
พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. พรรคประชาชน ชง แก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยองค์กรอิสระ-ศาลรัฐธรรมนูญ 4 ประเด็น สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อดีตผู้ได้รับการเสนอชื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แนะ ควบรวม-ดึงองค์กรอิสระออกจากรัฐธรรมนูญ
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า วันที่ 24 สิงหาคม 2568 ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นประธานกมธ.ฯ และเป็นผู้เสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ประกอบด้วย 1.ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2.กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 3.ผู้ตรวจการแผ่นดิน 4.กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) 5.กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) 6.ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และ 7.กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จัดสัมมนา เรื่อง Legislation Lab : สัมมนาวิชาการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ
โดยมีวิทยากร 3 คน ได้แก่ ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อดีตผู้ได้รับการเสนอชื่อให้วุฒิสภารับรองให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รศ.ดร.โคทม อารียา อดีตกรรมการ กกต. และ รศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค เลขาธิกาองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และนายจุลพงศ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ผู้เสนอร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระอีก 1 ฉบับ
นายจุลพงศ์ กล่าวนำเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมองค์กรอิสระและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ว่า ฉบับของตนเอง เกี่ยวกับเรื่องการให้ความเห็นชอบตำแหน่งองค์กรอิสระและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เปลี่ยนจากวุฒิสภาเป็นรัฐสภา โดยใช้เสียงกึ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้นในมาตราที่ข้องเกี่ยวกับประธานวุฒิสภา ให้เป็นอำนาจของประธานรัฐสภา ส่วนมาตราที่เกี่ยวกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เปลี่ยนเป็นว่า ให้สรรหาใหม่ ไม่ใช้คำว่า บุคคลใหม่ หมายความว่า ไม่ห้ามบุคคลเดิมเข้ารับการสรรหาอีก
นายจุลพงศ์กล่าวว่า ปัจจุบันให้อำนาจ สว.เห็นชอบ เกิดความสงสัยว่า จึงได้ไปค้นบันทึกการประชุมของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ปี 60 เดือนก.ย.- พ.ย.68 ซึ่งจับใจความได้ว่า เกิดจากความไม่ไว้วางใจพรรคการเมือง เพราะอ้างว่า สส.มาจากพรรคการเมือง อาจจะถูกครอบงำได้
นายจุลพงศ์กล่าวว่า วุฒิสภามีความเป็นอิสระ ไม่ถูกควบคุมโดยพรรคการเมือง เพราะฉะนั้น ควรจะให้วุฒิสภาให้ความเห็นชอบ ประการที่สาม รัฐบาลหรือฝ่ายบริหารมาจากพรรคการเมือง เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรให้ สส.ที่มาจากการเมืองไปควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน
“เหมือนเป็นมหากาพย์ วนไปวนมา เหมือนมีการชี้นำ แม้แต่มาตราแรกขององค์กรอิสระยังมีการกรรมการร่างรัฐธรรมนูญถกเถียงกันว่า มาตราที่จะขึ้นต้นบทเรื่ององค์กรอิสระควรจะเขียนว่าอย่างไร มีกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเสนอแบบ ว่า มีความกล้าหาญและมีความเด็ดเดี่ยว”นายจุลพงศ์กล่าว
@ ชง แก้รธน.องค์กรอิสระ-ตุลาการศาลรธน. 4 ประเด็น
นายพริษฐ์กล่าวว่า มี 4 ประเด็นที่มีการเปิดให้แสดงความคิดเห็น ประกอบด้วย 1.ที่มาการสรรหา การเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญจะทำอย่างไรให้มีความหลากหลายมากขึ้น ในทางความคิด ประสบการณ์หรือวิชาชีพ 2.การรับรองตำแหน่งองค์กรอิสระและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งปัจจุบันกระบวนการในการรับรองถูกผูกขาดไว้กับสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งภายใต้รัฐธรรมนูญปี 60 ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ดังนั้น จะทำอย่างไรให้กระบวนการมีความยึดโยงกับประชาชนมากขึ้นและได้บุคคลที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายมากขึ้น
นายพริษฐ์กล่าวว่า 3.กลไกการตรวจสอบ การถอดถอนจากประชาชน ซึ่งรัฐธรรมนูญ 60 ไม่มีช่องทางเหมือนรัฐธรรมนูญปี 40 และ ปี 50 ประชาชนสามารถเข้าชื่อเพื่อริเริ่มกระบวนการถอดถอนองค์กรอิสระและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้เหมือนอดีต และ 4.การแก้รัฐธรรมนูญเพื่อป้องกันการฮั้วกัน ระหว่างรัฐบาลกับ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เนื่องจากการยื่นเรื่องร้องเรียน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติจะต้องส่งเรื่องผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา ซึ่งมีดุลพินิจในการตัดสินใจส่งหรือไม่ส่งเรื่องไปให้ประธานศาลฎีกา เพื่อตั้งคณะไต่สวนอิสระหรือไม่
“ในภาพใหญ่ เป้าหมายการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถขยับไปได้อย่างชัดเจนจนกว่าจะถึงวันที่ 10 ก.ย.68 ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่จะต้องประชามติจำนวนกี่ครั้ง”นายพริษฐ์กล่าว
นายพริษฐ์กล่าวว่า ระหว่างรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 10 ก.ย.68 หากสภามีการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับองค์กรอิสระจะเป็นโอกาสที่ดีที่สมาชิกรัฐสภาจะมีส่วนในการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราคู่ขนานและส่งเสริมให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อแก้ปัญหาองค์กรอิสระไปพลางก่อน
@ ผุด แม่น้ำ 4 สาย – 3 ไฟเขียว
นายพริษฐ์ กล่าวว่า การริเริ่มร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม องค์กรอิสระและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญขึ้นได้ มีการตั้งโจทย์ก่อนว่า ปัญหาในปัจจุบันมีเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งสามารถสรุปออกมาได้ 3 ประการ
ประการที่ 1 อยากให้ที่มาขององค์กรอิสระและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญควรมีความหลากหลายมากขึ้น เพราะการเสนอชื่อบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งจากคณะกรรมการสรรหาเพียงชุดเดียว หรือ ช่องทางเดียว จินตนาการว่าเป็นแม่น้ำ 1 สาย ยิ่งไปกว่านั้น การกำหนดคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระอาจจะกำหนดไว้ค่อนข้างเข้มงวดหรือเข้มงวดไม่เท่าเทียมกันจนทำให้คุณสมบัติคล้ายกันมาก
ประการที่ 2 อยากให้การรับรององค์กรอิสระและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีอำนาจสูงมากมีความยึดโยงกับประชาชน เพื่อให้กระบวนการผ่านตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ประการที่ 3 อยากได้องค์กรอิสระและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่าย กรรมการต้องต้องได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายว่าสามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นกลางได้
“ปัจจุบัน พอทุกอย่างถูกผูกขาดไว้กับ สว. สมมุติว่า วันหนึ่งมีกลุ่มการเมืองหนึ่งสามารถครอบงำเสียงส่วนใหญ่ของสว.ได้ ก็จะถูกข้อครหาว่า กลุ่มการเมืองกลุ่มนั้นจะสามารถผูกขาดได้เลยว่า ใครจะเข้ามาทำหน้าที่องค์กรอิสระหรือตุลาการศาลรัฐธรรนูญ”นายพริษฐ์กล่าว
นายพริษฐ์กล่าวว่า ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาเรื่องที่มาความหลากหลาย ประการแรก จากเดิมที่มีคณะกรรมการสรรหาองค์กรอิสระและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพียงชุดเดียว หรือ แม่น้ำหนึ่งสาย เปลี่ยนเป็น การเสนอของทุกองค์กรจะเป็นแม่น้ำ 4 สาย ยกตัวอย่างเช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยคนที่ถูกเสนอชื่อโดย สส.ฝ่ายรัฐบาล 2 คน สส.ฝ่ายค้าน 2 คน สว. 2 คน และ ที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา 3 คน มาจากแม่น้ำคนละสาย
นายพริษฐ์กล่าวว่า ประการที่สอง คุณสมบัติ เช่น ปปช. เดิมไม่ได้กำหนดว่ามาจากสาขาวิชาชีพอะไรจำนวนกี่คน เป็น ขั้นต่ำ เช่น อย่างน้อยต้องมีนักวิชาการ 1 คน นักกฎหมาย 1 คน ศาลและอัยการ 1 คน (เสนอชื่อ 2 เท่า ทดแทนจำนวนตำแหน่งที่ว่างลง)
นายพริษฐ์กล่าวว่า เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการยึดโยงกับประชาชน หรือ การได้รับรองจากสว.โดยไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ให้เปลี่ยนจากเสนอผู้ที่เหมาะสมดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ที่ประชุมวุฒิสภาเห็นชอบ เป็นที่ประชุมรัฐสภาลงมติว่าจะรับรองใคร
นายพริษฐ์กล่าวว่า สำหรับการแก้ปัญหาให้องค์กรอิสระและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย “ไม่ใช่เรื่องง่าย” ต้องได้รับ 3 ไฟเขียว ไม่ใช่เพียงเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา
ไฟเขียวที่ 1 ต้องได้รับเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา
ไฟเขียวที่ 2 ต้องได้เกินกึ่งหนึ่งของสส.รัฐบาล
ไฟเขียวที่ 3 ต้องได้เกินกึ่งหนึ่งของสส.ฝ่ายค้าน
“พูดง่ายๆ คือ ใครจะไปนั่งอยู่ในองค์กรอิสระได้ ต้องได้ไฟเขียวจากทั้งฝั่งรัฐบาล ฝ่ายค้าน และสมาชิกรัฐสภา”นายพริษฐ์กล่าว
@ หลักเรียบง่าย-(ไม่) โลภมาก
ด้านรศ.ดร.โคทม กล่าวตั้งข้อสังเกตว่า ใน 3 หลักการของนายพริษฐ์ที่เสนอ อยากจะแถมให้ในเรื่องของ หลักความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน อย่าออกแบบอะไรที่วิลิศมาหราเกิน ถ้าผ่านไปได้ก็เป็นเพียงการชิมลาง เพราะยังหวังว่าจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
รศ.ดร.โคทม กล่าวว่า ความไม่เรียบง่ายแรก คือ เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จะทำอย่างไรให้เชื่อมโยง ระหว่างผู้เสนอ สมมุติ สส.รัฐบาลเสนอ 2 เท่าของจำนวนตำแหน่งที่ว่าง และบังคับว่า สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ในจำนวน 9 คน ต้องมาจากสาขาอาชีพอะไรจำนวนกี่คน จะโยงกันอย่างไรไม่ให้ซับซ้อนเกินไป
รศ.ดร.โคทม กล่าวว่า เข้าใจว่า คณะกรรมการสรรหาองค์กรอิสระและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยพวกเดียวกัน คือ อดีตข้าราชการอนุรักษเป็นส่วนใหญ่ การพลิกโฉมเปลี่ยนเป็นฝ่ายการเมือง (ยกเว้นเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา) ใครอยากสมัคร แต่ถ้าไม่มีพวกในหมู่การเมืองจะทำอย่างไร ตรงนี้ซับซ้อน
“เรื่องการให้ความเห็นชอบ เปรียบเทียกับร่างฉบับของนายจุลพงศ์กับฉบับของนายพริษฐ์ ของนายจุลพงศ์เรียบง่ายกว่า แต่ของนายพริษฐ์ โลภมาก ขัดกับหลักใช้สิทธิสองหน เพราะ สส.ในรัฐสภากุมเสียงข้างมากอยู่แล้ว สว.ปิดปากไปได้เลย ไปๆมาๆ ที่บอกจะให้เกิดความยอมรับของทุกฝ่าย ผมว่าจะทิ้งน้ำหนักไปที่สส.มากเกินไปหรือไม่สว.ไม่มีน้ำหนักเลยว่าจะรับหรือไม่รับ”รศ.ดร.โคทมกล่าว
รศ.ดร.โคทม กล่าวว่า เรื่องคุณสมบัติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กลับไปลำเอียงเข้าข้างศาลทั้งหมด เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ต้องการหลักนิติศาสตร์เพียงอย่างเดียว ดังนั้น จึงยังไม่สนิทใจกับฉบับของนายพริษฐ์เกี่ยวกับคุณสมบัติของศาลรัฐธรรมนูญ
รศ.ดร.โคทม กล่าวว่า ที่สำคัญ ติดอยู่ที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (8) ถ้าแก้ไขอำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระต้องทำประชามติ ที่ขวางคือต้องทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
@ ดึงองค์กรอิสระออกจากรัฐธรรมนูญ
ขณะที่ ศ.ดร.สิริพรรณกล่าวว่า ปัญหาของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ คือ ปัญหาแรก เป็นองค์กรที่มีอำนาจเทียบเคียงกับนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ แต่ไม่ถูกตรวจสอบ กลายเป็นฝ่ายที่ 4 ในรัฐธรรมนูญ
“ถ้าปล่อยให้องค์กรอิสระ ไม่ว่าเราจะจัดสรรที่มา การสรรหา การรับรอง การถอดถอนอย่างไรก็ตาม ก็จะกลายเป็นฝ่ายที่ 4 ที่มีอำนาจเทียบเคียงกับนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ แถมไม่มีใครตรวจสอบได้ คำถาม คือ จำเป็นหรือไม่ต้องใส่องค์กรเหล่านี้ไว้ในรัฐธรรมนูญ ไม่จำเป็น ต้องคิดใหม่หมดเลย เป็นไปได้หรือไม่ว่า มี พ.ร.บ.เฉพาะของแต่ละองค์กรได้หรือไม่ หรือ เอาออกจากรัฐธรรมนูญ”ศ.ดร.สิริพรรณกล่าว
ศ.ดร.สิริพรรณ กล่าวว่า แนวคิดองค์กรอิสระของต่างประเทศ มีไว้เพื่อทำหน้าที่ช่วนให้ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารในการทำให้ปัญหาไม่เป็นไปตามระบบราชการ ดังนั้น หน้าที่ตรงนี้ต่างหากที่เราต้องไปดูว่า เรามีองค์กรเหล่านี้ไว้เพื่ออะไร
“ถ้ารัฐประหารวันนี้ ไม่มีกกต. ไม่มีใครจัดการเลือกตั้ง กกต.ก็จะสะดุดอยู่แบบนี้ แต่ถ้าเอากกต. ไปไว้ใน พ.ร.บ. เราก็จะมี กกต. ตลอดไป ทำหน้าที่ ไม่ได้เปลี่ยนใหม่จากการรัฐประหาร เพราะทุกครั้งที่มีการรัฐประหาร พื้นที่การเลือกตั้งเป็นพื้นที่ที่เขาอยากจะควบคุม จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าเขาจะส่งคนเข้ามา”ศ.ดร.สิริพรรณกล่าวและว่า
“อำนาจหน้าที่ คือ อะไร ปัญหาที่มีทุกวันนี้ เพราะเมื่อองค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญมาอำนาจมาก ดังนั้น อำนาจที่ไปกระทบความอยู่รอดของฝ่ายการเมือง ทำให้ฝ่ายการเมืองอยากเข้ามาแทรกแซง ถ้ากกต.ไม่มีอำนาจให้ใบเหลือง ใบแดง หรือ ไม่มีอำนาจเสนอยุบพรรคการเมือง ใครจะอยากเข้ามาแทรกแซง ต้องคิดว่าจำกัดอำนาจหน้าที่ลงมา ปัญหาเรื่องการแทรกแซงก็จะลดลง ต้องแก้เรื่องขอบเขตอำนาจด้วย”ศ.ดร.สิริพรรณกล่าว
@ แนะ ควบรวม องค์กรอิสระ
ศ.ดร.สิริพรรณ กล่าวว่า ปัญหาที่สาม คือ เรื่อง ความชำนาญและจำนวน ซึ่งจำนวนองค์กรอิสระของต่างประเทศ ไม่จำเป็นต้องมีจำนวนมาก สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 7 คน หรือ 5 คน เพียงพอหรือไม่ กกต. 3 คนก็พอได้หรือไม่ และเรื่องคุณสมบัติขององค์กรอิสระ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และ กกต. ควรจะเป็นแบบไหนและควรจะมีจำนวนเท่าไหร่
“เวลาวิจารณ์ กกต. ต้องการให้แยกบอร์ด (กรรมการ กกต.) กับ สำนักงาน กกต. ออกจากกัน เพราะฉะนั้น บอร์ดมีไว้เพื่ออะไร และควรจะมีจำนวนเท่าไหร่ องค์กรอิสระ 5 องค์กร จำเป็นหรือไม่ บางองค์กรควบรวมกันได้หรือไม่ เช่น กสม. กับผู้ตรวจการแผ่นดิน สตง.ควรจะอยู่ตรงไหน เป็นข้อเสนอที่ต้องการรื้อถอนวิธีคิด”ศ.ดร.สิริพรรณกล่าว
ศ.ดร.สิริพรรณ กล่าวว่า เรื่องคณะกรรมการสรรหา นอกเหนือจากประธานศาลฎีกาเป็นประธาน และผู้นำฝ่ายค้านแล้ว ที่เหลือเป็นข้าราชการที่แต่งตั้งมาเป็นตัวแทนจากองค์กรอิสระ ดังนั้น จะขยับออกจากอิทธิพลของข้าราชการได้อย่างไร คณะกรรมการสรรหาควรจะเป็นใคร
ศ.ดร.สิริพรรณ กล่าวว่า นอกเหนือจากคณะกรรมการสรรหาแล้ว กระบวนการสมัครเปิดช่องให้มีการทาบทามได้หรือไม่ เปิดช่องให้มีการเสนอชื่อโดย… แทนที่จะเป็นการสมัครอย่างเดียว เป็นมี 3 ช่องทางได้หรือไม่ ที่สำคัญ คือ ควรจะกำหนดคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งที่ชัดเจน มีประสบการณ์ อย่างน้อย 5 ปี 10 ปี
“สุดท้าย เรื่องกระบวนการรับรอง จะหลุดจากขบวนการบ้านใหญ่ครอบงำได้อย่างไร นอกเหนือจากการย้ายจากวุฒิสภามาให้รัฐสภารับรองแล้วก็เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ และค่อนข้างเห็นด้วย อยากทำให้กระบวนการรับรองเปิดเผย ทุกวันนี้ไม่เปิดเผย วุฒิสภาไม่ให้เหตุผล ซึ่งผิดพ.ร.ป.วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 12 ถ้าปฏิเสธต้องให้เหตุผล”ศ.ดร.สิริพรรณกล่าว
ศ.ดร.สิริพรรณ กล่าวว่า ฉบับของนายจุลพงศ์ไม่ต้องทำประชามติ แต่ฉบับของนายพริษฐ์อาจจะต้องทำประชามติ
@ เริ่มด้วยการเปิดเผยข้อมูล-โปร่งใส
รศ.ดร.ต่อภัสสร์ กล่าวว่า กรณีสำนักข่าวอิศราเคยรายงานว่า มีผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ท่านหนึ่ง ถูก สว.ปัดตก เพราะมีการพูดถึงเรื่องนาฬิกายืมเพื่อนมา คำถาม คือ จริงหรือไม่ และควรจะเป็นแบบนั้นหรือไม่ ทำไมถึงไม่มีการเปิดเผย ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นข่าวลือข่าวเล่าอ้างไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น หากเราไม่เห็นการคัดเลือกตำแหน่งองค์กรอิสระฯอย่างโปร่งใส ข้อมูลที่ประชาชนเห็นได้ ความเชื่อถือสาธารณะก็จะไม่เกิดขึ้น ต่อจะให้ผ่านการคัดเลือกจากสส.หรือ สว.ก็ตาม จึงต้องเริ่มที่ความโปร่งใส
เบื้องหลัง สว. ตีตก นิวัติไชย อดีตเลขาฯ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ไม่เปิดเผยข้อมูลนาฬิกาบิ๊กป้อม
“มีการแบ่งชั้นกัน ระหว่างกรรมการองค์กร กับฝ่ายบริหารองค์กร ซึ่งบางแห่งทำงานแยกกัน เวลาจะต่อว่าให้แยกกันนะ เวลาผมวิจารณ์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติจะมาแอบมาบอกว่า ขอบคุณมากเลยอาจารย์ คำสั่งของ กรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มาเลยต้องทำแบบนี้ แต่ในบางกรณีหลายหน่วยงานเริ่มมีการตั้งเป็นก๊ก เป็นเหล่า กรรมการองค์กรเริ่มดึงคนของตัวเองมานั่ง เริ่มโยกย้ายคนภายใน ความจริงเป็นเนื้อเดียว แต่เวลาอยากจะวิจารณ์แยกกันวิจารณ์ จึงไม่แน่ใจว่า การกำหนดที่มาต้องพูดไปถึงการกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนระหว่างกรรมการกับฝ่ายบริหารองค์กรแค่ไหน”รศ.ดร.ต่อภัสสร์ กล่าว
ที่มาภาพ : Fb พริษฐ์ วัชรสินธุ – ไอติม – Parit Wacharasindhu (https://www.facebook.com/paritw)
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )