“ได้เรื่องเดียวคือไม่ได้ร่วม ครม.” พรรคประชาชนจะรักษา 5 ข้อตกลงกับภูมิใจไทย ไม่ให้ถูกฉีกได้หรือไม่

ที่มาของภาพ : Arnun Chonmahatrakool

Article Knowledge

    • Author, วศินี พบูประภาพ
    • Role, ผู้สื่อข่าว.

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) แถลงเมื่อเช้าวานนี้ (3 ก.ย.) ว่า ปชน. มีมติสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้ดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาลคนใหม่

ในการนี้ หัวหน้าของทั้งสองพรรคได้ลงนามข้อตกลงร่วมกัน โดยมีเงื่อนไข 5 ข้อ โดยข้อสำคัญคือการให้ ภท. คงสถานะรัฐบาลเสียงข้างน้อย, การยุบสภาภายใน 4 เดือนหลังแถลงนโยบาย และการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ ปชน. ยืนยันว่าจะดำรงสถานะเป็นฝ่ายค้าน และจะไม่ส่งบุคลากรเข้าร่วมรัฐบาลในตำแหน่งใด ๆ

ดร.นันทนา นันทวโรภาส สมาชิวุฒิสภาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า การตัดสินใจของ ปชน. สร้างคำถามในหมู่ผู้สนับสนุน “ฝ่ายก้าวหน้า” อย่างหนัก โดยเฉพาะเมื่อ ภท. มีจุดยืนอนุรักษนิยมสุดขั้ว และเคยมีบทบาทขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงมีคดีที่ดินเขากระโดงและข้อกล่าวหาเรื่องการเลือกตั้ง ส.ว.

“พรรคประชาชนนำเอา 14 ล้านเสียงของผู้ที่สนับสนุนพรรคก้าวไกล ไปสนับสนุนให้พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมี 1 ล้านเสียง เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ถือเป็นการขัดเจตจำนงทางการเมืองที่ผู้เลือกตั้งให้มาหรือไม่?” อดีตนักวิชาการด้านสื่อสารการเมืองที่ปัจจุบันเป็น สว. ตั้งคำถาม

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed studyingได้รับความนิยมสูงสุด

Cease of ได้รับความนิยมสูงสุด

ด้าน เบญจา แสงจันทร์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความเปรียบเทียบสถานการณ์การเมืองหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ส.ค. ว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องใหญ่ที่ “มีผู้กำกับ” แต่ก็ระบุถึงอดีตเพื่อน สส. ด้วยว่า “ดิฉันยังคงเชื่อมั่นเหลือเกิน จนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้ เพื่อนรักของดิฉันจะทบทวนหาทางออก ที่ดีที่สุด ไปจนถึงอาจจะไม่ไปทำสัญญาเป็นนักแสดงประกอบของภาพยนตร์เรื่องนี้”

ก่อนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนถัดไปจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ (5 ก.ย.) .พูดคุยกับสองนักวิชาการ ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี และ ดร.สติธร ธนานิธิโชติ จากภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงความเป็นไปได้ที่พรรคภูมิใจไทยจะเป็น “พรรคอุ้มบุญ” ใหม่ของกลุ่มชนชั้นนำในสังคมไทย รวมถึงประเมินโอกาสที่ “ข้อตกลง” ที่ทั้งสองพรรคลงนามร่วมกัน อาจถูกฉีกเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับพรรคสีส้มมาก่อนหน้านี้

ภูมิใจไทย พรรคอุ้มบุญใหม่ของอนุรักษนิยม ?

ศ.ดร.สิริพรรณ อธิบายว่า กลุ่มทหารและชนชั้นนำไทยพยายามมีตัวแทนในระบบพรรคการเมืองมาโดยตลอด เธอกล่าวว่า หากพิจารณาย้อนหลังในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จะพบว่าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เคยทำหน้าที่เป็นตัวแทนของกลุ่มดังกล่าว หลังการเลือกตั้งปี 2562 พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคการเมืองสายอนุรักษนิยม และสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จในที่สุด

ศ.ดร.สิริพรรณ อธิบายว่า ความร่วมมือระหว่าง พท. กับกลุ่มอนุรักษนิยมเป็นความพยายามที่ไม่ลงตัว เนื่องจาก พท. ไม่ใช่พรรคที่มีอุดมการณ์อนุรักษนิยมโดยเนื้อแท้

“หลังเลือกตั้ง กลุ่มชนชั้นนำ ก็ลองมาใช้บริการของเพื่อไทย แต่ว่าแน่นอน เพื่อไทยโดยตัวเขาเองไม่ได้เป็นพรรคอนุรักษ์นิยม ดังนั้นมันจึงเหมือนการจับคู่ที่ไม่ลงล็อกกัน” เธอกล่าว

เธอเปรียบเทียบบทบาทของพรรคเพื่อไทยในช่วงเวลาดังกล่าวว่าเป็น “พรรคคั่นเวลา” ในแผนการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่วางไว้อย่างเป็นระบบ พร้อมสรุปว่า “ตอนนี้พรรคอุ้มบุญเลยเปลี่ยนมาเป็นภูมิใจไทย”

ด้าน ดร.สติธร ให้ความเห็นกับ.ว่า ภท. วางตนเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายชนชั้นนำมาโดยตลอด เขาอธิบายว่า จุดเด่นของพรรคภูมิใจไทยคือการไม่ยึดถืออุดมการณ์ทางการเมืองแบบแข็งตัว แต่เลือกดำเนินแนวทางแบบ “pragmatism” หรือการเมืองเชิงปฏิบัติ

“จะสังเกตเห็นว่าเขาพยายามทำตัวเป็นสีน้ำเงิน… เหมือนเป็นทางเลือกหลักของฝ่ายอนุรักษนิยมในการทำการเมือง” ดร.สติธร กล่าว

ศ.ดร.สิริพรรณ วิเคราะห์ต่อไปว่า เมื่อ ภท. สามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภากลุ่ม “ส.ว.สีน้ำเงิน” ได้มากพอ พรรคนี้ก็มีความพร้อมที่จะกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนอำนาจของกลุ่มอนุรักษนิยมในรัฐสภา แทนที่ พท. ซึ่งเป็นรัฐบาลในขณะนั้น

ดร.สติธร ธนานิธิโชติ อดีตนักวิจัยจากสถาบันพระปกเกล้า เสริมว่า จังหวะทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับ ภท. ซึ่งต้องอาศัย “สัญญาณ” ที่ชัดเจนก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ

เขาอธิบายว่า “ปกติถ้าเราสังเกตคุณอนุทิน มีคนถามหลายรอบแล้วตั้งแต่หลังเลือกตั้ง อย่างเช่นถ้าโหวตคุณพิธาไม่ได้ ถ้าโอกาสมันไหลมาถึงเขา เขาจะเอายังไง เขาก็จะพยายามบอกว่า ไม่ต้องให้เขาเป็นนายกฯ ให้โอกาสพรรคเพื่อไทยก่อน แปลว่าวันนั้นเขายังไม่ได้รับสัญญาณ เขาเป็นคนแบบนั้น”

ด้วยเหตุนี้ การเคลื่อนไหวของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หลังคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ส่งผลให้ น.ส.แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 จึงถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มชนชั้นนำแล้ว

“พอมารอบนี้มันเห็นชัดว่าพอศาลตัดสินเขาก็ออกตัวเลย แปลว่าต้องมีคนมาตบไหล่แล้วบอก ลุยหนู ลุย เอา” ดร.สติธร กล่าว

ที่มาของภาพ : PR SENETE

สว. เสียงข้างมากที่ถูกเรียกว่า “สว. สีน้ำเงิน” พร้อมใจกันทำสัญลักษณ์กากบาท เพื่อสื่อว่าไม่เอากาสิโนในระหว่างการแถลงข่าวเมื่อ 8 เม.ย. เพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรฯ ที่ผลักดันโดยรัฐบาลเพื่อไทย

พรรคประชาชน จะรักษาไม่ให้ข้อตกลงกับภูมิใจไทยถูกฉีกได้จริงไหม ?

แม้การที่ ปชน. ประกาศสนับสนุน นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. เป็นนายกรัฐมนตรี จะสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่หัวหน้าพรรค ปชน. ยืนยันว่าจะดำเนินการเพื่อให้ ภท. ต้องแบกรับต้นทุนหากมีการ “บิดพลิ้ว” เกิดขึ้น

แต่นักวิชาการทั้งสองจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกลับเห็นว่า แนวทางของ ปชน. ยากที่จะเป็นไปได้จริง

ดร.สติธร ประเมินว่าจะไม่มีประเด็นใดในข้อตกลง 5 ข้อที่จะบรรลุผลได้จริง เว้นเพียงเรื่องเดียว คือการที่ ปชน. จะไม่ได้เข้าร่วมคณะรัฐมนตรี

“ไม่น่าจะได้สักเรื่อง ได้เรื่องเดียวคือได้นายกฯ ชื่ออนุทิน ซึ่งมันอยู่ในข้อเรียกร้องไหม” เขาถามก่อนจะสรุปว่า “ได้เรื่องเดียวคือไม่ได้ร่วม ครม. สมหวังเรื่องนี้”

ด้าน ศ.ดร.สิริพรรณ แสดงทัศนะเช่นกันว่าการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลงนั้นเป็นไปได้ยากสำหรับ ปชน. ทั้งเรื่องการขอให้ ภท. ตกลงว่าจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย, การผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญ และการยุบสภาภายใน 4 เดือน

ไม่สามารถวัดความเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้จริง

เอกสารข้อตกลงที่ลงนามโดยหัวหน้าพรรค ปชน. และหัวหน้าพรรค ภท. ระบุว่า “พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ดำเนินการโดยวิธีการใด ๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก”

ศ.ดร.สิริพรรณ ตั้งข้อสังเกตว่า ข้อกำหนดดังกล่าวอาจมีช่องว่างในการตีความ

“คุณจะวัดเสียงข้างมากอย่างไร ถ้าทุกครั้งที่โหวตคุณดึงงูเห่ามาได้” เธอกล่าว

ศาสตราจารย์จากจุฬาฯ ผู้นี้ยังกล่าวถึงกติกาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ซึ่งกำหนดให้ สส. ที่ลาออกจากพรรคระหว่างดำรงตำแหน่งจะต้องสิ้นสภาพการเป็น ส.ส. ทันที โดยเธอชี้ว่าในทางปฏิบัติ ไม่จำเป็นที่พรรคภูมิใจไทยจะต้องไปดึง สส. จากพรรคอื่นมาสังกัดพรรคตัวเองเพิ่ม

“คุณสังกัดพรรคอื่นตอนนี้ หากย้ายพรรคคุณก็ต้องสละสิทธิ์ ส.ส. ใช่ไหม ดังนั้นมันไม่ต้องมีความพยายามแบบดึงให้มาย้ายพรรค แต่ทุกครั้งที่มีการโหวตคุณก็ใช้วิธีแจกกล้วย มันก็จะกลายเป็นเสียงข้างมากโดยรูปธรรม”

ภูมิใจไทยไม่เคยมีท่าทีอยากแก้รัฐธรรมนูญมาก่อน-ต้องใช้กรอบเวลานาน

สำหรับข้อตกลงเรื่องการต้องช่วยกันผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญ ยังคงมีอุปสรรคสำคัญ โดยเฉพาะจากท่าทีของ ภท. ที่ไม่เคยสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาก่อน

ศ.ดร.สิริพรรณ ซึ่งเคยเป็นกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ในสมัยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ระบุว่า “ตัวแทนจากภาคภูมิใจไทยไม่เคยพูดอะไร ไม่เคยแสดงท่าทีสนับสนุน”

เธอระบุต่อไปว่าแม้แต่ “การทำประชามติสองชั้น” ก็เป็นแนวคิดที่มาจาก ภท. ซึ่งต่อมามีการลงคะแนนไปในทิศทางเดียวกับ สว.

นอกจากนี้ นักรัฐศาสตร์รายนี้ยังชี้ว่าหากจะดำเนินการแก้รัฐธรรมนูญตามแนวทางของ ปชน. จริง จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี

ทั้งนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2560 ยังต้องใช้เสียงรับรองอย่างน้อย 1 ใน 3 ของที่นั่งในวุฒิสภา ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองเปรียบเทียบกล่าวว่าข้อเรียกร้องของ ปชน. จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อ ปชน. ต้องสร้างเงื่อนไขให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) โดยต้องตั้งคำถามที่เลี่ยงการแก้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2560

ศ.ดร.สิริพรรณ ยกตัวอย่างว่า “ต้องเป็นคำถามว่า หนึ่ง ท่านเห็นชอบหรือไม่ที่จะจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จัดทําโดย สสร. และข้อที่ 2 คือในระหว่างที่ไม่มีรัฐธรรมนูญ 2560 บังคับใช้ ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่าจะใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 บังคับใช้ไปพลางก่อน”

“คำถามนี้ ไม่ใช่การเสนอแก้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ที่ต้องใช้เสียง สว. และ ถ้าประชามติผ่าน รธน. 2560 ก็จะถูกล้มโดยปริยายด้วยอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญใหม่ของประชาชน” เธออธิบายโดยชี้ว่าอาจเป็นแนวทางที่ “หักดิบ” แต่สามารถทำได้หากพรรคการเมืองหลักเห็นตรงกัน

ที่มาของภาพ : กองโฆษก พรรคประชาชน

4 เดือนนานพอต่อการฝังรากในองคาพยพในรัฐธรรมนูญ 60

แม้ ปชน. จะเสนอกรอบเวลา 4 เดือนในการดำเนินการยุบสภาหลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่ศาสตราจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า เงื่อนไขดังกล่าวยังเปิดช่องให้ ภท. สามารถยืดระยะเวลาออกไปได้

เธออธิบายกับ.ในช่วงก่อนที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะกำหนดวันเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นวันที่ 5 ก.ย. นี้ ว่า “4 เดือนของพรรคประชาชนนับตั้งแต่แถลงนโยบาย ซึ่งกว่าจะแถลงนโยบายก็ประมาณเดือนตุลาคม”

ศ.ดร.สิริพรรณ ยังวิเคราะห์ด้วยว่า ระยะเวลา 4 เดือนดังกล่าวอาจเพียงพอให้วุฒิสภาใช้เวลาในการรับรองและแต่งตั้งบุคคลในองค์กรอิสระ ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะดำรงตำแหน่งยาวนานถึง 7 ปี

เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า “ถ้าถึงจุดนั้นแล้ว ภูมิใจไทยอาจจะยอมผ่อนเรื่องแก้รัฐธรรมนูญก็เป็นได้”

ในประเด็นเดียวกัน ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ศาสตราจารย์พิเศษจากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ตั้งสมมุติฐานว่า หากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่สำเร็จภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องยุบสภาภายในสี่เดือนหลังแถลงนโยบาย รัฐบาลใหม่จะต้องเข้าแถลงนโยบายภายในเดือนกันยายน

เขาระบุว่า “หากเริ่มนับระยะเวลาสี่เดือนตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ก็จะครบกำหนดในช่วงสิ้นเดือนมกราคม 2569”

ศ.ธงทองอธิบายเพิ่มเติมว่า “ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้งเพราะเหตุยุบสภา จะต้องมีในกำหนดเวลาไม่น้อยกว่า forty five วันแต่ไม่เกิน 60 วันนับแต่วันพระราชกฤษฎีกายุบสภาใช้บังคับ” ซึ่งหมายความว่า การเลือกตั้งทั่วไปจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม หรืออย่างช้าต้นเดือนเมษายน 2569

เขาเขียนต่อไปว่า “กว่าที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจะประกาศผลการเลือกตั้ง กว่าที่จะมีการเจรจาเพื่อจัดตั้งรัฐบาล จากประสบการณ์ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2566 ต้องใช้เวลาช่วงนี้อีกสองเดือน”

จากการวิเคราะห์กรอบเวลาดังกล่าว ศ.ธงทองสรุปว่า “สมมุติว่านับปฏิทินตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน รัฐบาลชุดใหม่น่าจะเข้ารับหน้าที่ได้ต้นเดือนมิถุนายน 2569” ซึ่งหมายความว่า หากไม่มีปัจจัยแทรกซ้อน รัฐบาลที่อาจเกิดขึ้นในเดือนกันยายนปีนี้ จะอยู่ในหน้าที่เป็นเวลาประมาณ 8–9 เดือน

กลไกใหม่แทนรัฐประหาร

ในภาพรวมของการเมืองไทยยุคหลังรัฐประหาร ศ.ดร.สิริพรรณ ชี้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของกลุ่มอนุรักษนิยมและทหาร ที่หันมาใช้กระบวนการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจ แทนการใช้กำลังโดยตรง

“เพื่อหลีกเลี่ยงการรัฐประหาร เวลาที่ชนชั้นนํารู้สึกเป็นภัยถูกคุกคามหรือไม่พอใจ ก็ใช้เครื่องมือทางการเมืองอื่นที่มีอาวุธทางการเมืองที่ได้ฝังฝังนิวเคลียร์เอาไว้ในรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว”

เธออธิบายว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 ได้ฝังกลไกควบคุมการไหลเวียนของอำนาจผ่านวุฒิสภาและองค์กรอิสระ เช่น กกต. และ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “องคาพยพหลักทางการเมือง” ที่ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระบบ และ ภท. กลายเป็นศูนย์กลางของกลไกนี้

ดร.สติธร เห็นตรงกับ ศ.ดร.สิริพรรณ ว่าการรัฐประหารในปัจุบันมีต้นทุนสูง และเครื่องมือสำคัญของผู้มีอำนาจอย่างรัฐธรรมนูญยังทำหน้าที่ได้ดี อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งยังเป็นปัจจัยที่ท้าทายในการกระชับอำนาจภายใต้กลไกลนี้

เขาอธิบายต่อว่า “สมมุติว่าไม่รัฐประหารโดยใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือ แต่ยังไงเสียก็ต้องเปิดไปสู่การเลือกตั้ง สิ่งที่ยังคุมยากก็คือผลการเลือกตั้ง แปลว่าก็ต้องพึ่งพาพรรคการเมืองที่ไปสู้เลือกตั้งแล้วก็กลับเข้ามาอยู่ในกรอบที่เขาตีเส้นเอาไว้”

คล้ายกับที่ ศ.ดร.สิริพรรณ กล่าวเปรียบว่า ภท. ในปัจจุบันมีสถานะคล้ายกับพรรคพลังประชารัฐในอดีต ดร.สติธร อธิบายในทิศทางเดียวกันว่าหลังจากความนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลดลง กลุ่มอนุรักษนิยมจึงขาดศูนย์รวมจิตใจ และจำเป็นต้องหาพรรคใหม่ที่จะมาเป็นแกนกลางทางการเมือง

แม้จะมีความพยายามในการสร้างพรรคใหม่หลายแห่ง แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มผู้มีอำนาจได้เท่ากับ ภท. ซึ่งมีฐานเสียงจาก “บ้านใหญ่” และโครงสร้างที่มั่นคงอยู่แล้ว

เขาทำนายต่อไปว่าจากนี้ไปภารกิจขององคาพยพฝ่ายอนุรักษนิยม คือการพยายามผลักดันให้ภท. ได้รับคะแนนปาร์ตี้ลิสต์เพิ่มขึ้นจากเดิมที่อยู่เพียง 2-3% ให้เทียบเท่ากับพรรครวมไทยสร้างชาติในการเลือกตั้งครั้งก่อน

สองนักวิชาการที่.ได้สนทนาด้วยชี้ตรงกันว่าการสร้าง “พลังขวา” ส่งผลอย่างมากกับพัฒนาการทางการเมืองในระยะที่ผ่านมา

ศ.ดร.สิริพรรณชี้ชวนให้ทบทวนว่า “ย้อนกลับไปเราจะเห็นว่ามันมีการวางแผนมาเป็นขั้นตอน แม้แต่เรื่องข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งด้วย”

ด้านดร.สติธร กล่าวตรงกันว่า “วันนี้มันมีประตูเปิดอีก มีประเด็นชายแดนไทย มีชาตินิยมเปิดเกิดขึ้นมา คนรู้สึกว่าเหมือนพลังขวามันเกิด”

อย่างไรก็ตาม ดร.สติธร ชี้ว่าพรรค ภท. ก็ต้องพิสูจน์ตนเองในการเป็นเสาหลักให้กลุ่มการเมืองฝ่ายอนุรักษนิยมผ่านการเป็นรัฐบาลและการเลือกตั้งครั้งหน้าเช่นเดียวกัน

“รอบนี้ก็คือพูดง่าย ๆ เลือกภูมิใจไทยมาให้โอกาสเป็นรัฐบาล แล้วคุณก็ไปพิสูจน์ว่าคุณจะเป็นเสาหลักได้หรือเปล่าในการเลือกตั้งสำหรับฝ่ายอนุรักษนิยม” ดร.สติธร สรุป

ที่มาของภาพ : Getty Photos

ทางเลือกที่ต้องแลกของพรรคประชาชน

ศ.ดร.สิริพรรณ แสดงความคิดเห็นต่อกระแสการตั้งคำถามเกี่ยวกับการตัดสินใจของ ปชน. โดยระบุว่า การตัดสินใจของพรรคประชาชนเป็นการดำเนินการเชิงยุทธศาสตร์มากกว่าการสนับสนุนเชิงอุดมการณ์

“คิดว่าต้องให้ความเป็นธรรมพรรคส้ม เขาโหวตยุทธศาสตร์เพราะต้องการบีบให้เพื่อไทยยุบสภา” เธอกล่าวกับ.ในวันที่ 3 ก.ย. ก่อนที่เพื่อไทยจะประกาศข้อเสนอให้โหวต นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกฯ พร้อมยุบสภาหลังจากนั้นทันทีโดยไม่ต้องรอ 4 เดือน แต่ ปชน. ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว

ดร.สติธรวิเคราะห์ว่า หาก ปชน. ไม่เลือกผู้ใดเลย แต่ผลลัพธ์ทางการเมืองกลับนำไปสู่การกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือมีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนนอกตามมาตรา 5 แห่งรัฐธรรมนูญ ปชน. อาจถูกวิจารณ์ว่าไม่เลือก พท. หรือ ภท. ในช่วงเวลาที่มีโอกาสเลือกได้

อย่างไรก็ดี ศ.ดร.สิริพรรณ ตั้งคำถามถึงความสมเหตุสมผลของความกังวลว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า อดีตนายทหารผู้ทำรัฐประหารได้รับการแต่งตั้งเป็นองคมนตรีแล้ว และไม่ได้ควบคุมกลไกหลักของรัฐธรรมนูญอีกต่อไป ต่างจาก ภท. ที่ยังอยู่ในศูนย์กลางอำนาจ

“การเลือกครั้งนี้ จะทําให้พรรคประชาชนต้องตอบคําถามประชาชนเยอะมาก กับคะแนนนิยมที่แลกหรือจะได้รับความไว้วางใจความเชื่อมั่นอย่างที่คาดหวังไว้จริง ๆ หรือเปล่า” เธอกล่าว

ดร.สติธรเห็นด้วย โดยชี้ว่าการตัดสินใจเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล สร้างความผิดหวังให้กับฐานเสียงบางส่วนของ ปชน. และอาจส่งผลต่อพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า

เขาอธิบายว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เคยสนับสนุน ปชน. และไม่ต้องการเลือกพรรคภูมิใจไทย อาจเผชิญกับทางเลือกที่จำกัดมากขึ้น และต้องเปลี่ยนวิธีคิดจากการเลือกพรรคที่ชอบที่สุด มาเป็นการเลือก “ทางเลือกที่เลวน้อยที่สุด” สำหรับพวกเขา