แพทองธาร จะปรากฏตัวกลางศาลรัฐธรรมนูญ 21 ส.ค. วันไต่สวน “คดีคลิปเสียง” หรือไม่

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ทักษิณ-แพทองธาร ชินวัตร ร่วมงานเลี้ยงพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อ 22 ก.ค. 2568

Article Files

    • Creator, หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
    • Characteristic, ผู้สื่อข่าว.

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ระหว่างหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ มีกำหนดต้องปรากฏตัวกลางศาล 21 ส.ค. นี้ เพื่อไต่สวน “คดีคลิปเสียง” สนทนากับประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งเธอถูกกล่าวหาว่า “ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และ “ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง”

“วันที่ 21 ส.ค. วันเกิดพอดี” น.ส.แพทองธาร ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเช้าวันนี้ (14 ส.ค.) หลังถูกถามว่าวันที่ 21 ส.ค. จะเดินทางไปศาลรัฐธรรมนูญด้วยตนเองหรือไม่

21 ส.ค. ไม่เพียงเป็นวันครบรอบวันคล้ายวันเกิดปีที่ 39 ของนายกฯ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร แต่ยังถือเป็นวันที่ 51 ที่ผู้นำรัฐบาลต้อง “เว้นวรรค” การทำหน้าที่ นับจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 รับคำร้อง “คดีคลิปเสียง” ไว้พิจารณาวินิจฉัย และมีมติ 7 ต่อ 2 ให้ น.ส.แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีตั้งแต่ 1 ก.ค.

คดีนี้ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) 36 คน นำโดย พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา ยื่นคำร้องผ่านประธานวุฒิสภาขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายกฯ คนที่ 31 ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง หลังปรากฏคลิปสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ทั้งนี้คณะ สว. มองว่า เป็นการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมจะทำตามหรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการ และเห็นแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงกันข้าม

ที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 13 ส.ค. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้อง หลังประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด

Cease of ได้รับความนิยมสูงสุด

เอกสารข่าวสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาคดีกําหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลจํานวน 2 ปากคือ ผู้ถูกร้อง (น.ส.แพทองธาร) และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (นายฉัตรชัย บางชวด) วันที่ 21 ส.ค. เวลา 10.30 น. พยานบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียกหากไม่มาตามกําหนดนัดถือว่าไม่ติดใจเป็นพยานบุคคล

สำหรับเลขาธิการ สมช. เป็น 1 ใน 5 บุคคลที่นายกฯ ขออนุญาตให้ศาลนำขึ้นไต่สวนข้อเท็จจริงในฐานะพยานบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อให้ศาลได้รับทราบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน โดยรายชื่อพยานทั้ง 5 ปาก ปรากฏในเอกสารคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาที่ น.ส.แพทองธาร ส่งถึงศาลเมื่อ 4 ส.ค. ตามการรายงานของสื่อหลายสำนัก อาทิ ไทยโพสต์ สำนักข่าวอิศรา

นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังกำหนดให้ผู้ร้องหรือผู้ถูกร้องที่ประสงค์จะแถลงการณ์ปิดคดี ให้ยื่นเป็นหนังสือต่อศาลภายใน 27 ส.ค.

บทสรุปสุดท้ายของคดีนี้จะเกิดขึ้นในวันที่ 29 ส.ค. โดยศาลนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติ เวลา 09.30 น. และนัดฟังคำวินิจฉัย เวลา 15.00 น.

อุ๊งอิ๊งจะตามรอยเท้าพ่อ ปรากฏตัวกลางศาลรัฐธรรมนูญ ?

หาก น.ส.แพทองธาร นายกฯ คนที่ 31 ตัดสินใจขึ้นเบิกความต่อองค์คณะทั้ง 9 คน วันที่ 21 ส.ค. นี้ จะถือเป็นการเดินตามรอยเท้าพ่อ นายทักษิณ ชินวัตร นายกฯ คนที่ 23 เมื่อครั้งตกเป็นผู้ถูกร้อง “คดีซุกหุ้นภาคแรก” และยังเป็นประมุขฝ่ายบริหารคนแรกในรอบ 24 ปีที่ปรากฏตัวกลางศาลรัฐธรรมนูญในฐานะผู้ถูกร้อง

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2540

ถ้าย้อนไปดูคดีของนายกฯ ชินวัตรผู้พ่อ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเมื่อ 18 ม.ค. 2544 รับคำร้องของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) ไว้วินิจฉัยชี้ขาด กรณีนายทักษิณจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ โดยซุกหุ้นไว้กับคนรับใช้และคนขับรถกว่า 2,000 ล้านบาทเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ

หากถูกตัดสินว่ามีความผิด หัวหน้าพรรคไทยรักไทย (ทรท.) ที่เพิ่งนำพรรคชนะการเลือกตั้ง 2544 ด้วยยอด สส. 248 เสียง และกำลังจะเป็นว่าที่นายกฯ คนที่ 23 ต้องพ้นจากตำแหน่ง และห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ เป็นเวลา 5 ปี ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 295

ในระหว่างแถลงการณ์ปิดคดีด้วยวาจาเมื่อ 18 มิ.ย. 2544 นายทักษิณปฏิเสธว่ามิได้จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ อันเป็นเท็จ พร้อมระบุว่าเป็นเรื่องของ “แบบฟอร์มของการแจ้งทรัพย์สินที่ไม่ชัดเจน” และทิ้งวาทะอันลือลั่นที่ว่า หากมีความผิดพลาดในการยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ ไม่ถูกต้อง สาเหตุเกิดจากการ “บกพร่องโดยสุจริต”

ศาลใช้เวลาราว 7 เดือนในการพิจารณาคดีนี้ท่ามกลางแรงกดดันมหาศาลจากสังคม โดยมวลชนกลุ่มใหญ่สนับสนุนให้นายทักษิณเป็นผู้นำรัฐบาลต่อไป และตั้งคำถามว่าเหตุใดนายกฯ ที่ประชาชนเลือกมา 11 ล้านเสียง ต้องถูกถอดถอนโดยตุลาการเพียง 15 คน (รัฐธรรมนูญ 2540 กำหนดให้มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 15 คน) ทั้งนี้การเลือกตั้งปี 2544 เป็นครั้งแรกที่มีการนำระบบ สส.แบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) มาใช้ โดยพรรค ทรท. ที่นายทักษิณเป็น สส.ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 1 ได้คะแนนบัญชีรายชื่อถึง 11 ล้านเสียง

ท้ายที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 7 ให้นายทักษิณพ้นผิดเมื่อ 3 ส.ค. 2544 และได้ทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายบริหารต่อไปจนครบเทอม ก่อนชนะการเลือกตั้งปี 2548 และสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้เสร็จ

ขณะที่นายกฯ คนอื่น ๆ ที่ตกเป็นผู้ถูกร้องในศาลรัฐธรรมนูญด้วยสารพัดข้อกล่าวหา ทั้งเรื่องขาดคุณสมบัติ มีลักษณะต้องห้าม และมีพฤติกรรมฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย ก็ไม่มีรายใดที่ศาลเรียกมาไต่สวนในฐานะพยานบุคคล และทุกคนก็ส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาและคำแถลงปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษร

ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550

นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ คนที่ 25: พ้นจากตำแหน่งเมื่อ 9 ก.ย. 2551 ด้วยมติ 5 ต่อ 4 จากกรณีเป็น “ลูกจ้าง” ผู้ทำหน้าที่พิธีกรรายการอาหาร “ชิมไปบ่นไป”

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ คนที่ 28: พ้นจากตำแหน่งเมื่อ 7 พ.ค. 2557 ด้วยมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 จากกรณีก้าวก่ายแทรกแซงการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช. โดยมิชอบ

ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ คนที่ 29: หลุดทุกคดี ไม่ว่าจะเป็น “คดีถวายสัตย์ไม่ครบ” ปี 2562 (มติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้อง) “คดีเจ้าหน้าที่รัฐ” ปี 2562 (มติเอกฉันท์ ไม่มีลักษณะต้องห้าม), “คดีพักบ้านหลวง” ปี 2563 (มติเอกฉันท์ ไม่ขาดคุณสมบัติ) และ “คดีนายกฯ 8 ปี” ปี 2565 (มติ 6 ต่อ 3 ไม่พ้นจากตำแหน่ง)

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ คนที่ 30: : พ้นจากตำแหน่งเมื่อ 14 ส.ค. 2567 ด้วยมติ 5 ต่อ 4 จากกรณีแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

นายกฯ ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ไม่ว่าจะ พล.อ.ประยุทธ์ หรือ แพทองธาร จะไม่ได้เข้าทำงานที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

นักการเมืองดัง ใครเคยถูกเรียกมาไต่สวนบ้าง

อย่างไรก็ตามมีนักการเมืองดังบางคนที่ตกเป็นผู้ถูกร้อง และถูกศาลรัฐธรรมนูญเรียกไปไต่สวนในระหว่างการพิจารณาคดี ก่อนที่พวกเขาต้องพ้นจากตำแหน่งด้วยคำวินิจฉัยของศาล อาทิ

คนแรกคือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พ้นจากสมาชิกภาพ สส. เมื่อ 20 พ.ย. 2562 ด้วยมติ 7 ต่อ 2 จากกรณีถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ในวันสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งศาลชี้ว่าหุ้นบริษัทดังกล่าวเป็นหุ้นสื่อ

ก่อนหน้านั้นเมื่อ 18 ต.ค. 2562 ศาลได้เปิดไต่สวนพยาน 10 ปาก นอกจากนายธนาธร ยังมีนางสมพร มารดา สมาชิกในครอบครัวรวม 5 คน, พนักงานบริษัทวี-ลัค 2 คน, ทนายความ 2 คน และคนขับรถ 1 คน ทั้งนี้นายบุญส่ง กุลบุปผา ตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่ได้รับมอบหน้าที่ในการซักถาม ระบุว่า คดีนี้เป็นคดีแรกที่มีการไต่สวนพยานจำนวนมากถึง 10 คน

ที่มาของภาพ : Thai News Pix

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขึ้นให้การต่อศาลรัฐธรรมนูญในฐานะพยาน ในคำร้องขอให้วินิจฉัยสมาชิกภาพความเป็น สส. สิ้นสุดลงจากการถือครองหุ้นสื่อ เมื่อ 18 ต.ค. 2562

อีกคนคือ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน อดีต สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร พ้นจากสมาชิกภาพ สส. เมื่อ 1 ส.ค. 2568 ด้วยมติ 6 ต่อ 3 และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี เนื่องจากกระทำการแปรญัตติงบประมาณแผ่นดินขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144

คดีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง 9 ปากเมื่อ 24 ก.ค. 2568 นอกจากนายภัณฑิล น่วมเจิม สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ในฐานะผู้ร้อง, นายพิเชษฐ์ ผู้ถูกร้อง ยังมีที่ปรึกษาคณะทำงานทางการเมืองของรองประธานสภา และข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรอีก 6 คน อย่างไรก็ตามศาล อนุญาตให้เฉพาะคู่กรณี ผู้เกี่ยวข้อง และบุคคลที่ศาลอนุญาตเท่านั้น เข้าร่วมรับฟังการไต่สวน และงดการถ่ายทอดสดทั้งภาพและเสียงในระหว่างการไต่สวน

ย้อนบรรทัดฐานคดีจริยธรรมนายกฯ

กลับมาที่คดีของนายกฯ ชินวัตรผู้ลูก เธอถูกคณะ สว. ยื่นถอดถอนออกจากตําแหน่งนายกฯ จาก 2 ข้อกล่าวหาหลักคือ “ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และ “มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” อันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาเดียวกับที่ทำให้อดีตนายกฯ เศรษฐาตกเก้าอี้มาแล้ว

ใน “คดีแต่งตั้งพิชิต” ศาลรัฐธรรมได้วางแนวบรรทัดฐานเรื่องความซื่อสัตย์ และมาตรฐานจริยธรรม เอาไว้ผ่านคำวินิจฉัยเมื่อ 14 ส.ค. 2567 โดยระบุตอนหนึ่งว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องได้รับความไว้วางใจจากสภา ซึ่ง ครม. หมายถึงนายกฯ และรัฐมนตรีต้องได้รับความไว้วางใจจากประชาชนด้วย อันเป็นการเชื่อถือทางความเป็นจริง โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับนี้เจตนาป้องกันไม่ให้คนขาดคุณธรรมมาปกครองบ้านเมือง ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) (5) บัญญัติ จึงเป็นคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามสำคัญของรัฐธรรมนูญที่ไม่เคยมีมาก่อนในรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญยังให้คำจำกัดความของของคำว่า “ซื่อสัตย์” และ “สุจริต” ว่า “มิใช่เป็นเพียงเรื่องของการกระทำทุจริตหรือประพฤติโดยมิชอบเท่านั้น แต่ต้องให้เกิดความเชื่อมั่น ศรัทธา เชื่อถือได้ ซึ่งต้องเป็นการทำให้วิญญูชนทั่วไปทราบและยอมรับว่าเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริตหรือไม่ หากเป็นหรือไม่เป็นเช่นนั้น ย่อมถือได้ว่าไม่ใช่เป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

อดีตนายกฯ คนที่ 30 ร่วมแสดงความยินดีและให้กำลังใจ แพทองธาร ระหว่างเปิดแถลงต่อสื่อมวลชน หลังเสร็จสิ้นพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกฯ คนที่ 31 เมื่อ 18 ส.ค. 2567

รศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เคยแสดงความกังวลต่อบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญที่กลายเป็น “อนุญาโตตุลาการทางศีลธรรม” ไม่ใช่แค่ผู้ชี้ขาดว่าอะไรผิด-ไม่ผิดรัฐธรรมนูญ คือตัดสินความชอบด้วยกฎหมาย แต่กลายเป็นผู้ตัดสินศีลธรรม

“ศาลเป็นเสมือน Gatekeeper เป็นผู้คุมกฎ 9 คนนี้เป็นผู้ตัดสินว่าแบบไหนมีจริยธรรม แบบไหนไม่มีจริยธรรม พอศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจมากล้นแบบที่เราเห็นในปัจจุบัน ย่อมหมายความว่าดาบนี้จะเอามาฟันอีกเมื่อไรก็ได้ ดังนั้นคุณเศรษฐาอาจไม่ใช่คนสุดท้ายที่โดน” รศ.ดร.ประจักษ์ ให้สัมภาษณ์.เมื่อ ส.ค. 2567 หลังนายเศรษฐาต้องพ้นจากตำแหน่ง

ข่าวลือนายกฯ ชิงลาออกมาจากไหน

ชะตากรรมอันไม่แน่นอนของผู้นำรัฐบาลคนล่าสุด ทำให้เกิดกระแสข่าวว่า น.ส.แพทองธารอาจตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งก่อนมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อรักษาอำนาจต่อรองทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย (พท.) ในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ อย่างไรก็ตามแกนนำพรรค พท. หลายคนได้ออกมาปฏิเสธข่าวนี้

ขณะที่นายกฯ แพทองธารถูกผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องนี้อย่างน้อย 3 ครั้ง โดยเจ้าตัวไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบรับแต่อย่างใด

เหตุที่กระแสข่าวเรื่องการชิงลาออกดังหนาหูในช่วงนี้ เพราะ “ผู้ใหญ่” ในพรรค พท. บางส่วนประเมินว่าผลการตัดสินคดีมีแนวโน้มไม่เป็นคุณแก่ น.ส.แพทองธาร หากต้องถูกประทับตราว่า “ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” อย่างที่นายเศรษฐา ทวีสิน โดน ไม่เพียงแต่ต้องตกจากเก้าอี้นายกฯ ทันที แต่ยังต้องเสียประวัติทางการเมืองทั้งที่อายุยังน้อย อีกทั้งยังส่งผลต่อการบริหารธุรกิจของครอบครัวซึ่งเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ด้วย

ในทางกลับกัน หาก น.ส.แพทองธาร ชิงลาออกจากตำแหน่งเสียก่อน ศาลอาจจำหน่ายคดีแบบกรณีนายพิชิต ชื่นบาน อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยื่นหนังสือลาออกก่อนที่ศาลจะมีมติรับคำร้องไว้พิจารณาเฉพาะกรณีนายเศรษฐา และไม่รับคำร้องกรณีนายพิชิต

อย่างไรก็ตามฝ่ายที่คัดค้านการไขก๊อกของนายกฯ ให้ความเห็นว่า คดีของนายเศรษฐา-นายพิชิต กับคดีของ น.ส.แพทองธารนั้นมีความแตกต่างกัน เนื่องจากเข้าสู่กระบวนพิจารณาจนมาถึงช่วงท้าย ๆ ถึงขนาดกำหนดวันนัดอ่านคำวินิจฉัยแล้ว จึงมีความเป็นไปได้ที่กระบวนการจะเดินต่อไปจนสุดทางเพื่อเป็นบรรทัดฐาน อีกทั้ง น.ส.แพทองธาร ไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ อย่างเดียว แต่ยังควบเก้าอี้ รมว.วัฒนธรรมด้วย ทุกวันนี้ก็ยังนั่งประชุม ครม. ในฐานะ รมว.วัฒนธรรม ซึ่งมาตรฐานจริยธรรมใช้บังคับกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกตำแหน่ง ไม่เฉพาะนายกฯ จึงยากจะคาดเดาว่าหาก น.ส.แพทองธารลาออกจากตำแหน่งนายกฯ แล้วคดีจะจบจริงหรือไม่ หรือถ้าจะลาออกก็ต้องลาออกทั้ง 2 ตำแหน่ง

“เหนือสิ่งอื่นใดคือ 2 พ่อลูกคู่นี้ เขาเป็น ‘ยอดนักสู้' เขาคงสู้จนถึงที่สุด ไม่มีโยนผ้ายอมแพ้ไปง่าย ๆ” อดีตนักการเมืองผู้เคยทำงานใกล้ชิดกับนายกฯ ตระกูลชินวัตร วิเคราะห์กับ.

ที่มาของภาพ : THAINEWS PIX

นายกฯ ครม. และนักการเมืองพรรคร่วมฯ ร่วมรับฟัง ทักษิณ ชินวัตร แสดงวิสัยทัศน์เมื่อ 17 ก.ค. จัดโดย อสมท. โดยระบุตอนหนึ่งว่า “ผู้นำเขมรมันไร้จริยธรรมจะเสียชีวิต แต่เรากลับไปเข้าข้างมัน”

ด้านนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยออกมาแสดงความมั่นใจในข้อกฎหมาย และ “มั่นใจในความบริสุทธิ์ใจของลูกผม”

ในระหว่างให้สัมภาษณ์กับ 3 บรรณาธิการ (บก.) สื่อเครือเนชั่น เมื่อ 9 ก.ค. นายทักษิณกล่าวถึงคดีของบุตรสาวเอาไว้ว่า “มีหลายออฟชั่น 1. นายกฯ รอด กลับไปทำงานยาว หากไม่รอดก็มี 2 อย่าง เสนอชัยเกษม (นายชัยเกษม นิติศิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่เหลืออยู่ของพรรค พท.) หรือยุบสภา ตอนนี้ชัยเกษมฟิต ตีกอล์ฟสบายมาก”