรากฏว่าคุณภูมิธรรมก็ไปเจรจาให้หยุดยิvโดยไม่มีเงื่อนไข จึงมีคำถามมาว่าทำไมไม่ตั้งเงื่อนไขกับกัมพูชาบ้าง
อีกเรื่องคือ ผู้สังเกตการณ์ ทหารไทยไม่เคยยอมรับหรอก อ่านแถลงการณ์ร่วมที่มี 3 ข้อ เรื่องกลไกทวิภาคีคือสิ่งที่ไทยต้องการ ส่วนที่อยู่ตอนท้ายเป็นการริเริ่มของประธานอาเซียนเพราะมาเลเซียบอกว่าจะประสานเพื่อสันติแทนที่จะเป็นการตกลงกันระหว่างสองฝ่าย ไทยไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ ก็เลยถูกเอามาเป็นความริเริ่มของประธาน อันนี้ผมอ่านระหว่างบรรทัดของแถลงการณ์ เพราะถ้าเรื่องให้มาเลเซียเข้ามาเป็นเรื่องที่ตกลงร่วมกันจะต้องเป็น ‘ข้อสี่’ เป็นวิธีการที่เขาใช้กันในทางการทูต
แต่การริเริ่มของประธานอาเซียน กัมพูชาเห็นด้วย เพราะว่าเขาชอบที่จะมีข้อตกลงกับนานาชาติแบบนี้ เขาจะชิงเชิญไปก่อน ส่วนไทยจะอิหลักอิเหลื่อ รอตั้งกี่วันถึงจะพาคณะทูตลงไปทั้งที่กัมพูชาลงไปแล้วเมื่อวานส่วนไทยก็ต้องวันพรุ่งนี้ (1 ส.ค.) ไทยถึงจะพาคณะทูตลงไป แล้วทั้งหมดก็เรียกได้ว่ายังไม่ใช่การสังเกตการณ์แบบที่อาเซียนต้องการทำ เพราะยังไม่มี ToR ว่าจะต้องรายงานกับใคร นี่เป็นการชิงลงมือทางการทูตระหว่างกัน
เมื่อ 1 ส.ค.2568 กระทรวงการต่างประเทศและกองทัพไทยร่วมกันพาทูตทหารของนานาประเทศwร้อมสื่อมวนทั้งไทยและต่างประเทศลงพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากการปะทะกันในช่วง 24-28 ก.ค.2568 ภาพจาก กองทัพภาคที่ 2
เท่ากับว่ากระบวนการสังเกตการณ์การหยุดยิvที่ว่านี้ยังไม่ได้เริ่ม กระบวนการเชิญทูตต่างๆ หรือการมีผู้บัญชาการทหารของมาเลเซียมาเดินดูตามจุดต่างๆ ยังไม่ถือว่าเป็นผู้สังเกตการณ์อย่างเป็นทางการ?
ตอนนี้ยัง ผู้ช่วยทูตทหารเขาอยู่เมืองไทย ทางฝั่งกัมพูชาก็มีผู้ช่วยทูตในจุดที่เขาอยากจะให้ดู แต่คณะที่จะเป็นผู้สังเกตการณ์จริงๆ เพื่อที่จะสังเกตการณ์ว่ามีการปฏิบัติตามข้อตกลจะต้องเข้าไปที่จุดปะทะ มีคณะทางเทคนิกดูว่า ตรงตำบลกระสุนตกมันได้สัดส่วนหรือไม่ ใครยิvไปไกลแค่ไหน ต้องมาตรวจที่อำเภอกันทรลักษ์ไปที่ปั๊มดูว่าจากวิถีที่ยิv ยิvมาจากตรงไหนยิvเข้ามาโดยตั้งใจหรือเข้ามาโดยไม่ตั้งใจ วางกำลังทหารที่ไหน
ถ้าคุณบอกว่ากัมพูชาใช้มนุษย์เป็นโล่ เขาก็ต้องไปสัมภาษณ์ว่ามีการวางกำลังทหารแถวชุมชนหรือไม่ ก่อนจะยิvกันได้อพยพประชาชนออกไปก่อนหรือไม่ มีแผนการรองรับหรือไม่ ผู้สังเกตการณ์ก็ต้องถามประชาชนว่าได้รับการบอกเตือนล่วงหน้าว่าจะมีการปะทะหรือไม่ อันนี้ถึงเรียกว่าการสังเกตุการณ์เพื่อหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปดำเนินการการหยุดยิv
เพราะฉะนั้นเขาจะต้องส่งคนมาเฝ้า เช่น ดูกี่วันคุณวางกำลังอยู่ตรงไหน ใครมีโอกาสจะใช้กำลังมากกว่ากันอย่างตอนนี้ไทยบอกว่ายึดไป 11 จุด ผู้สังเกตการณ์ต้องดูว่า 11 จุดจะใกล้กับกัมพูชามากเกินไปก็จะต้องรายงานไปถึงอาเซียน อาเซียนก็อาจจะบอกว่ามันใกล้กันเกินไปอาจเกิดการเผชิญหน้าได้ และตรงนี้เป็นพื้นที่พิพาทอยู่ อาเซียนอาจมีข้อเสนอว่าขยับออกไปหน่อยเพื่อลดการเผชิญหน้า เพื่อให้การสัญญาหยุดยิvเป็นผลจริง ไม่ใช่แอบยิvกันภายหลัง
กระบวนการสังเกตการณ์มีแนวทางปฏิบัติอยู่คือต้องทำ ToR ก่อนแล้วตกลงกันว่าทั้งสองฝ่ายจะให้ผู้สังเกตการณ์เข้ามาดูได้แค่ไหนอย่างไร ตอนนี้มาเลเซียเพิ่งประสานงานเข้ามา เช่น ไทยจะให้เปิดให้ดูแค่ไหน จะให้สัมภาษณ์ชาวบ้านและทหารที่ปฏิบัติการอยู่หรือไม่ จะให้เจออะไรบ้างแล้วรายงานของผู้สังเกตการณ์จะต้องทำหรือไม่ ต้องเสนอเข้าที่ประชุมอาเซียนหรือไม่ อาเซียนจะรับรองรายงานอันนี้ด้วยหรือไม่
คนพูดกันเยอะอยู่ว่าตอนนี้เราเสียเปรียบกัมพูชาในในเวทีนานาชาติ มองอย่างไร?
ผมคิดว่าเสียเปรียบหรือได้เปรียบต้องขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอาความได้เปรียบเสียเปรียบนั้นไปทำอะไร ถ้าหากเป็นแแค่จะบอกกับชาวโลกเพื่อสร้างกรอบเรื่องเล่าหรือสร้างความน่าเชื่อถือกับนานาชาติอย่างไร
รายละเอียดเล็กน้อยประเภทใครยิvก่อน ใครบุกก่อนไม่ค่อยสำคัญ เพราะถ้าเราสังเกต เวลาฝรั่งเขียนข่าวเขาก็บอกว่าเราต่างโทษกันและกันว่าอีกฝ่ายยิvก่อน กรณีหยุดยิvนี้ก็คือต่างฝ่ายต่างบอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนละเมิดสัญญาหยุดยิvก่อน
เพราะฉะนั้นสิ่งที่สิ่งที่นานาชาติสนใจคือ ทางออกที่คุณจะออกเป็นทางไหน กัมพูชาเสนอทางออกเป็นศาลโลก ไทยเสนอทางออกเป็นกลไกทวิภาคี ทีนี้สองอย่างนี้เป็นความต้องการที่ไม่อาจมาเจอกันได้ สิ่งที่นานาชาติสนใจจึงเป็นว่าในท้ายที่สุดใครได้ประโยชน์ใครเสียประโยชน์จากการปะทะกันคราวนี้ ส่วนที่มาของเรื่องอันนี้ก็พูดได้เรื่อยๆ แล้วแต่ใครจะมีความรู้ขนาดไหน เขาไม่ค่อยติดตามเท่าไหร่ ยกเว้นสถานการณ์มันพัฒนาไปไกลไปกว่านี้
แต่ถ้าเป็นการปะทะกันตามแนวชายแดนธรรมดาก็พูดแค่ว่าใครได้ประโยชน์จากการก่อสงครามนี้และ
ใครสูญเสียจากสงครามนี้มากน้อยกว่ากัน แต่ถ้าจะบอกว่าใครเริ่มก่อนใครเป็นคนทำผิด สงครามนี้ชอบธรรมหรือไม่ คุณต้องไปศาลแล้ว เพราะว่าคนทั่วไปคงตัดสินไม่ได้ นักข่าวหรือหรือนักการทูตเขาก็ไม่ตัดสินหรอก
ตอนนี้ต้องเข้าใจว่าชุมชนนานาชาติมันไม่ใช่การแบ่งฝ่าย ไม่สามารถที่จะเลือกระหว่างจีนกับสหรัฐฯ หรือโลกทั้งสองขั้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะว่าแบบนั้นได้ แต่ปัจจุบันไม่มีสามารถมีประเทศไหนบอกตัวเองได้ว่า เราจะเข้าข้างไทยนะหรือจะเข้าข้างกัมพูชานะ ทุกประเทศจะบอกว่าขอให้หยุดเถอะขอให้หาทางแก้ไขปัญหาเถอะ
ผมยังไม่เคยได้ยินนักการทูตคนไหนถามว่าใครยิvก่อน มีแต่พวกเราถามกันเอง นานาชาติก็ไม่ถามเหมือนกันว่าใครหยุดก่อน หรือใครบุกใคร ที่เขาถามคือคุณจะแก้ไขปัญหานี้กันอย่างไร เป็นประเด็นสำคัญสำหรับความรู้สึกของนานาชาติ ตอนนี้คนก็จับตามองว่าสัญญาหยุดยิvมันจะล่มหรือเปล่า ถ้าล่มใครเป็นคนทำให้ล่ม ใครเป็นคนทำให้รอด
ตอนนี้กัมพูชายังบอกว่าเขาแสวงหาสันติตลอดเวลา ในขณะที่ไทยในกรอบเรื่องเล่าของเราคือเราบอกเราจะยึดตรงไหนไว้เพื่อความได้เปรียบ แม้กระทั่งความได้เปรียบทางการทูต ที่จริงๆ เขาไม่ค่อยพูดกันหรอกว่าใครได้เปรียบหรือไม่ได้เปรียบในทางการทูต ผมได้ยินแต่การวิพากษ์วิจารณ์กันเอง
มีคนที่ได้สังเกตการณ์การต่อสู้ทางการทูตของไทยเล่าให้ฟังว่า ไทยมีทั้งการพูดถึงอนุสัญญาออตตาวาเรื่องกับsะเบิดก็ดี เรื่องการโจมตีโรงพยาบาลก็ดี เป็นการทำให้ไทยดูดีแล้วกัมพูชาดูแย่ แต่ตอนจบทั้งไทยและกัมพูชาไม่ได้เสนอทางออก ซึ่งเป็นเรื่องน่าผิดหวังที่ทั้งสองชาติแค่มาเล่าเรื่องตัวเอง แล้วยังไงต่อ และเขายังคาดหวังกับไทยว่าจะสามารถเสนอทางออกที่เหมาะสมตามหลักอันพึงมีได้แทนที่จะมาแก้ตัวหรือมาโทษอีกฝ่ายหนึ่ง ส่วนกัมพูชาเขาเล่นบทเหยื่อเพราะเขาเป็นประเทศเล็ก แต่ไทยทำแบบนั้นไม่ได้
ถ้าอย่างนั้นไทยควรปรับปรุงการสื่อสารของต่อนานาชาติอย่างไร เพื่อให้ไม่ดูเหมือนเน้นแก้ตัว โทษคนอื่น?
ไทยต้องเสนอทางออกแล้วว่า ถ้ากลไกระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาคใช้ไม่ได้ แล้วมีทางเลือกใดบ้าง ต้องเป็นฝ่ายเสนอกัมพูชาบ้างว่าเรามีทางออกย่างไร ไม่ใช่พอเขาจะไปศาลโลก ไทยก็จะติดอยู่กับกลไกพวกนี้
ผมคิดว่าแม้แต่โดนัลด์ ทรัมป์ หรืออันวาร์ อิบราฮิม เองเขาก็เล่นบทบาทของผู้เสนอทางออก ไทยเป็นประเทศที่อยู่ในระดับเดียวกับมาเลเซีย บางเวลาเราก็เป็นประธานอาเซียน เราควรจะเป็นประเทศซึ่งแสดงความประนีประนอมและเสนอทางออก แต่ตอนนี้ไทยแสดงออกว่าจะไม่เสียอะไรสักอย่างเดียว เราจะไม่เสียแม้แต่ตารางนิ้วเดียว ทางการทูตเราก็จะไม่เสียเปรียบกัมพูชาแม้แต่อย่างเดียว
เราไม่ได้เล่นบทของคนที่คิดแบบมีเหตุมีผลแล้วก็เสนอทางออกที่สันติได้ คือแม้แต่ข้อเรียกร้องไปศาลโลกก็คือข้อเรียกร้องสันติ
การยืนยันใช้กลไกทวิภาคีที่มันใช้ไม่ได้ คุณรู้อยู่แก่ใจแล้วยังจะพูดย้ำอยู่กับสิ่งที่มันใช้ไม่ได้ ทำไมไม่มีทางเลือกอื่นที่ใช้งานได้ มีทางเลือกอะไรบ้างเวลาเจรจา ถ้ากัมพูชาเสนอแบบนี้เราก็เสนอที่มันเป็นไปได้ที่จะสามารถเห็นร่วมกันได้ตกลงกัน สมมติเราไม่ชอบศาลโลก เราก็ยังมีศาลอนุญาโตตุลาการหรือ PCA ทำไมไทยไม่เสนอ PCA เราไม่ต้องรับศาลโลกก็ได้ถ้ากลัวประชาชนของเรารับไม่ได้
PCA ยังยืดหยุ่นมากกว่า เปิดโอกาสให้เจรจามากกว่า เปิดโอกาสให้เราตั้งอนุญาโตตุลาการซึ่ง 2 ฝ่ายสามารถที่จะเข้าไปเจรจาได้ ในหมู่ปัญญาชนไทย ชนชั้นนำไทย ทำไมการทูตถึงคิดแต่จะบลัฟเขา เราไม่เสนออะไรที่มันสร้างสรรค์บ้าง ตอนนี้ผมยังไม่เห็นอะไรที่มันสร้างสรรค์ในทางการทูต
ทั้งมาเลเซียหรือทรัมป์ผมว่าเป็นการทูตที่สร้างสรรค์นะ ต่อให้ใครบอกว่าเป็นการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจมาบีบบังคับ ผมรู้สึกว่าในท้ายที่สุดมันก็คือการหาทางออก ในขณะที่ไทยพูดว่าคุณยิvโรงพยาบาลเรา คุณบุกเรา คำถามคือแล้วจะทำอย่างไร ไทยยังไม่ได้เสนอ และในฐานะที่ไทยเป็นประเทศที่ก็เชื่อว่าตัวเองมีประสบการณ์สูง มีทักษะทางการทูต ผมเชื่อว่าก็เสนอทางออกที่เป็นไปได้สำหรับแก้ไขปัญหาร่วมกันกับกัมพูชาถือว่ามีท่าทีที่ยืดหยุ่นประนีประนอมมากกว่านี้ แต่ตอนนี้ยังไม่สถานการณ์นั้นยังไม่เกิดขึ้น
เรื่องราวดูไปไกลกว่าข้อวิจารณ์ว่ารัฐบาลไทยมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร แต่เป็นเรื่องว่าเราไม่มีการเสนอทางออกที่ดีกว่านี้แล้ว?
คนจำนวนมากวิเคราะห์ผิดในความเห็นของผม คือไปพูดเฉพาะเรื่องการสื่อสาร ผมคิดว่าปัญหาของไทยคือปัญหายุทธศาสตร์ เราไม่มียุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ เราไม่รู้เราจะออกทางไหน เราไม่รู้ว่าข้อเสนอที่ดีกว่านี้คืออะไร เราเลยไม่เสนออะไรสักอย่างแล้วไปโทษการสื่อสาร
การประชุมเจรจาเพื่อการหยุดยิvที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ระหว่าง ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กับฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา โดยมี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ภาพจากทำเนียบรัฐบาล
การสื่อสารมันมาจากเจตนาใช่ไหม เราจะสื่อสารอะไรออกมา แปลว่าเรามีเจตนาอะไร สมมติเราเจตนาจะไปศาล ผมว่าการโทษกัมพูชาว่ายิvก่อนก็ได้ แต่ถ้าไม่มีเจตนาจะไปศาล คุณจะโทษอีกฝ่ายทำไม อันนี้ทำให้เราเห็นว่ารัฐบาลไทยและกองทัพไทยไม่มียุทธศาสตร์ คือกองทัพก็คงไม่มียุทธศาสตร์หรอก เขามีแต่ยุทธวิธีทางการทหารที่เขาต้องทำ แต่รัฐบาลต้องมียุทธศาสตร์ว่าจะใช้กองทัพเมื่อไหร่ เมื่อไหร่เราจะใช้การทูต เมื่อไหร่เราจะใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ การดำเนินนโยบายแบบนี้ต้องเป็นรัฐบาลทำ กองทัพทำไม่ได้ ถ้าเราให้กองทัพดำเนินนโยบายเศรษฐกิจก็ยังปิดตากดดัน ใช้อำนาจการยิvเพื่อข่มขู่ มันใช้การไม่ได้
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไทยขาดไม่ใช่เรื่องการสื่อสารหรือทักษะในการสื่อสาร เรามีคนเก่งภาษาอังกฤษเยอะแต่เราไม่มียุทธศาสตร์ว่าในงานการต่างประเทศ การทะเลาะกับกัมพูชาครั้งนี้จะทำให้ถึงเป้าหมายอะไร จะทะเลาะกันไปทำไม ถ้าบอกว่าเราจะจัดการเขตแดน การทะเลาะกันไม่ใช่การจัดการเขตแดน ต้องคืนดีกันถึงจะจัดการเขตแดนได้ เขตแดนไม่มีทางจบถ้าเราทะเลาะกันแบบนี้
สำหรับประเทศไทย ผมเห็นเป้าหมายอย่างเดียวคือการถล่มรัฐบาล ถ้าต้องการจะถล่มรัฐบาล ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีซึ่งมันก็จะไปเข้าทางกัมพูชา เพราะว่ากัมพูชาก็อยากถล่มรัฐบาลไทยเหมือนกันตอนนี้กองทัพก็ถล่มรัฐบาลไทยอยู่ เพราะฉะนั้นเราเห็นเป้าหมายทางการเมืองภายในชัดเจนกว่าเป้าหมายทางการเมืองระหว่างประเทศ
สำหรับกัมพูชา ผมเห็นเป้าหมายทางการเมืองระหว่างประเทศของเขาชัดเจนกว่าแล้วเขาดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เขารู้ว่าเขาจะไปไหน เขาจะทำอะไร แต่เราไม่ค่อยรู้ เราตั้งรับอย่างเดียวแล้วก็บอกว่าเราเสียเปรียบเพราะเราเป็นฝ่ายตั้งรับ คุณคุมเกมไม่ได้ตอนนี้กัมพูชาคุมเกมอยู่ในทางระหว่างประเทศ ไทยไม่ได้เป็นคนคุมเกมไทยแค่เล่นไปตามเกมแล้วก็พยายามจะปกป้องตัวเองแค่นั้น
สามารถสรุปเรื่องการสื่อสารกับต่างประเทศได้เลยใช่ไหมว่า เป็นการคาดหวังที่ผิดฝาผิดตัวที่จะไปให้ต่างประเทศสนใจว่าใครยิvก่อน?
ใช่ ผมพูดตั้งแต่วันแรกเลย บอกว่ารัฐบาลและกองทัพจับประเด็นผิด และพอถึงเวลาไม่มีใครถามเลย ทุกวันนี้มีใครถามบ้างว่าใครยิvก่อน เขาไม่ใช่ศาล เขาไม่ถามหรอก UN ไม่ใช่ศาล ถ้าคุณไปศาลอาญาระหว่างประเทศหรือ ICC ก็ไม่แน่ แต่คงไม่มีใครไป มันต้องรู้ว่าเราจะพูดเรื่องนี้กับใคร เพื่ออะไร
ปัญหาของประเทศไทยก็คือ ไม่รู้ว่าจะพูดกับใคร ด้วยเรื่องอะไร เพื่อเป้าหมายอะไร เราบอกเราฟ้องชุมชนนานาชาติ แล้วยังไง จะฟ้องทำไม ใครตัดสินให้คุณ ถ้าคุณฟ้องต้องมีการตัดสินถูกไหม แต่มันไม่มี
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )