
สภาผู้บริโภคชี้แจงต่อวุฒิสภา กิจการโทรคมนาคมเข้าสู่ยุคผูกขาด ผลักค่าโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตแพงหลังควบรวม ค่าบริการเติมเงินสูงขึ้น 100 บาทต่อเดือน แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตพุ่ง 191 บาทต่อเดือน เสนอแก้ไขกฎหมาย กสทช. ปลดกรรมการ กสทช.ไร้คุณภาพได้
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า ปัญหาการให้บริการในกิจการโทรคมนาคมที่กระทบต่อผู้บริโภคกว่า 60 ล้านคน จากหลายกรณีประเด็นค่าบริการพุ่ง ผู้บริโภคกระเทือนหนัก ทั้งการให้บริการโครงข่ายที่ครอบคลุมเพียง 90% ของประเทศ และปัญหาเรื่องราคาค่าบริการของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่ไม่ได้ปรับลดลงภายหลังควบรวม ทำให้ที่ประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 7 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่หนึ่ง) มีเสียงจากสมาชิกวุฒิสภา เข้ามาสอบถามความคืบหน้ากับสภาผู้บริโภคในประเด็นเรื่องการควบรวมกิจการโทรคมนาคม
เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2568 นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า จากการติดตามกรณีการควบรวมกิจการของกลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น หรือ ทรู และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) ในช่วงปลายปี 2565 เป็นการควบรวมกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ต่อมาครั้งที่สองช่วงปลายปี 2566 เป็นการควบรวมกิจการของ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค หรือ เอดับบลิวเอ็น (AWN) ในเครือ แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ เอไอเอส กับ บริษัท ทริปเปิลทรี บรอดแบนด์ จำกัด หรือ 3บีบี (3BB) ซึ่งเป็นกิจการของบริการอินเทอร์เน็ตบ้าน หรืออินเทอร์เน็ตประจำที่
โดยสภาผู้บริโภคได้ติดตามทั้งข้อร้องเรียนมาที่สภาผู้บริโภค การร้องเรียนตามสื่อสาธารณะต่าง ๆ รวมถึงมอบหมายให้หน่วยงาน สถาบันวิชาการติดตามผลกระทบจากการควบรวมทั้งสองกรณีพบว่า ค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่ได้ลดลง 12% ผู้บริโภคไม่มีทางเลือกจากการมีเพียง 2 ค่าย รวมถึง การที่ได้มีการแก้ไขกฎหมาย กสทช. ก่อนหน้านี้ ในปี 2562 มีผลทำให้ไม่สามารถยื่นถอดถอนกรรมการ กสทช. ที่มีแนวโน้มเอื้อผลประโยชน์กลุ่มทุน ไม่คุ้มครองประโยชน์สาธารณะได้
จากการตรวจสอบกรณีแรกคือการควบรวมระหว่าง ทรู และ ดีแทค ในช่วงปลายปี 2565 โดย กรรมการ กสทช. มีมติเพียงรับทราบและกำหนดเงื่อนไขมาตรการในการกำกับดูแลไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภค แต่มาตรการสำคัญ อาทิ เมื่อควบรวมกิจการแล้วต้องให้ค่าบริการเฉลี่ยลดลง 12% พร้อมต้องว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาที่เป็นกลางและให้บริษัทควบรวมกิจการต้องจ่ายงบประมาณให้ กสทช. ดำเนินการ แต่ผ่านจนถึงปี 2568 กรรมการกสทช. ยังไม่สามารถบังคับใช้เงื่อนไขดังกล่าวได้
ทั้งนี้ ยังรวมถึงการที่สำนักงาน กสทช. ต้องทำรายงานการตลาดโทรคมนาคมแห่งชาติเป็นประจำปี แต่ปัจจุบันยังไม่มีรายงานออกมา ขณะเดียวกันผู้บริโภคทั้งใช้ผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตไม่มีทางเลือกในการใช้บริการ เนื่องจากกิจการที่มี 2 ค่ายใหญ่เข้าข่ายการผูกขาด ผู้บริโภคจึงมีสภาพไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือ และขาดอำนาจในการต่อรอง
สำหรับกรณีที่สองอัตราค่าบริการและคุณภาพบริการเปลี่ยนไปในแบบด้อยค่าลง จากปัจจุบันมีคนใช้มือถือไม่ต่ำกว่า 116 ล้านเลขหมาย และมีลูกค้าแบบเติมเงินที่เป็นกลุ่มใหญ่สุดในการใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งมีรายได้ไม่มากนัก แต่กลุ่มลูกค้าแบบเติมเงิน 80% มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยกว่า 100 บาท/เดือน ค่าบริการรายเดือนขยับขึ้นจาก 300 บาท เป็น 400-500 บาท/เดือน ส่วนค่าใช้จ่ายอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยค่าอินเทอร์เน็ตบ้าน ที่เคยมีการใช้บริการแบบไม่จำกัด 100 บาทหายไป ส่วนแพ็กเกจใหม่ปรับขึ้นมาที่ 191 บาท หรือเกือบ 200 บาท ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นกลุ่มฐานใหญ่ที่มีรายได้ไม่มากนัก ราคาแพ็กเกจสูงสุดถึง 599 บาท แต่คุณภาพสัญญาณอินเทอร์เน็ตของค่ายที่มีการควบรวมมีแนวโน้มลดลง
“กสทช. ได้มีการเปิดให้ประมูลคลื่นความถี่ในปี 2568 สภาผู้บริโภคได้ขอให้ทบทวนและขอให้คุ้มครองราคา แต่เสียงไปไม่ถึงการดำเนินการของ กสทช. อีกทั้งการประมูลคลื่นความถี่ทำให้ 2 บริษัทใหญ่ได้รับสิทธิ์ใบอนุญาต รวมถึงการประมูลคลื่นความถี่ที่ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานของอุตสาหกรรม ควรสร้างผลประโยชน์ต่อประชาชน ทั้งด้านค่าบริการและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แต่ยังไม่พบจากการดำเนินการของ กสทช. หรือ คณะกรรมการ กสทช. มากนัก” นายอิฐบูรณ์ ระบุ
ขณะเดียวกันสภาผู้บริโภคได้จัดทำข้อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ในเรื่องบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที (NT) ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้น เอ็นที จึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญทำให้รัฐสามารถสร้างดุลอำนาจต่อรองในการให้บริการโทรคมนาคม แต่ในปัจจุบันไม่เห็นนโยบายของเอ็นทีในการประกอบการกิจการโทรคมนาคม ทั้งด้านบริการสาธารณะหรือความมั่นคงแห่งชาติ
อย่างไรก็ตาม จากปัญหาต่าง ๆ ทั้งหมด จะเห็นได้ว่าขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่กำหนดว่าคลื่นความถี่เป็นสมบัติแห่งชาติ โดยมี กสทช. ทำหน้าที่กำกับดูแลจัดสรรคลื่นความถี่ ให้เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่การแก้ไขกฎหมาย กสทช. ในปี 2562 ได้มีการตัดทอนอำนาจในการตรวจสอบ อำนาจในการถอดถอน กสทช. ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยขาดประสิทธิภาพและไม่มีการคุ้มครองผู้บริโภค
อีกทั้งกฎหมายในปัจจุบัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ไม่สามารถรวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอต่อประธานวุฒิสภาให้พิจารณาถอดถอนตำแหน่ง กสทช. ทั้งคณะหรือรายใดรายหนึ่ง รวมถึงประชาชนไม่สามารถรวบรวม 10,000 รายชื่อเสนอชื่อต่อประธานวุฒิสภาและยังมีประเด็นร้อนที่ประธาน กสทช. อาจขาดคุณสมบัติตั้งแต่เริ่มดำรงตำแหน่งที่ยังมิได้มีการถอดถอนจนถึงปัจจุบัน จากความไม่ชัดเจนและยังไม่มีผู้ใดที่สามารถนำเสนอทูลเกล้าฯ ถอดถอนต่อ กสทช. ได้ ทำให้ปัญหาการขาดประสิทธิภาพในการคุ้มครองผู้บริโภคยังไม่ยุติลงมาจนถึงปัจจุบัน
ท้ายที่สุด สภาผู้บริโภค มีความเห็นว่าต้องแก้ไขกฎหมาย กสทช. อย่างเร่งด่วน เพื่อทำให้ตัวแทนประชาชน โดยวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประชาชนโดยตรงสามารถตรวจสอบหรือ ถอดถอน กสทช. ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยขาดประสิทธิภาพ พร้อมดูแลไม่ให้ กสทช. กลายเป็นองค์กรอิสระ ที่ปราศจากการกำกับดูแลของรัฐและประชาชนโดยสิ้นเชิง รวมดูแลทำให้สมบัติของชาติ ทั้งคลื่นความถี่และวงโคจรดาวเทียม ไม่ให้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลการครอบงำของกลุ่มทุนต่าง ๆ โดยที่ประเทศชาติไม่สามารถแก้ไขได้
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )