
เหตุปะทะทางอาวุธตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาระลอกล่าสุด นำมาซึ่งภาวะฝุ่นตลบครั้งใหญ่ของระบบนิเวศข่าวสาร ข้อมูลที่ถูกนำเสนอทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาต่างเจือไปด้วยอารมณ์โกรธแค้น ไม่รวมเฟกนิวส์อีกจำนวนมาก แม้ว่าในขณะนี้เสียงปืนสงบลงชั่วคราว แต่ ‘สงครามโซเชียล’ ของอินฟลูเอนเซอร์และชาวเน็ตยังเคลื่อนไหวต่อเนื่อง รวมถึงภาวะ ‘หนึ่งความขัดแย้ง สองเรื่องเล่า’ ที่สื่อทั้งสองประเทศรายงานคนละเรื่องเล่าของตนเอง เหตุส่วนหนึ่งจากข้อจำกัดด้านข้อมูล นอกจากนี้ยังพอเห็นได้ว่ามีความเห็นในกลุ่มคนที่เคย ‘ก้าวหน้า’ มีลักษณะเสรีนิยมของสองประเทศก็ดูจะหันเหไปในทาง ‘ชาตินิยม’ อย่างรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งด้วย
ปรากฏการณ์เหล่านี้สะท้อนอะไร และมันจะผลอย่างไรต่อสังคม รวมถึงการนำเสนอข่าวในเรื่องชายแดนจะมีแนวโน้มอย่างไรต่อจากนี้ เพื่อหาคำอธิบาย ประชาไทพูดคุยกับ นวลน้อย ธรรมเสถียร อดีตสื่อมวลชนและผู้ติดตามปัญหาความขัดแย้งภาคใต้
นวลน้อยบอกว่าติดตามข่าวสารทางเอกซ์เป็นหลัก (เดิมคือทวิตเตอร์) เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ในแง่ความรวดเร็ว ส่วนที่เป็นคอมเมนต์หรือความเห็นของฝั่งฝ่ายต่างๆ จะดูในเฟซบุ๊ก นอกจากนี้ ในการเสพข่าว ยังมีการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Google News มาคัดสรรข่าวในหมวดที่ตัวเองสนใจด้วย
จากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา มองความคิดเห็นของปัญญาชน หรือกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายก้าวหน้าว่าเป็นอย่างไร
ความเห็นจะเห็นอยู่ 2 แนวชัดๆ คือไปตามกระแสคนรักชาติ เป็นความชาตินิยม ส่งเสริมข้อมูลฝ่ายไทยแล้วก็โกรธฝั่งกัมพูชา มีการตัดสินว่าใครผิดใครถูก ซึ่งโอเคบางอย่างมันมีข้อเท็จจริงจำนวนหนึ่งที่คนที่อยู่แนวหลังพูดได้ เช่น เรื่องการโจมตีพลเรือนที่เห็นชัดเจน พลเรือนฝ่ายไทยเสียชีวิต เราพูดได้ว่ากัมพูชาโจมตี
ส่วนประเด็นที่ว่าใครยิvก่อน ยิvหลัง ยังเป็นเรื่องข้อเท็จจริงที่ต้องรอการพิสูจน์ เราไม่ได้อยู่แนวหน้า เราบอกไม่ได้ เราไม่ได้จะบอกว่าทหารไทยโกหกนะ แต่ว่าในข้อเท็จจริงใครจะรู้ เผลอๆ ท้ายที่สุดอาจจะไม่มีใครรู้เลยก็ได้ เป็นเรื่องหนึ่งที่อาจต้องทำใจเอาไว้เลย ท้ายที่สุดอาจจะเป็นเรื่องแบบ he mentioned she mentioned คนนั้นพูดทางหนึ่ง คนนี้พูดอีกทางหนึ่ง
ส่วนประเด็นเรื่องที่ไทยกล่าวหาว่ากัมพูชาวางทุ่นsะเบิด ตามหลักฐานคือทหารไทยเหยียบกับsะเบิดแล้วขาขาด เราก็ค่อนข้างมีหลักฐาน ต้องเอามาดู แต่ว่ามันเป็นการวางกับsะเบิดใหม่หรืออะไรต่างๆ ก็ต้องไปพิสูจน์กัน
ประเด็นคือบางเรื่องมันต้องรอการพิสูจน์ แต่เราเห็นคนจำนวนหนึ่งที่โถมตัวเองเข้าไปสนับสนุนข้อมูลของรัฐ แน่นอนด้วยความรักชาติ ทุกคนก็อยากจะทำแบบนี้ ทุกคนก็มีความรู้สึกเดือดดาลเวลาที่เห็นทหารหรือพลเรือนเสียชีวิต ทุกคนรู้สึกว่ามันเป็นสงครามที่ไร้เหตุผล การเสพข่าวแล้วมีอารมณ์เป็นเรื่องเข้าใจได้
อย่างไรก็ดี เราไม่ใช่ว่าจะไม่คุ้นชินกับการเสพข่าว เราเสพข่าวความขัดแย้งกันมานานมากแล้ว ไม่ใช่เฉพาะเรื่องไทยกับกัมพูชา เรื่องความขัดแย้งชายแดนภาคใต้ ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศเราก็เสพกันมานานมากแล้ว แต่คนที่เป็นปัญญาชนจำนวนมากยังติดหล่มเรื่องความรู้สึกเหล่านี้อยู่ ยังไม่สามารถเอาตัวเองออกมาได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ ในความรู้สึกส่วนตัว มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเพราะเราควรจะได้เรียนรู้จากสิ่งที่มันผ่านมาในอดีต หลายครั้งหลายหนโดยเฉพาะความขัดแย้งในบ้านตัวเอง เราก็รู้แล้วว่าเราไม่ควรเร่งรีบตัดสินในหลายๆ เรื่อง เราควรมีสติในเรื่องของการเสพข่าวสาร
ถ้าพูดเรื่องนี้ต้องเลยไปพูดถึงสื่อด้วย เพราะสื่อเองก็มีอารมณ์แบบนี้ด้วยเหมือนกัน ปัญญาชนโดยเฉพาะที่คนที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายหัวก้าวหน้าบางส่วนในทั้งสองประเทศก็เป็นเช่นนั้น เรามีความคาดหวังกับพวกเขาใช่ไหม โดยเฉพาะสื่อ ซึ่งมีหน้าที่เสนอข้อมูล เราคาดหวังว่าสื่อจะต้องนำเสนออย่างไร้อารมณ์ ทำไมต้องเสนอแบบไร้อารมณ์ เสนอแบบไร้อารมณ์ไม่ได้หมายความว่าไม่นำเสนอข้อเท็จจริง คือนำเสนอข้อเท็จจริง แต่ต้องระมัดระวังในเรื่องของการใช้ถ้อยคำ การพาดหัว มิเช่นนั้น สื่อก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะดันอารมณ์ของสังคม
ในที่นี้จะไม่พูดถึงประเด็นที่สื่อจำเป็นต้องเสนอข้อเท็จจริง เพราะสื่อก็รู้ตัวอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาสั่งสอนใครได้ สื่อเมืองไทยทุกคนก็มีความรู้ในเรื่องหน้าที่ของตัวเองดีอยู่แล้ว สถานการณ์เช่นนี้มันคาดหวังเราให้ทำหน้าที่ให้ดี ทุกคำถามพี่เชื่อว่าถามได้ ใครก็ตามแต่ที่บอกว่าถามคำถามแบบนี้ได้ยังไง คิดว่าไม่ใช่ละ ทุกคำถามถามได้ ในความขัดแย้งนี้เราก็ต้องยอมรับกันว่ามันมีความไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลและวิธีจัดการของรัฐบาล แล้วมีคนที่เห็นข้อบกพร่องของการทำงานของฝ่ายความมั่นคงในสถานการณ์อีก เขาก็มีความชอบธรรมในการที่จะตั้งคำถามได้ด้วยเช่นเดียวกัน เราไม่ควรจะมาขีดคั่น
แต่ประเด็นก็คือจะถามอย่างไรเพื่อให้ได้คำตอบที่สร้างสรรค์ คือนักข่าวก็เป็นมนุษย์ มีรักโลภโกรธหลงทุกอย่างเหมือนคนอื่น แต่ว่าเราก็ต้องแสดงให้เห็นว่าเราพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมตัวเองใช่ไหม เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบในแง่ของการจะนำเสนอข้อมูลของสื่อ ในฐานะที่เราก็เป็นคนเสพสื่อเสพข่าวด้วย เราก็ต้องรู้ว่าข้อมูลที่มันเจือไปด้วยอารมณ์
ข้อมูลมันมีลักษณะเหมือนมีแคมเปญชักชวน ทำให้เรามีข้อสงสัยต่อข้อมูลนั้น ท้ายที่สุดในการหาทางออกความขัดแย้ง ต้องการประชาชนทั้งฝั่งไทยและกัมพูชาที่มีสติ มันจึงจะหาทางออกที่น่าพอใจ ไม่งั้นก็จะทะเลาะกันไม่จบสิ้น
สื่อฝั่งกัมพูชาก็มีอารมณ์ต่างๆ เจือปนอยู่เยอะ หลังจากที่ยิvกันปุ๊บ ยังไม่ทันอะไรเลย เห็นได้จากหนังสือพิมพ์กัมพูชาที่เป็นภาษาอังกฤษฉบับหนึ่งที่มีชื่อเสียงลงข่าวทันทีเลยว่าประเทศไทยทำนั่นทำนี่ คือสื่อทั้งสองประเทศก็พอๆ กัน กลายเป็นว่าสื่อใครก็สื่อมัน แล้วก็สู้กัน
ทีนี้ในแง่ของการสื่อสารในปัจจุบัน เรารู้กันอยู่ว่าโซเชียลมีเดียมีบทบาทเยอะ อินเตอร์เน็ตทำให้คนธรรมดาทั่วไปได้เข้ามามีบทบาทในการสื่อสาร ซึ่งมันก็เป็นข้อดี คนตัวเล็กตัวน้อยสามารถที่จะส่งเสียงได้ แต่ประเด็นคือในเมื่อทุกคนสามารถส่งเสียงได้ คุณจะส่งเสียงแบบไหนให้มันมีส่วนในการทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
ที่ผ่านมา มันมีทั้งเสียงเรียกร้องอย่างกลายๆ และอย่างตรงไปตรงมาจากผู้มีอำนาจ เช่น โฆษกรัฐบาลครั้งหนึ่งก็พูดว่าขอให้คนช่วยกันแชร์ ช่วยกันกดไลก์อะไรต่างๆ อันนี้พูดง่ายๆ ว่ารัฐบาลก็มีความพยายามแคมเปญในการที่จะให้ประชาชนเข้ามามีส่วนในการใช้แรงกดดันทางโซเชียลมีเดียใช่ไหม
หรือว่าทางกองทัพเอง ตอนแรกๆ ก็พูดถึงเรื่องของการปกป้องแผ่นดิน มีการเชิญชวนให้ติดแฮชแท็กนู่นนั่นนี่ ทั้งหมดนี้มันคือการระดมกำลังประชาชนในการที่จะช่วยกัน…ทุกคนก็จะใช้คำว่า “ปกป้องแผ่นดินไทย” จริงอยู่ว่าในแง่หนึ่ง สิ่งนี้ทำให้ประชาชนอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น มองเห็นปัญหาและติดตามปัญหา แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่มันเกิดขึ้นในทางปฏิบัติก็คือ พอเราเริ่มมีปฏิกิริยากับการทำงานของรัฐบาล เราตำหนิติเตียนว่ารัฐบาลทำงานไม่ดี ทุกคนก็ถาโถมกันเข้าไปใช้โซเชียลมีเดียตอบโต้ ซึ่งหลายสิ่งหลายอย่างก็เกินเลยไปมาก
ยกตัวอย่าง องค์การยูนิเซฟออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทุกฝ่ายในความขัดแย้งครั้งนี้ดูแลปกป้องเด็กๆ ก็มีคนไทยเข้าไปด่าตรึมเลยว่าทำไมคุณพูดแบบนี้ ทำไมคุณไม่พูดเลยว่าเด็กไทยนั่นแหละเสียชีวิตจากกัมพูชา ประมาณว่าไม่เป็นตัวแทนพูดปัญหาให้กับประเทศไทย ไปอยู่ที่ไหนมา ทำไมคุณไม่พูดไปเลยว่าเขมรฆ่-าเด็กไทยอะไรอย่างนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้ถ้าเราใช้สติไตร่ตรอง เราจะพบว่ายูนิเซฟไม่ได้อยู่ในพื้นที่ ถ้ายูนิเซฟอยู่ในพื้นที่แล้วเกิดเหตุการณ์นี้ต่อหน้าต่อเสียชีวิตูนิเซฟ เขาก็น่าจะสามารถพูดได้ แต่ประเด็นก็คือว่าเขาไม่น่าจะมีข้อมูลมากพอที่จะทำแบบนั้น
สิ่งที่ยูนิเซฟทำเพื่อผลประโยชน์ของเด็กๆ แบบเฉพาะหน้าก็คือออกมาเรียกร้องว่าคุณต้องดูแลปกป้องเด็ก ซึ่งสำหรับเรา พูดแค่นี้ก็พอแล้วในสภาวะแบบนี้ อย่างน้อยที่สุดนี่ถือว่าดีมากแล้ว เพราะการออกมาเรียกร้องให้คู่ความขัดแย้งเคารพชีวิตมนุษย์ นั่นแปลว่ายูนิเซฟมองเห็นว่ามีพลเรือนและมีเด็กได้รับผลกระทบแล้ว เจ้าหน้าที่ไทยก็มีหน้าที่ในการที่จะเก็บข้อมูลพวกนี้เพื่อนำเสนอต่อไปถูกไหมคะ มันต้องเป็นแบบนั้นแต่ว่าคนไทยเราเข้าไปถาโถมเข้าไปด่า
ถ้าถามว่าแล้วยูนิเซฟเขาเสียหายอะไร มันไม่มีความเสียหายที่มองเห็น แต่ว่ามันทำให้เกิดภาพว่าคนไทยกำลังเดือดดาลกับปัญหานี้ขนาดนี้ ในขณะเดียวกันมันอาจจะให้ภาพไปด้วยว่า เรากำลังอยู่ในสภาวะของการตัดสินคนอื่น เราไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะฟังใครเลย ไม่อยู่ในสภาวะอารมณ์และบรรยากาศที่จะใช้สามัญสำนึกด้วย ซึ่งอันนี้เป็นภาพที่เราควรจะต้องระมัดระวังด้วยไหม
หรืออย่างเช่น การที่มีสื่อต่างประเทศลงข่าวบอกว่าไทยกล่าวหากัมพูชาว่านั่นนู่นนั่นนี่ แล้วมีคนเข้าไปโต้บอกว่า เอ๊ะ คุณใช้คำว่า ‘กล่าวหา’ ได้ยังไง คำว่า accuses ในภาษาอังกฤษนี่มันแรงเกินไป คุณไปทำการบ้านมาหรือยังว่าจริงๆ แล้วอะไรคือสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริง ทำไมคุณไม่รายงานแบบนั้นแบบนี้ ตัวอย่างนี้ก็คล้ายๆ กับกรณีที่เข้าไปโต้ยูนิเซฟเหมือนกัน คือการไปตอบโต้ว่าทำไมพวกเขาไม่ใช้วิจารณญาณตัดสินสิ่งที่มันเกิดขึ้น แล้วก็บอกว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายผิด มันมาในแนวเดียวกัน ท้ายที่สุดแล้วเราใช้พลังโซเชียลมีเดียเข้าไปเรียกร้องกลไกระหว่างประเทศนู่นนี่ให้เขาเข้าข้างเรา
แต่เราควรต้องรู้ด้วยว่าปัญหาไม่ใช่การตัดสินที่เราหรือเขมร เพราะเรื่องมันไปสู่เวทีคณะมนตรีความมั่นคงแล้ว มี 3 ชาติกระโดดเข้ามา สหรัฐฯ จีน มาเลเซียจากอาเซียน ดังนั้นอย่างน้อยที่สุด เรื่องว่าใครทำอะไรมันต้องไปพิสูจน์กัน แต่เราไปออกแรงกดดันแล้วก็ไปตำหนิติเตียน…จริงๆ ไม่อยากจะใช้คำแรงถึงขั้นว่า ‘ด่าทอ’ พวกบรรดาสื่อต่างประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศที่เขาพยายามที่จะเข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์
เรายังไปด่าคณะต่างประเทศว่าทำไมไปลงพื้นที่กัมพูชาก่อน มองว่าคนพวกนี้ไปฟังกัมพูชาก่อนแบบนี้กัมพูชาก็ได้เปรียบสิ ซึ่งจริงๆ แล้วการลงพื้นที่มันต้องไปทีละจุดถูกไหม ถ้าเขาไม่ไปกัมพูชาก่อน เขาก็ต้องมาไทยก่อน คือเราจะต้องเอาชนะคะคานกันในทุกๆ รายละเอียดเลยเหรอ ห้าบาทสิบบาทก็ต้องเอา แบบนั้นเหรอ
คนไทยรู้สึกว่าถ้าให้กัมพูชาพูดก่อน เราก็ต้องมาคอยตอบโต้เรื่องเล่าฝั่งเขาอีก
เราต้องมีความสามารถในการตอบโต้อันนี้จริง พี่เห็นด้วยแล้วก็เป็นคนหนึ่งที่เรียกร้องตั้งแต่ตอนแรกแรกว่าเราไม่ได้สื่อสารกับต่างประเทศมากพอในเรื่องนี้ แต่พอเวลาที่มันมีรายละเอียดเรื่องของการดำเนินการของต่างประเทศเพื่อรับฟังข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่การตรวจสอบ มันทำไปตามกระบวนการและขั้นตอน
อย่างเช่นคณะทูตที่ยกขบวนกันมาลงพื้นที่ชายแดน จะให้เขาแยกเป็นสองทีม ทีมหนึ่งลงไทย ทีมหนึ่งลงกัมพูชามันก็กระไรอยู่ มันควรจะเป็นทีมเดียวกันที่ฟังทั้งสองด้าน ซึ่งก็ต้องฟังทีละด้าน เขาไม่ไปที่โน่นก่อนเขาก็ต้องมาที่นี่ก่อน ทางโน้นก็ต้องด่าเช่นเดียวกัน เราพยายามจะไปบีบให้คนข้างนอกแสดงท่าทีเข้าข้างเราทุกๆ เรื่อง เราก็ไปชื่นชมยูทูบเบอร์-อินฟลูเอนเซอร์ของเกาหลีที่ออกมาเชียร์เรา แต่ในความเป็นจริงของชีวิต เราควรจะรับฟังข่าวสารหลายๆ ด้าน ไม่ควรจะเอาตัวเข้าไปอยู่ในห้องเล็กๆ แล้วก็อื้ออึงไปด้วยเสียงแบบเดียวกัน
มองปรากฏการณ์สื่อ 2 ฝั่งรายงานคนละเรื่องเล่า การให้ข่าวของไทยสู่โลกสากล และบทบาทอินฟลูเอนเซอร์ในความขัดแย้งครั้งนี้อย่างไร
สื่อภาษาอังกฤษในไทยมีอยู่ไม่กี่ราย แต่ว่าตอนหลังๆ เห็นมีหลายสื่อที่ออกข่าวเรื่องนี้เป็นภาษาอังกฤษเยอะขึ้น มันก็ดีขึ้นในแง่หนึ่งแล้ว หลายๆ แอคเคานต์ที่เป็นคนให้ข่าวสารกับประชาชนก็ลุกขึ้นมาทำภาษาอังกฤษกัน
ที่ผ่านมาสังคมไทยเราสื่อสารกันภายในค่อนข้างเยอะมากกว่าสื่อสารกับคนข้างนอก แล้วเวลาสื่อสารกับคนข้างนอกเราก็หวังพึ่งสื่อที่เป็นสื่อข้างนอกค่อนข้างเยอะ เราหวังพึ่งสื่อข้างนอกให้อธิบายตัวเราเยอะ ประเด็นก็คือการสื่อสารต่อโลกข้างนอกมันมีท่วงทำนองของมัน ซึ่งเรายังไม่เชี่ยวชาญเท่ากับชาติเพื่อนบ้านเรา พูดง่ายๆ ว่าพวกเขาคุ้นเคยมากกว่า ถึงแม้ว่ากัมพูชาจะมีสื่ออยู่ไม่กี่เจ้า แต่เขาสื่อสารแล้วมีคนได้ยิน และความที่เป็นประเทศเล็กกว่าก็ทำให้มีคนเห็นใจ
เราจะเห็นว่าสื่อของทั้งสองประเทศไม่ได้มีข้อมูลอะไรมากไปกว่าข้อมูลจากทางการ การสื่อสารออกไปสู่ประชาคมโลกจึงขึ้นอยู่กับเราสื่อสารออกไปได้เป็นเนื้อเป็นหนัง รวดเร็ว กว้างขวางครอบคลุมและแหลมคมขนาดไหน เพราะว่าท้ายที่สุดแล้วแหล่งข้อมูลหลักของเราต่างก็เป็นรัฐบาล ทั้งคู่เลย
แหล่งข้อมูลตั้งต้นของไทยล่าช้า ใช้เวลานานมากกว่ารัฐบาลไทยหรือกระทรวงการต่างประเทศจะออกมาแถลงว่าเรามีการปะทะกัน ในขณะที่กัมพูชาออกข่าวไวตั้งแต่แรก
ตัวอย่าง France 24 ที่ทำข่าวเรื่องการปะทะกันครั้งนี้น้อยมาก แต่พอออกข่าวว่าไทยโจมตีกัมพูชา มีคนอ่านเยอะมาก ซึ่งอันนี้ก็มีที่มาจากการจากการรายงานอ้างอิงฝ่ายกัมพูชา
จริงๆ แล้วสื่อควรจะออกข่าวในประเด็นนี้ประมาณว่า “ทั้งสองฝ่ายต่างก็กล่าวอ้างว่าถูกอีกฝ่ายหนึ่งโจมตี” ถ้าออกมาประเด็นแบบนี้ในตอนแรกๆ อย่างน้อยที่สุดมันยังพอเสมอๆ กันได้ แต่ว่าการที่สื่อออกข่าวตั้งแต่ตอนแรกว่าไทยโจมตีกัมพูชา อันนี้ก็สะท้อนภาพความช้าในการช่วงชิงพื้นที่ความเข้าใจในเวทีโลก ทุกคนรู้ว่าใครตีกินไปได้ตอนแรกก็จะได้เปรียบ ซึ่งเราก็ได้บทเรียนแล้วแหละ
ต่อมา รัฐบาลก็ทำได้ดีขึ้นบ้างนะ เห็นเยอะขึ้นเลยแหละ แต่ว่าสามารถที่จะอธิบายตัวเองกับต่างประเทศได้ขนาดนั้นไหม คิดว่ายังไม่ถึงขั้นนั้น แล้วยิ่งพอเรามีโซเชียลมีเดียยูสเซอร์เข้าไปทุ่มเถียง มันทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกแปลกๆ จริงอยู่มันมียูสเซอร์หลายคนที่ใช้ภาษาอังกฤษแล้วอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามสื่อสาร ซึ่งอาจจะช่วยสร้างความเข้าใจบ้าง แต่ทั้งหมดนี้มันไม่มีค่าเท่ากับการออกข่าวของรัฐบาลและการนำเสนอของสื่อ การนำเสนออย่างมีสตินะ ไม่ใช่การนำเสนอแล้วพาดหัวแบบมั่วซั่ว
ถ้าถามว่าชาวต่างประเทศต้องการความเข้าใจในเรื่องพวกนี้ไหม เขาต้องการ เราจะเห็นว่าสื่อต่างประเทศหลายราย เนื่องจากเขาไม่ได้มีข้อมูลเฟิร์สแฮนด์ (ชั้นต้น) ดังนั้นเขาก็พยายามเลี่ยงไปอธิบายเรื่องต้นกำเนิดของความขัดแย้ง ซึ่งเรื่องพวกนี้จริงๆ แล้วให้เราสามารถอธิบายได้ดี และควรจะทำด้วย
แต่เมื่อปล่อยไปจนกลายเป็นหน้าที่ของบรรดาโซเชียลมีเดียยูสเซอร์ทั้งหลายแหล่ ประเด็นก็คือ บางคนอธิบายไม่ครบถ้วน อธิบายแบบที่สถานะของตัวเองก็เป็นคู่ความขัดแย้งอยู่ การที่เราเป็นคู่ขัดแย้ง แน่นอนว่าหนึ่งเราได้รับผลกระทบ อันนี้เรียกความเห็นใจได้ แต่ในขณะเดียวกันการเป็นคู่ความขัดแย้งก็แปลว่าเราต้องเล่าเข้าข้างตัวเอง เราต้องเข้าข้างคนของเรา ซึ่งคนที่เสพข้อมูลนี้ก็จะต้องใช้เรื่องนี้ในการตัดสินข้อมูลของเราด้วย
คิดว่าโซเชียลมีเดียยูสเซอร์หลายคน ไม่ได้มองประเด็นเรื่องสเตตัสของตัวเองที่เป็นคู่ขัดแย้ง แล้วก็ไม่เข้าใจ คิดแต่ว่า เฮ้ย! ฟังเราสิ ฟังเราสิ มันไม่ง่ายแบบนั้นในโลกของการสื่อสาร ยังมีอะไรที่มากกว่านั้นที่ต้องคำนึงถึง
ขณะที่ชาวต่างชาติมีความต้องการในการที่จะรับรู้ข่าวสารข้อมูล และฝั่งไทยมีความพยายามในการที่จะสื่อสาร แต่สิ่งที่มันขาดหายไปก็คือ ‘ข่าวสารที่เป็นเอกเทศ’ หมายถึงข่าวสารที่มันไม่ได้ถูกควบคุม
อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก อาจจะเป็นเรื่องของชาวบ้านคนหนึ่งลุกขึ้นมาพูดว่าการอยู่ในพื้นที่ตอนนี้เดือดร้อนขนาดไหน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่มีคุณค่ามาก มากกว่าการที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในกรุงเทพฯ จะทวีตโดยหยิบข้อมูลของคนนั้นคนนี้มา โดยที่ไม่ได้บอกด้วยว่าแหล่งข้อมูลมาจากไหน แล้วก็คาดหวังว่าชาวโลกจะเชื่อเขา
ในโลกของการสื่อสาร หวังว่าหนนี้มันจะช่วยทำให้คนเข้าใจธรรมชาติเหล่านี้มากขึ้นกว่าเดิม เราจะเข้าใจว่าเราควรวางสถานะตัวเองยังไงเวลาที่เราสื่อสารในเรื่องความขัดแย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความขัดแย้งที่เราเป็นคู่ความขัดแย้งนั้นด้วย
คนเสพข่าวก็มีข้อมูลจำกัด คุณไปเห็นเหรอตรงนั้นที่เขายิvกัน แน่นอนเราไว้ใจคนชาติเดียวกัน แต่คนอื่นเขาไม่ได้ไว้ใจอย่างคุณ แล้วเวลาที่คุณเขียนออกไป คนอื่นเขาก็จะบอกว่า อ๋อ คุณพูดอย่างงี้ได้สิ เพราะว่าเป็นพวกเดียวกัน ดังนั้นน้ำหนักของข้อมูลข่าวสารมันอยู่ที่วิธีการนำเสนอ และระยะห่างระหว่างเรากับตัวข้อมูลนั้น
ถ้าเราอยากจะแสดงความรักชาติก็แสดงความรักชาติด้วยการสนับสนุนเจ้าหน้าที่ในเรื่องนั้นเรื่องนี้อะไรก็ว่าไป แต่ว่าถ้าจะสื่อสาร ถ้าเป็นอินฟลูเอนเซอร์อยากจะสื่อสาร ควรสื่อสารเรื่องความเดือดร้อน เรื่องการเรียกร้องให้แก้ปัญหา พี่คิดว่ามีคุณค่ามาก แต่ว่าการสื่อสารประเภทไปด่าองค์กรระหว่างประเทศว่าคุณเข้าข้างกัมพูชา คุณไม่เข้าข้างไทย อะไรต่างๆ เหล่านี้ไม่ใช่การสื่อสารที่จะช่วยทำให้เกิดความสร้างสรรค์ทั้งในสังคมของตัวเองและต่อภาพลักษณ์ของคนไทย
อินฟลูเอนเซอร์ก็มีหลายแบบ กรณีอินฟลูเอนเซอร์ที่มี ‘ความใกล้ชิดกับหน่วยงานความมั่นคง’ ถ้ามองในมุมคนเสพข่าว มีหลักอะไรที่เราควรพิจารณาบ้าง
พี่คิดว่าท้ายที่สุดแล้วในฐานะคนรับสาร เราต้องพยายามดึงส่วนที่เป็นข้อมูลออกมา เวลาที่พูดแบบนี้กับคนที่เป็นนักข่าว นักข่าวจะเข้าใจใช่ไหม เพราะว่าโดยอาชีพสื่อ อย่างสมมติว่าเวลาที่มีคนด่าๆๆๆ กันไปมา เราก็ต้องรู้ว่าในคำด่านั้นมันมีข้อเท็จจริงแฝงอยู่ในเรื่องอะไรบ้าง อะไรคือสิ่งที่จะต้องตามต่อ
อินฟลูเอนเซอร์หลายๆ แอคเคานต์ที่มีความใกล้ชิดกับ actor มันก็ไม่จำเป็นว่าพวกเขาจะต้องมอมเมาสังคมเสมอไป ใช้คำว่า ‘มอมเมา’ อาจจะแรงไปหน่อย เพราะว่าอย่าลืมว่าเขาก็จะต้องเผยแพร่ในสิ่งที่เขาได้รับรู้มา มันก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของเขาว่าเขาจะนำเสนอแบบไหน
ดังนั้นเราก็ต้องจัดหรือพิจารณาน้ำหนักของข้อมูลนั้นด้วยระยะ วิธีการวางตัวของเขา ท่วงทำนองในการนำเสนอ ตัวอย่างคือ มีอินฟลูเอนเซอร์บางแอคเคานต์ที่ใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ความความมั่นคง เขาอธิบายหลายอย่างจากมุมมองของเจ้าหน้าที่ความมั่นคง แต่มันเป็นการอธิบายในท่วงทำนองที่ไม่ได้ด่ากราดเกรี้ยว ไม่ได้พยายามดันอารมณ์ของสังคม การพยายามแบบนำเสนอแบบนี้มันมีคุณค่าโดยตัวของมันเอง ต่อให้มันเป็นข้อมูลที่อิงอยู่กับด้านเดียวก็ยังมีคุณค่าอยู่
ไม่มีอินฟลูเอนเซอร์ที่ไหนหรอกที่สามารถมีข้อมูลที่ครอบคลุมได้ทุกด้าน เพราะว่าพวกเขาไม่ได้มีทุนทำงานเหมือนสื่อ สื่ออุทิศตัวเองให้กับการทำข้อมูลทุกอย่าง มีหลักคิดมีวิชาชีพในการกรองข้อมูลและหาข้อมูลให้รอบด้าน จะต้องมีข้อมูลฝ่ายตรงข้ามเข้ามาด้วย แต่อินฟลูเอนเซอร์เขาก็คิดอีกแบบหนึ่ง
แต่ถึงกระนั้น อินฟลูเอนเซอร์ที่ใกล้ชิดกับแหล่งข้อมูล ถ้าเขามีวิธีการนำเสนอที่ดี สามารถมีแหล่งอ้างอิงที่ดีได้ รวมทั้งเขาไม่ดันอารมณ์ของสังคม ไม่ส่งเสริมการใช้เฮดสปีช ก็คิดว่าอินฟลูฯ กลุ่มนี้ก็ยังมีคุณค่าในการที่เราจะเข้าไปเสพข้อมูลของเขา
แต่สิ่งสำคัญท้ายที่สุดคือ เราทุกคนในสังคมไม่ควรจะเชื่ออะไรง่ายเกินไป นอกจากนั้นส่วนที่สำคัญพอกันก็คือ เราไม่ควรจะพูดอะไรง่ายเกินไปด้วย สิ่งที่เราพูดออกไปผ่านแอคเคานต์ของเราในโซเชียลมีเดียมันก็เข้าไปอยู่ในโลกของการสื่อสาร ยิ่งใช้ภาษาต่างประเทศยิ่งจำเป็นที่จะต้องกรองตัวเองแล้วก็ระมัดระวัง
มองปรากฏการณ์ในโลกแห่งการสื่อสารตอนนี้อย่างไร
ปรากฏการณ์ที่มันเกิดขึ้นในโลกของการสื่อสารตอนนี้ เราต้องถามตัวเองว่าเราบอกได้จริงแท้แน่นอนแค่ไหนว่าคนไทยโดยทั่วไปคิดยังไงกับเรื่องนี้ พี่เชื่อว่ายังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่เสพข่าวเสพสื่อเสพโซเชียลแต่ไม่ได้ใช้มันในการสื่อสารความคิดของตัวเอง
อย่างเมื่อวานนี้ ไปเจอแม่ค้าคนหนึ่งซึ่งมาจากภาคเหนือ จังหวัดลำพูน ในงานที่เอาสินค้าจากลำพูนมาขายที่กรุงเทพฯ จริงๆ ก็ไม่รู้หรอกว่ามีงานนี้ บังเอิญไปเดินเจอและก็ไปดูของ ได้คุยกับแม่ค้าเขาบอกว่า จริงๆ แล้วจะมีแม่ค้ามาประมาณ 30 กว่าราย แต่ท้ายที่สุดแล้วมาได้สักครึ่งหนึ่ง เพราะว่าที่เหลือประสบภัยน้ำท่วมมาไม่ได้
อันนี้เป็นประเด็นอันหนึ่งที่น่าสนใจมากว่า ข่าวเรื่องน้ำท่วมเช่นเดียวกันกับข่าวปัญหาหนักๆ มันถูกบดบังไปใช่ไหม เขาบอกว่าคนเดือดร้อนกันมากเลย สภาพค่อนข้างสาหัส เราก็แลกเปลี่ยนสถานการณ์กัน เขาบอกว่าเขามาที่นี่ก็ไม่ได้ขายได้ดีมาก ขายได้นิดๆ หน่อยๆ แต่ว่าขายได้นิดหน่อยก็ยังดีกว่าขายไม่ได้เลย ปัญหาเศรษฐกิจถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพวกเขา
เขาเป็นคนหนึ่งที่มีความรู้สึกว่าความขัดแย้งหนนี้เกิดจากผลประโยชน์ส่วนตัว เขารู้สึกว่ามันแย่ เพราะว่าไม่มีคนสนใจประเด็นการทำมาหากิน มันก็สะท้อนว่าสังคมไทยมีปัญหาหลายด้านที่ต้องการความใส่ใจ ซึ่งมันอาจจะมีประชาชนทั่วๆ ไปที่เป็นคนกลุ่มแบบนี้อยู่ ที่เสียงของเขาจะไม่ได้ดังมาก
จำได้ว่าช่วงต้นๆ ของเหตุการณ์ปะทะ มีเพื่อนหลายคนที่มีภูมิลำเนา มีครอบครัวอยู่อีสาน โพสต์ว่าอยากให้มีความสงบ แต่ว่าโดนทัวร์ลง ทั้งหมดนี้พูดง่ายๆ ว่ามันเกิดความโกรธเกรี้ยวกันจนกระทั่งไม่ยอมให้มีการแสดงความเห็นที่แตกต่าง ไม่ยอมให้มีการพูดถึงปัญหาอื่นที่มันจะไปด้อยค่าความเร่งรัดในการตอบโต้เขมร ทุกคนต้องพุ่งเป้าไปที่เดียวกัน ถ้าคุณไม่พุ่งเป้าไปที่นี่ แปลว่าคุณไม่รักชาติ ซึ่งมันไม่ใช่ไง ผู้คนรักชาติในวิถีทางที่ต่างกันใช่ไหม ชีวิตนี้มันมีอีกหลายด้านด้วยที่ต้องนำมาพิจารณา
น่าเห็นใจหลายๆ คนที่พยายามจะแสดงความเห็นที่แตกต่าง อยากจะพูดถึงแง่มุมที่แตกต่าง เสียงเหล่านี้ที่อยากจะรั้งสติของสังคมมันก็ไม่ค่อยออกมา หรือออกมาอย่างระมัดระวังตัวเอง แบบตัวลีบมาก มีความหวาดกลัวมากเลยว่าจะถูกทัวร์ลง
เราก็เลยไม่รู้ว่าบางคนที่แสดงความเห็นออกมา เขาแสดงความเห็นด้วยความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ หรือว่าแสดงความเห็นเพราะรู้สึกว่าเจอแรงกดดันของสังคมแล้วฉันจะต้องพูดจาแบบนี้ รวมทั้งนักการเมืองบางส่วนด้วย เพราะว่าท้ายที่สุดแล้วการแสดงท่าทีที่มันไม่ไปกับกระแสใหญ่ ทัวร์ก็จะมาลง จริงๆ แล้วเราก็ยังชื่นชมอินฟลูเอนเซอร์หลายคนที่ตอนแรกๆ ออกมาเตือนสติสังคม ว่าอย่าไปทำร้ายคนกัมพูชาที่เข้ามาทำงานในเมืองไทย หรือ การที่โรงพยาบาลประกาศไม่รับรักษาคนกัมพูชา ในแง่หลักสิทธิมนุษยชนมันไม่ควรทำ หมอก็ต้องรักษาทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
ถามว่าเราเดือดร้อนรำคาญใจ (จากความขัดแย้งหนนี้) ไหม ก็เดือดร้อนรำคาญใจกันแหละ ดังที่ผู้คนก็รู้สึก แต่เรื่องเหล่านี้ต้องพูดกัน แล้วมันก็เป็นอะไรที่นอกเหนือไปกว่าการจัดวางตำแหน่งเมืองไทยให้ได้เปรียบในเวทีระหว่างประเทศ เพราะมันเป็นเรื่องของความเป็นมนุษย์
ท้ายที่สุดแล้ว เราต่างก็เป็นมนุษย์ ลองคิดดูสิว่าถ้าคนที่เจ็บป่วยเป็นคนไทยอยู่ฝั่งกัมพูชา แล้วทางกัมพูชาบอกว่าเราไม่รับรักษาคุณ มันก็เป็นความเจ็บปวดใช่ไหม ต้องคิดเรื่องเรื่องเหล่านี้ให้มากไปกว่าที่เห็นฉากหน้า ตัวพี่เองก็ไม่ได้เป็นคนที่มีมนุษยธรรมเหนือล้ำกว่าใคร หรือมีจริยธรรมศีลธรรมเหนือกว่าใคร แต่ถ้าเราจะเดินเข้าไปสู่เวทีสากลแล้วต้องการการยอมรับ เราต้องเข้าใจหลักคิดสากลเหล่านี้
เหมือนกับที่เรารู้ว่าเรามีอาวุธที่เหนือกว่ากัมพูชาก็จริง แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เราจะไปไล่ทิ้งsะเบิดไปทั่วในประเทศเขาได้ เราเดือดร้อนเรื่องที่เขาโจมตีพลเรือน เราก็ไม่ควรจะสนับสนุนส่งเสริมให้ทหารไทยเอาเครื่องบินไปทิ้งsะเบิดประชาชนของเขา หรือว่าโจมตีผู้นำของเขา เพราะอะไรเหล่านี้มันจะกลายเป็นการพยายามไปโค่นล้ม regime หรือว่าโค้นล้มรัฐบาลเขา เราถึงต้องมีการย้ำกันตลอดมาว่าการใช้กำลังของไทยมันต้องสมเหตุสมผลในแง่ของหลักการป้องกันตัวเอง
แต่ว่าคนไทยจำนวนมากที่โกรธแค้นเขมรไม่ได้คิดแบบนี้ คิดแต่ว่าเราจะต้องตอบโต้เขมรให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ไปเที่ยวไล่ทำร้ายเขมรบ้าง ไปยุว่าทหารต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ จัดการมันให้หมด ท้ายที่สุดแล้วต้องช่วยกันเอาอารมณ์แบบนี้ลง แล้วก็ปลูกฝังสติในสังคม
มีคนตั้งข้อสังเกตว่าบรรดาปัญญาชนหรือหัวก้าวหน้าในฝั่งกัมพูชาเองที่มีจุดยืนต่อต้านฮุนเซน ก็อินกับชาตินิยมและหันมาด่าไทยมากเหมือนกัน
ตอนนี้มันเป็นภาวะที่แปลกประหลาดเนาะ ชาตินิยมขึ้นทุกที่เลย ลักษณะของของความขัดแย้งก็ทำให้ต่างฝ่ายต่างอยู่ในพื้นที่เฉพาะของตัวเอง ได้รับข่าวสารเฉพาะของตัวเองเช่นเดียวกัน เรื่องการแย่งชิงสิ่งที่มันเป็นโบราณสถานรวมทั้งดินแดนเป็นเรื่องเก่า มีมานานแล้ว แต่ว่ามันยังเป็นประเด็นอยู่ทั่วโลกที่ทำให้คนเลือกข้างได้อย่างรุนแรง
พี่ก็ไม่มีความเห็นพิเศษอันใดกับปัญญาชนฝั่งกัมพูชา มีความรู้สึกแต่ว่าพวกเขาก็ตกอยู่ในสถานะใกล้เคียงกันกับทางฝั่งไทยเหมือนกัน รู้สึกว่าท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็สนับสนุนประเทศของตัวเอง หรือถ้าจะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลก็วิพากษ์วิจารณ์ในทางที่ว่าคุณยังไม่ได้ทำอะไรเพื่อที่จะให้ประเทศตัวเองได้เปรียบในการช่วงชิงพื้นที่ความเข้าใจในเวทีโลก เป็นธีมหลักเลยของทั้งสองประเทศเลย
เราอ่านดูพวก commentary ในหนังสือพิมพ์กัมพูชาก็อาการประมาณแบบนี้ หรือก็เป็นไปได้ด้วยว่าคนที่เขามีความเห็นต่างไป เขาก็ไม่กล้าแสดงความเห็น ทั้งสองซีกแหละ อันนี้ก็เป็นไปได้ด้วยเช่นเดียวกัน
แนวโน้มของการนำเสนอข่าวเรื่องในเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชาหลังจากนี้ไป จะเหมือนหรือว่าต่างกับชายแดนใต้อย่างไร
ความขัดแย้งชายแดนใต้ actor คือกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ได้เปิดหน้า ไม่ได้ประกาศตัวอย่างเต็มที่ ไม่ได้มีการออกมาให้ข่าวสารตอบโต้รัฐ สมมติว่าถ้ามีการยิvกัน มันจะเป็นจุดย่อยๆ ตรงนั้นตรงนี้ เกิดขึ้นได้ทั่วไปในชุมชน แต่ไม่มีจุดไหนที่ยิvกันยาวนานและกินพื้นที่กว้างเหมือนกับกรณีชายแดนไทย-กัมพูชา
ความขัดแย้งชายแดนใต้ จริงๆ แล้วเป็นคนละอย่างกันกับความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา แต่มีบางอย่างที่ใกล้เคียงกันคือในเชิงของการข่าว เช่น พื้นที่ปะทะ ที่สื่อเข้าไม่ถึง ด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัยเรื่องหนึ่ง อีกเรื่องคือพอเข้าไปแล้วก็จะกลายเป็นภาระให้เจ้าหน้าที่
ถามว่ามีข้อมูลไหม มี เจ้าหน้าที่ก็จะบอกเราว่ามีการปะทะกันตรงจุดนั้นจุดนี้ มีผู้เสียชีวิตเท่าไร แต่ว่ากรณีนี้ก็คล้ายๆ กับกรณีกัมพูชา สมมติว่าเราไม่เชื่อทหาร ไม่เชื่อเจ้าหน้าที่ แล้วมีใครที่คุณจะสามารถพึ่งได้ไหม ก็ไม่มี เพราะท้ายที่สุดก็จะมีเฉพาะกลุ่มที่ปะทะกับเจ้าหน้าที่ พวกเขาก็ไม่ออกมาแถลงอะไร ส่วนใหญ่เขาเงียบ มันจึงเป็นพื้นที่บอดในแง่ของข่าวสารที่เป็นอิสระ ซึ่งส่งผลต่อการรับสารของสังคมโดยทั่วไป
ตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมาที่มีความขัดแย้งสามจังหวัดภาคใต้ มีคนพูดประเด็นเรื่องของข้ออ่อนด้อยในแง่ของการสื่อสารประเด็นเรื่องสามจังหวัดออกมาเป็นระยะๆ มีงานศึกษาของของนักวิชาการ แม้กระทั่งคนในพื้นที่เองก็พูดเรื่องนี้เยอะ มีความพยายามในการที่จะสร้างสรรค์สื่อที่เป็นทางเลือกในพื้นที่ขึ้นมาก็เพราะประเด็นเรื่องพวกนี้ด้วยเช่นเดียวกัน แต่ท้ายที่สุดแล้ว ข้อจำกัดบางข้อมันไม่สามารถที่จะลบได้ เช่นการขาดข้อมูลที่เป็นอิสระจากพื้นที่การปะทะ ซึ่งมันก็เกิดขึ้นในกรณีของไทยแล้วก็กัมพูชาด้วย เสมือนว่าเราไม่ได้สรุปบทเรียนจากปัญหาการสื่อสารในพื้นที่ความขัดแย้งที่มีอยู่แล้วในประเทศ
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )