
พบหลักฐานชี้รัสเซียล้มเหลวในการรักษาทหารที่มีภาวะป่วยทางจิตรุนแรงหลังร่วมรบในสงคราม

ที่มาของภาพ : AFP
Article Recordsdata
-
- Creator, โซเฟีย โวเลียโนวา
- Honest, บีบีซี แผนกภาษารัสเซีย
“ทหารส่วนใหญ่ไม่อยากเข้ารับการบำบัด” ทาเทียนา (นามสมมติ) นักจิตวิทยาอาสาที่ทำงานกับโครงการ “แฟมิลี เฮิร์ธ” (Family Fire) เล่าให้ฟัง
สำหรับโครงการแฟมิลี เฮิร์ธนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลรัสเซีย
พวกเขามักจะบอกว่าเธอไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาได้รับมาหรอกเพราะไม่ได้มาอยู่ในแนวหน้าด้วย หรือไม่พวกเขาก็กังวลว่าเธออาจรับไม่ได้เมื่อได้ฟังประสบการณ์ของพวกเขา ทาเทียนาบอกกับบีบีซี แผนกภาษารัสเซีย โดยเธอเล่าต่อว่า แทนที่พวกเขาจะเข้ามารับคำปรึกษา แต่กลับเลือกที่จะไปดื่มสุรากับเพื่อน ๆ แทน
ทั้งนี้ มีการประเมินว่า ทหารรัสเซียหลายพันคนกลับจากแนวหน้าของการสู้รบในยูเครนพร้อมปัญหาสุขภาพจิต รวมถึงภาวะเครียดภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนขวัญ หรือ พีทีเอสดี (put up-demanding stress disorder – PTSD)
แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตหลายคนระบุว่า ในช่วงเวลาสามปีครึ่งตั้งแต่รัฐบาลรัสเซียเปิดการรุกรานอย่างเต็มรูปแบบ เจ้าหน้าที่ทางการกลับล้มเหลวในการสร้างระบบสนับสนุนทางด้านจิตใจให้กับทหารผ่านศึกอย่างมีประสิทธิภาพ
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด
of ได้รับความนิยมสูงสุด
เช่นที่ทาเทียนาอธิบายว่า การผลัดเปลี่ยนคืนสู่ชีวิตอันสงบสุขของพลเรือนธรรมดาอาจกระตุ้นให้เกิดความก้าวร้าวอย่างไม่สามารถควบคุมได้ในทหารผ่านศึกบางคนได้
“เพื่อนของฉันมีผู้ป่วยในการดูแลที่เข้าไปในร้านกาแฟแล้วก็เริ่มทำร้ายร่างกายลูกค้าหลายคนในร้าน เพียงเพราะพวกเขานั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ” เธอกล่าว “มันคือ ความสับสนในตัวเองเช่นนี้ ที่นี่ฉันเป็นคนดี มีจิตใจเมตตา แต่ที่นั่นฉันได้ฆ่-าคนไปทั่ว”
เธอยังย้อนความหลังเล่าถึงตอนที่เธอได้ทำงานกับผู้บัญชาการคนหนึ่งที่สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชานั่งอยู่ในหลุมหลบภัยหลายวันโดยไม่มีอาหารและน้ำ ซึ่งเป็นวิธีการที่เขาอ้างว่าจำเป็นต่อการฝึกฝนระเบียบวินัย
“เมื่อเขาได้กลับบ้านไปหาครอบครัว เขาถามตัวเองว่า “คุณพระ ที่ผ่านมาผมปฏิบัติต่อเด็ก ๆ เหล่านี้อย่างไร”
ทาเทียนาเล่าว่า ตลอดระยะเวลาหนึ่งปี มีเพียงทหารแปดนายเท่านั้นที่เข้ามาหาเธอเพื่อขอรับการบำบัดทางจิตใจ และในจำนวนนี้ส่วนมากก็ยอมแพ้ในท้ายที่สุดและหันไปพึ่งพาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แทน
“พวกเขาคือบุคคลอันตราย”

ที่มาของภาพ : AFP
รัฐบาลรัสเซียไม่ได้เปิดเผยตัวเลขปัจจุบันของทหารเข้าร่วมในการสู้รบ
อย่างไรก็ตาม ในเดือน ธ.ค. 2023 ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ระบุว่า มีทหาร 617,000 นาย ไปประจำการอยู่ในแนวหน้า ก่อนที่ในปีต่อมาจะมีการส่งทหารไปเพิ่มอีก 490,000 นาย
ข้อมูลจากศูนย์จิตเวชศาสตร์เบคเทเรฟ(Bekhterev Centre of Psychiatry) ของรัสเซีย คาดว่ามีราว 3-11% ของทหารที่มีประสบการณ์จากการปฏิบัติการในแนวหน้าที่เผชิญกับภาวะพีดีเอสดี (PTSD)
และในกรณีที่มีอาการบาดเจ็บสาหัสร่วมด้วย แนวโน้มของการมีภาวะดังกล่าวก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็น 14-17% จากข้อมูลของทางศูนย์ฯ
ตั้งแต่ที่การรุกรานยูเครนอย่างเต็มรูปแบบเริ่มต้นขึ้น กระทรวงสาธารณสุขได้จัดตั้งสำนักงานให้คำปรึกษาทางการแพทย์และทางจิตวิทยาประมาณ 2,700 แห่งทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนด้านสุขภาพจิตของทหารผ่านศึกและครอบครัวของพวกเขา โดยมีการสนับสนุนจากโครงการที่ได้รับทุนจากรัฐด้วยเช่นกัน รวมถึงเครือข่ายอาสาสมัครบางแห่ง
แต่ความพยายามเหล่านี้ยังไม่เพียงพอ และศูนย์ต่าง ๆ ที่ให้การช่วยเหลือทางจิตวิทยา หากไม่เล็กไปก็มีเจ้าหน้าที่น้อยไป จากการเปิดเผยของยานา (นามสมมติ) นักจิตวิทยาที่ทำงานให้กับสำนักงานให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาแห่งหนึ่ง
ยานามีแนวความคิดต่อต้านการรุกรานยูเครน และเดิมทีเธอก็เชื่อว่ามันยากที่เธอจะทำงานกับบรรดาผู้ชายที่มีส่วนในการสู้รบ แต่ท้ายที่สุดแล้วเธอรู้สึกว่า การช่วยเหลือของเธอสร้างประโยชน์ต่อสังคมได้
“พวกเขาเป็นบุคคลอันตราย และฉันสามารถทำให้พวกเขาอันตรายน้อยลง” เธอบอกกับบีบีซี แผนกภาษารัสเซีย
แต่เธอก็บอกว่ายังมีความท้าทายอื่น ๆ อาทิ การปฏิบัติงานภายใต้สภาพแวดล้อมที่ถูกกดทับมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ใด ๆ ก็ตามที่เกี่ยวกับ “ปฏิบัติการพิเศษทางการทหาร” ของรัฐบาลรัสเซียเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ทั้งนักบำบัดและผู้ป่วยจึงมักกลัวเกินกว่าที่จะเปิดอกคุยกันอย่างเปิดเผย
“พวกเราทั้งหมดกลัวที่จะพูดมันออกมา” ยานากล่าว “หากคุณไปพูดกับใครซักคนที่ไม่เห็นด้วยกับคุณ มันอาจจะหลุดออกไป บางคนอาจจะรายงานเรื่องคุณก็ได้ และนั่นแหละ ชีวิตของคุณก็จะถูกทำลาย”
เธอหวนรำลึกถึงความหลังให้ฟังว่าผู้ที่เข้ามาพบบางคนก็ทดสอบเธอระหว่างการให้คำปรึกษา โดยพูดเกี่ยวกับสงครามด้วยท่าทีสบาย ๆ และสังเกตปฏิกิริยาของเธอ
ยานาระบุว่า พลเมืองที่เข้ามาบำบัดกับเธอมีน้อยคนมากที่สนับสนุนสงครามอย่างเปิดเผย ส่วนใหญ่ต้องการให้มันจบลงมากกว่า
อาชญากรที่ถูกตัดสินว่ามีความผิด

ที่มาของภาพ : AFP
เมื่อรัสเซียเปิดการรุกรานยูเครนอย่างเต็มรูปแบบในปี 2022 ไม่เพียงแต่ทหารมืออาชีพเท่านั้นที่ถูกส่งไปยังแนวหน้า แต่ยังรวมถึงอาชญากรที่ถูกตัดสินว่ากระทำความผิดซึ่งตกลงจะร่วมรบเพื่อแลกกับการลดโทษ
หลายคนเข้ามาผ่านทางกลุ่มทหารรับจ้างแวกเนอร์ (Wagner) ที่ก่อตั้งโดยเยฟกินี พริโกซิน ผู้ล่วงลับ
นักโทษเหล่านี้ได้รับสัญญาว่าจะมีการผ่อนปรนและอภัยโทษให้อย่างเต็มที่เพื่อแลกกับการเข้ารับราชการในการสู้รบเป็นเวลาหกเดือน โดยจากข้อมูลของพริโกซินเอง มีผู้ต้องขังราว 50,000 คนที่ลงทะเบียนเข้าร่วม
ทว่าในเดือน ม.ค. 2024 บทบาทการสรรหาคนของกลุ่มแวกเนอร์ก็ลดลง และกระทรวงกลาโหมของรัสเซียก็เข้ามารับช่วงต่อ จากนั้นเงื่อนไขก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยนักโทษที่อาสาเข้าร่วมรบ ณ ตอนนี้ต้องรับใช้ชาติตลอดระยะเวลาของสงคราม
ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ถูกตัดสินว่ากระทำผิดหรือไม่ก็ตาม ทหารส่วนใหญ่ในตอนนี้ก็ถูกล็อกอยู่ในสัญญาที่ไม่ระบุวันสิ้นสุดสัญญาหรือเป็นสัญญาแบบปลายเปิด นับตั้งแต่มีการประกาศระดมพลในเดือน ก.ย. 2022 การรับราชการทหารในรัสเซียก็เกิดขึ้นอย่างไม่จำกัด การปลดประจำการจะเกิดขึ้นเฉพาะในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส อายุเยอะมากแล้ว หรือมีความผิดทางอาญาใหม่เท่านั้น และบรรทัดฐานนี้ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาขึ้นเรื่อย ๆ
การสืบสวนโดยสื่ออิสระ “เวิร์สทกา” (Verstka) พบว่ามีกว่า 242 คนถูกสังหาร และอีก 227 คนที่ได้รับบาดเจ็บจากอาชญากรรมที่ก่อโดยทหารผ่านสงคราม ระหว่างเดือน ก.พ. 2022 ถึง ส.ค. 2024 โดยรูปแบบของคดีมีตั้งแต่การฆาตกรรม ไปจนถึงการล่วงละเมิดทางเพศ และการทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง
ในช่วงต้นปี 2025 สถาบันกฎหมายอูราล (Ural Legislation Institute) ซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงกิจการภายในรัสเซีย ตีพิมพ์งานศึกษา “ผลกระทบของปฏิบัติการพิเศษทางการทหารต่ออาชญากรรมในรัสเซีย” พบว่ามีการกระทำรุนแรงและกระทำผิดร้ายแรงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั่วประเทศนับตั้งแต่สงครามเริ่มขึ้น

ที่มาของภาพ : Getty Photos
มัตวีย์ (นามสมมติ) นักจิตวิทยาที่คลินิกบำบัดยาเสพติดในภูมิภาคหนึ่งของรัสเซีย ระบุว่าเขาและเพื่อนร่วมงานคาดว่าจะพบกรณีการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เกี่ยวข้องกับภาวะพีทีเอสดี (PTSD) ในหมู่ทหารที่กลับจากการสู้รบเพิ่มมากขึ้น
ตามคำแนะนำทางการแพทย์จากศูนย์เบคเทเรฟ บุคคลที่เผชิญกับการบาดเจ็บ (ทั้งทางร่างกายหรือจิตใจ) อย่างรุนแรง เช่น การสู้รบ มีความเสี่ยงสูงที่จะพบปัญหาการใช้สารเสพติดเพิ่มขึ้น โดยในปี 2024 พบว่ามีบุคลากรทางการทหารถึง 10% ในบรรดาผู้ติดยาเสพติดที่เข้ารับการบำบัดที่ศูนย์เซิร์บสกี (Serbsky Centre) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลจิตเวชชั้นนำของรัสเซีย
แม้จะพบความเชื่อมโยงชัดเจนระหว่างความบอบช้ำทางจิตใจและอาการเสพติดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ทางเลือกในการรักษาที่มีประสิทธิภาพก็มีอยู่น้อยมาก
มัตวีย์ อธิบายว่าผู้ป่วยมักจะอยู่ที่คลินิกของเขาไม่เกินสองสัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาของ “การดูแลแบบประคับประคอง” มากกว่าจะเป็นการรักษาอย่างมีประสิทธิผล ขณะที่วิธีการรักษา เช่น การบำบัดด้วยกระบวนการทางความคิด ซึ่งต้องใช้การบำบัดอย่างน้อย 12 ครั้ง แทบจะใช้ไม่ได้เลย
“ส่วนใหญ่แล้วการบำบัดหากไม่ให้ความรู้สึกที่เจ็บปวด ก็ดูจะเป็นนามธรรมเกินกว่าจะเข้าถึง” มัตวีย์กล่าว “ผู้ป่วยของพวกเราอาจจะเข้าใจว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ปัญหามันเลวร้าย มันกระทบกระเทือนจิตใจมาก และมันเจ็บปวด พวกเขาจึงไม่อยากจะไปแตะมัน”
เขากล่าวเสริมว่า “ผมเชื่อว่า การบำบัดภาวะพีทีเอสดี ควรกำหนดให้เป็นภาคบังคับไม่มากก็น้อย”
ประธานาธิบดีปูตินผุดแนวคิดเรื่องการบำบัดพื้นฐานให้กับทหารที่กลับจากการสู้รบในช่วงต้นปี 2024 แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการนำนโยบายดังกล่าวมาใช้อย่างเป็นทางการ
การขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญ

ที่มาของภาพ : AFP
แม้จะมีเจตจำนงทางการเมือง แต่รัสเซียก็กำลังเผชิญกับการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติเพียงพอในประเทศ
ตัวเลขประมาณการของจำนวนนักจิตวิทยาฝึกหัดในรัสเซียจากแต่ละแห่งแตกต่างกันอย่างมาก ตั้งแต่ 57,000 คน ไปจนถึงกว่า 100,000 คน
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ตัวเลขดังกล่าวเท่ากับจะมีนักจิตวิทยา 4 – 5 คน ต่อจำนวนประชากร 100,000 คนเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานสากลอย่างมาก
แม้จะต้องเผชิญกับข้อจำกัดเชิงระบบ แต่นักจิตวิทยาบางคนก็บอกว่า งานของพวกเขาไม่ได้สูญเปล่าเสียทีเดียว
ยานายังคงช่วยบำบัดพลเมือง ผู้ลี้ภัย และญาติ ๆ ของทหาร ซึ่งหลายคนกำลังต่อสู้กับภาวะพีทีเอสดี (PTSD) และความวิตกกังวลแบบเฉียบพลัน และด้วยการรักษาเพียง 10-12 ครั้งเท่านั้น เธอกล่าวว่าผู้ป่วยหลายคนเริ่มกลับมารู้สึกปลอดภัยอีกครั้ง
“มันเป็นสิ่งที่ดี เพราะมีคนแบบพวกเขาเพียงไม่มากนักที่มีเงินเพียงพอจะขอรับความช่วยเหลือทางจิตวิทยา” เธอกล่าว
ขณะที่ทาเนียนามองว่า มีหลายสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้บริการเหล่านี้เข้าถึงกลุ่มทหารผ่านศึก
“เราไม่มีองค์กรที่เป็นหนึ่งเดียวกันทั่วประเทศ” เธอกล่าว “ผู้คนถูกทิ้งให้หาอาสาสมัครกันเองหรือพยายามรับมือมันด้วยตัวเองหากพวกเขาต้องการพบนักจิตวิทยา”
ที่มา BBC.co.uk