
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 พิพากษาจำคุก 5 ปี ไตรศักดิ์ ปัทมรัฐจิวนนท์ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ใช้บุคคลากร-ทรัพยากรของรัฐ ไปใช้ในกิจการส่วนตัว แสวงหาประโยชน์ให้กับตัวเอง ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนในพื้นที่
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า วันที่ 17 กันยายน 2568 ศาลอาญาคดีที่จริตและประพฤติมิชอบภาค 1 อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อท50/2568 คดีหมายเลขแดงที่ 106/2568 ระหว่างอัยการสูงสุด (อสส.) โดยพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 1 โจทก์ นายไตรศักดิ์ ปัทมรัฐจิวนนท์ จำเลย กรณีจำเลยซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีตำบลเจ้าพระยานำบุคลากรและครุภัณฑ์ของเทศบาลตำบลเจ้าพระยาไปใช้ในกิจการส่วนตัว
โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท เป็นผู้ก่อตั้งศูนย์การเรียนรู้ตามรอยพ่อหลวง หรือ สวนมะกรูดนายกใหญ่ยินยอมให้หน่วยงานราชการและประชาชนทั่วไปใช้สถานที่เพื่อใช้จัดการประชุม จัดสัมมนาและจัดอบรมต่าง ๆ โดยเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการขอใช้สถานที่ เช่น ค่าวิทยากร ค่าบำรุงรักษาศูนย์การเรียนรู้ ค่าอาหารว่าง และค่าอาหารกลางวัน โดยปิดป้ายไว้ที่ศูนย์การเรียนรู้ตามรอยพ่อหลวงหรือสวนมะกรูดนายกใหญ่และมีแผ่นพับที่มีข้อความแสดงค่าใช้จ่ายในการขอใช้สถานที่ จำเลยนำครุภัณฑ์ประเภทเครื่องตัดหญ้าและเครื่องสูบน้ำซึ่งเป็นครุภัณฑ์ของเทศบาลดำบลเจ้าพระยาผู้เสียหาย ไปใช้ในกิจการส่วนตัวในบริเวณพื้นที่ของปัทมรัฐจิรนนท์ฟาร์มและศูนย์การเรียนรู้ตามรอยพ่อหลวงหรือสวนมะกรูดนายกใหญ่ซึ่งเป็นกิจการส่วนตัวของจำเลย
ทั้งได้สั่งการให้ลูกจ้างของผู้เสียหายไปทำงานที่ศูนย์การเรียนรู้ตามรอยพ่อหลวงหรือสวนมะกรูดนายกใหญ่ของจำเลย จึงเป็นการอาศัยอำนาจในตำแหน่งและหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นเหตุให้เทศบาลตำบลเจ้าพระยาได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172
จำเลยให้การปฏิเสธ
ทางไต่สวนได้ความว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท สั่งการให้คนงานซึ่งเป็นลูกจ้างของเทศบาลตำบลเจ้าพระยา ผู้เสียหายไปทำงานที่สวนมะกรูดนายกใหญ่ของจำเลยและได้นำเครื่องตัดหญ้าของผู้เสียหายไปใช้ในสถานที่ดังกล่าวด้วย
จึงเห็นว่าการที่จำเลยสั่งการให้คนงานซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้เสียหายไปทำงานที่สวนมะกรูดนายกใหญ่ของจำเลยและได้นำเครื่องตัดหญ้าของผู้เสียหายไปใช้ในสถานที่ดังกล่าวเป็นการใช้ประโยชน์จากบุคลากรและทรัพย์สินของผู้เสียหายซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐอันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มีควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น
ส่วนที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าสวนมะกรูดนายกใหญ่ของจำเลยจัดตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนหรือเกษตรกรในพื้นที่ให้ปลูกพืชใช้น้ำน้อยและพืชทางเลือกอื่น ๆ โดยยึดตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามพระราชดำริขององค์พ่อหลวง ร.9 โดยมิได้เรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เข้าไปศึกษาดูงานแต่อย่างใดนั้น
ปรากฏป้ายอัตราค่าใช้จ่ายในการเข้าศึกษาดูงานซึ่งจำเลยเบิกความรับรองว่าติดอยู่ภายในสวนมะกรูดนายกใหญ่ของจำเลยมีอัตราค่าวิทยากร ค่าอาหารและราคากิ่งพันธ์พืชที่จำเลยจัดจำหน่ายภายในสถานที่ดังกล่าวด้วย
แสดงให้เห็นว่า นอกจากการเข้าศึกษาดูงานภายในสถานที่ดังกล่าวแล้ว แม้หากเป็นส่วนราชการหรือประชาชนที่เข้าไปศึกษาดูงานอาจไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนของการใช้สถานที่ แต่จำเลยย่อมได้รับประโยชน์จากการขายกิ่งพันธุ์ไม้ที่จำเลยจัดจำหน่ายภายในสถานที่ดังกล่าว
นอกจากนี้จำเลยยังเบิกความรับว่า เหตุที่สั่งการให้คนงานของผู้เสียหายเข้าไปทำงานที่สวนมะกรูดนายกใหญ่และนำเครื่องตัดหญ้าไปใช้ในสถานที่ดังกล่าวนั้นเพียงให้เข้าไปดูแลเฉพาะแปลงสาธิตและหอประชุมที่ใช้ในการประชุมของผู้เสียหายเท่านั้น
แต่จำเลยเบิกความว่าได้สั่งการให้คนงานเข้าไปทำงานในสถานที่ดังกล่าว ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวของจำเลยสัปดาห์ละ 2 – 3 วัน และหากมีการประชุมบ่อยครั้งจำเลยจะสั่งการให้คนงานเข้าไปทำงานแทบทุกวัน ซึ่งการที่จำเลยสั่งการให้คนงานเข้าไปทำงานและนำเครื่องตัดหญ้าไปใช้ในสถานที่ส่วนตัวของจำเลยนั้นย่อมเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยโดยตรง
แม้หากจำเลยไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการอนุญาตเข้าไปศึกษาดงานที่สวนมะกรูดนายกใหญ่ของจำเลยจริง จำเลยย่อมได้รับประโยชน์จากคะแนนนิยมของประชาชนในพื้นพื้นที่และย่อมส่งผลให้จำเลยได้รับเลือกตั้ง หรือได้รับผลประโยชน์ในทางการเมืองอันเป็นการหาเสียงและการแถลงนโยบายของจำเลยสืบเนื่องจากการใช้ประโยชน์จากบุคลากรและทรัพย์สินของผู้เสียหายนั้นเอง
การกระทำของจำเลยเป็นการอาศัยโอกาสทางการเมืองจากตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยเอง จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นซึ่งเป็นการทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (1) จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่เทศบาลตำบลเจ้าพระยา หรือเจ้าของทรัพย์นั้น ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่เทศบาลตำบลเจ้าพระยา ผู้เสียหาย ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามฟ้องจริง
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 พ.ร.ป. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำเลยจำคุก 5 ปี
ที่มาภาพปก : pptvhd36
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )