รู้จักบ้านหนองหญ้าแก้ว-บ้านหนองจาน จุดกระทบกระทั่งชายแดนรอบล่าสุด ที่แผนที่ ทบ. ชี้กัมพูชาล้ำฝั่งไทย

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

เจ้าหน้าที่ของไทยอำนวยความสะดวกให้คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Intervening time Observer Crew – IOT) ฝ่ายไทยเข้าไปในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ก่อนเกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งระหว่างสองฝ่าย เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ที่ผ่านมา

เหตุกระทบกระทั่งระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมชาวกัมพูชากับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของไทยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งพบพฤติการณ์ที่ฝ่ายไทยบอกว่า “รุกล้ำเขตแดนเข้ามา” ประท้วงการทำงานของฝ่ายไทยและลงมือรื้อลวดหนาม จนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชน (คฝ.) ต้องใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางควบคุมสถานการณ์ ทำให้พื้นที่ชายแดนด้านตะวันออกของไทยที่ จ.สระแก้ว กลายมาเป็นจุดสนใจในกรณีข้อพิพาทเขตแดนล่าสุด

วานนี้ (17 ก.ย.) กองทัพบกแถลงยืนยันว่าจำเป็นต้องใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางควบคุมสถานการณ์ เพื่อไม่ให้การประท้วงของชาวกัมพูชาราว 200 คน บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ลุกลามเป็นการจลาจล

ในช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมาก็เคยมีการประท้วงของชาวกัมพูชาบริเวณบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว หลังจากทหารของไทยเข้าไปวางรั้วลวดหนามพื้นที่ดังกล่าว โดยที่ฝ่ายกัมพูชายังคง “อ้างสิทธิว่าเป็นของตน”

.สำรวจข้อมูลเพื่อดูว่าเหตุใดในพื้นที่สองหมู่บ้านใน จ.สระแก้ว ที่ปักหลักเขตแดนเสร็จสิ้นแล้วยังคงเกิดข้อพิพาทขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา อันเปราะบาง ในช่วงที่ต่างฝ่ายต่างพยายามทำตามข้อตกลงหยุดยิv

หลักเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ในบ้านหนองหญ้าแก้ว-บ้านหนองจาน มีปัญหาอะไร ?

ทั้งสองพื้นที่ ได้แก่ บ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านหนองจานใน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ที่เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างประชาชาวกัมพูชากับเจ้าหน้าที่ของไทยนั้น ข้อมูลจากกองทัพบกของไทยระบุว่า พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้วอยู่ระหว่างหลักเขตที่ 42-43 ส่วนบ้านหนองจานอยู่ระหว่างหลักเขตที่ 46-47

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Waste of ได้รับความนิยมสูงสุด

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างสองฝ่าย ในปี 2551 เอกสารเพื่อใช้ประกอบการพิจารณากรอบการเจรจาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนระหว่างสองประเทศที่เข้าสู่การประชุมร่วมกันของสองสภา ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า บริเวณหลักเขตที่ 46-Forty eight ต.โนนหมากมุ่น กิ่ง อ.โคกสูง (ปัจจุบันมีสถานะเป็นอำเภอ) “ถูกราษฎรกัมพูชาบ้านโชคชัย จ.บันเตียเมียนเจย ประมาณ 200 คน รุกล้ำเข้ามาปลูกที่อยู่อาศัยในเขตไทย ห่างจากชายแดนประมาณ 300 เมตร คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 400 ไร่ นอกจากนี้หลักเขตที่ Forty eight ยังถูกทำลาย”

ข้อมูลจากกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า เขตแดนไทยกัมพูชามีความยาวประมาณ 798 กิโลเมตร โดยเขตแดนระหว่างสองประเทศเป็นผลมาจากการปักปันเขตแดน (Delimitation of Boundary) ตามอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 กับสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 และพิธีสารแนบท้าย

ทั้งนี้ เขตแดนไทย-กัมพูชา แยกเป็นเขตแดนตามสันปันน้ำและแนวเส้นตรง 590 กิโลเมตร กับร่องน้ำลึกและลำน้ำอีก 208 กิโลเมตร

แต่ยังมีเขตแดนทางบกอีก 195 กิโลเมตรที่ยังไม่มีการปักหลักเขตแดน อ้างอิงจากหนังสือชื่อว่า “ข้อมูลที่ประชาชนไทยควรทราบ เกี่ยวกับกรณีปราสาทเขาพระวิหาร และการเจรจาเขตแดนไทย-กัมพูชา” ซึ่งเผยแพร่โดยกระทรวงการต่างประเทศในปี 2554

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ส่วนการปักหลักเขตแดนที่ดำเนินไปแล้วนั้น ด้านสำนักโฆษกกระทรวงกลาโหมของไทย เผยแพร่ชุดข้อมูลเมื่อวันที่ 6 ก.ย. ที่ผ่านมา ระบุว่า หลักเขตที่ไทยกับกัมพูชาเห็นตรงกันนั้นมีอยู่ forty five หลักเขตด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้

  • สันปันน้ำ 15 หลัก ได้แก่ 2, 3, 4, 5, 7, 12, 13, 14, 15, 18, 19, 27, 69, 70, 72
  • เส้นตรง 12 หลัก ได้แก่ 37, 40, 41, forty five, 52, Fifty three, 54, 55, 56, 57, 58, 59
  • คลอง 18 หลัก ได้แก่ 29, 30, 31, 32, 43, 44, 49, 50, 51, 60, 61, 62, 63, 64, 65, 66, 67, 68

ส่วนหลักเขตที่ไทยกับกัมพูชาเห็นไม่ตรงกันมีอยู่ 29 หลัก ได้แก่

  • สันปันน้ำ 18 หลัก ได้แก่ 1, 6, 8, 9, 10, 11, 16, 17, 20, 21, 22, 22B, 23, 24, 25, 26, 28, 71
  • เส้นตรง 11 หลัก ได้แก่ 33, 34, 35, 36, 38, 39, 42, 46, 47, Forty eight, 73

จากข้อมูลข้างต้นจึงเห็นได้ว่าทั้งสองพื้นที่ใน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ซึ่งเกิดเหตุเผชิญหน้าระหว่างมวลชนกัมพูชากับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยล่าสุด อยู่ในพื้นที่แนวหลักเขตที่มีปัญหาและไม่มีปัญหา โดยบริเวณพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว มีหลักเขตที่ 43 ซึ่งเป็นแนวเขตแดนที่เป็นคลองและทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันแล้ว แต่ปัญหาคือหลักเขตที่ 42 ซึ่งเป็นเขตแดนแบบเส้นตรง

ส่วนบ้านหนองจานอยู่ในพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายยังเห็นหลักเขตที่ 46-47 ไม่ตรงกัน ซึ่งเป็นแนวเขตแดนแบบเส้นตรงเช่นกัน

บ้านหนองหญ้าแก้ว หลักเขตที่ 42-43 พื้นที่อ้างสิทธิ์ไม่ตรงกัน 196 ไร่

ในงานวิจัยส่วนบุคคลเรื่อง “แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้พื้นที่อ้างสิทธิ์เขตแดนไทย-กัมพูชา ในเขตรับผิดชอบของกองกำลังบูรพา” ซึ่งเผยแพร่โดยวิทยาลัยกองทัพบกในเดือน ก.ย. 2563 ระบุว่าสาเหตุของปัญหาบริเวณหลักเขตที่ 42 บ้านหนองหญ้าแก้ว เป็นเพราะฝ่ายไทยเห็นว่าตำแหน่งหลักเขตในปัจจุบันเป็นตำแหน่งที่ถูกต้อง ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาเห็นว่าควรห่างจากตำแหน่งปัจจุบันไปทางตะวันตกประมาณ 70 เมตร ทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิ์ไม่ตรงกัน 0.3 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 196 ไร่

นอกจากนี้ ยังพบว่าทั้งสองฝ่ายยึดถือแผนที่คนละฉบับ โดยฝ่ายไทยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ลำดับชุด L7017 ซึ่งจัดทำโดยกรมแผนที่ทหาร ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ที่จัดพิมพ์โดยสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม

ส่งผลให้เกิดการทับซ้อนของแนวเขตแดนและประชาชนทั้งสองประเทศไม่สามารถเข้าไปดำเนินการแสวงหาประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวได้

ที่มาของภาพ : โฆษกกองทัพบก

แผนที่แสดงตำแหน่งจุดที่ฝ่ายโฆษกกองทัพบกของไทยบอกว่า “ฝ่ายกัมพูชานำประชาชนเข้ามากดดัน” ในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2568

ในวันที่ 16 ก.ย. ที่ผ่านมา โฆษกกองทัพบกของไทยรายงานว่าจุดที่เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างชาวกัมพูชากับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยนั้นอยู่ในเขตอธิปไตยของไทย พร้อมกับแสดงภาพแผนที่ โดยกองทัพบกระบุว่าเห็นการปรากฏตัวของทหารฝ่ายกัมพูชาขณะที่ชาวบ้านก่อการประท้วงด้วย

อย่างไรก็ตาม .ไม่สามารถยืนยันตำแหน่งที่ทางกองทัพบกของไทยอ้างได้อย่างอิสระ

เช้าวันนี้ (18 ก.ย.) กระทรวงการต่างประเทศและสหปฏิบัติการนานาชาติของกัมพูชา ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อสถานการณ์การใช้เครื่องขยายเสียงทางยุทธวิธี กระสุนยาง และแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมชาวกัมพูชาที่เกิดขึ้นบริเวณหมู่บ้านเปรยจัน (Prey Chan) ต.โอเบโจน (O Bei Choan) อ.โอ-จเริว จ.บันเตียเมียนเจย โดยระบุว่ามาตรการของไทยที่ใช้ตอบโต้ชาวบ้านกัมพูชานั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ “ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาอย่างร้ายแรง”

บ้านหนองจานหลักเขตที่ 46-47 พื้นที่อ้างสิทธิ์ไม่ตรงกัน 252 ไร่

ในงานวิจัยส่วนบุคคลของวิทยาลัยกองทัพบกฉบับเดียวกัน ให้ข้อมูลว่าบริเวณหลักเขตแดนที่ 46-47 บ้านหนองจาน เกิดปัญหาเพราะฝ่ายกัมพูชามีความเห็นว่าตำแหน่งหลักเขตในปัจจุบันมีการเคลื่อนย้ายเข้าไปในฝั่งกัมพูชา ทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิ์ไม่ตรงกันขนาดพื้นที่ 0.4024 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 252 ไร่

ปัญหาการอ้างสิทธิ์บนพื้นที่ที่ไม่ตรงกันของทั้งสองประเทศส่งผลกระทบให้ชาวกัมพูชาบางส่วนยังคงพักอาศัยอยู่ในฝั่งไทยประมาณ 50 ครัวเรือน จำนวนประชากรราว 250 คน ห่างจากเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา เข้ามาในเขตไทยลึกประมาณ 300 เมตร ทำให้ราษฎรไทยที่มีเอกสารสิทธิ์ในบริเวณดังกล่าว รวมถึงบริเวณใกล้เคียง ไม่สามารถเข้าทำกินในพื้นที่ของตนเองได้ จนเกิดข้อร้องเรียนไปยังส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง

ปัจจุบัน เกิดความตึงเครียดในพื้นที่บริเวณนี้อีกครั้งเมื่อช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา โดยชาวบ้านฝ่ายกัมพูชาประท้วงการวางลวดหนามตามจุดต่าง ๆ ของฝ่ายไทย แม้กองทัพบกของไทยยืนยันว่าการติดตั้งลวดหนามดังกล่าวไม่ได้เป็นการวางเพื่อระบุเส้นเขตแดน แต่เพื่อวางแนวเครื่องกีดขวางสำหรับการรักษาความปลอดภัยให้กำลังพล โดยเฉพาะการป้องกันไม่ให้เกิดการลักลอบเข้ามาวางทุ่นsะเบิด

พร้อมกันนี้ โฆษกของกองทัพบกยังกล่าวหาว่า “ฝ่ายกัมพูชามีเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ พยายามใช้ประชาชนเป็นผู้ออกหน้าในการรุกล้ำพื้นที่อธิปไตยของไทยในบริเวณดังกล่าว” เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับฝ่ายทหารของไทยโดยตรง และ “การกระทำดังกล่าวเหมือนวางแผนมาอย่างเป็นระบบ”

อีกปัญหาหนึ่งของพื้นที่นี้ คือ ชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในฝั่งไทยไม่ยอมเดินทางกลับประเทศแม้สงครามในประเทศสงบลงแล้ว โดยก่อนหน้านี้ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เคยออกมาให้ข้อมูลว่าเดิมทีบ้านหนองจานเคยเป็นศูนย์อพยพให้ชาวกัมพูชาที่หนีภัยจากการสู้รบเข้ามาหลบพักพิงชั่วคราวในแผ่นดินไทย

แต่ในเวลาต่อมาชาวกัมพูชา “กลับขยายชุมชน รุกล้ำแผ่นดินไทยที่เคยให้การช่วยเหลือ ถือเป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 อย่างชัดเจน” และฝ่ายไทยได้คัดค้านและประท้วงการกระทำดังกล่าวอย่างต่อเนื่องตลอดมา

ที่มาของภาพ : โฆษกกองทัพบก

พื้นที่สีแดงคือพื้นที่อ้างสิทธิ์ในบ้านหนองจานที่เกิดจากการเห็นไม่ตรงกันเรื่องหลักเขตที่ 46-47

ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยออกแถลงการณ์ในวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมาด้วยว่า “การอาศัยประโยชน์จากการให้ความช่วยเหลือชาวกัมพูชากลุ่มนี้ของไทยในอดีต ตามหลักมนุษยธรรมที่ไทยยึดถือมาโดยตลอด เป็นการกระทำที่ไม่เพียงแต่ขาดความจริงใจ แต่ยังสะท้อนถึงเจตนาร้ายที่แท้จริงของฝ่ายกัมพูชา”

พร้อมกันนี้ กระทรวงการต่างประเทศยังสนับสนุนคำแถลงของกองทัพบก โดยระบุว่าการติดตั้งลวดหนามในเขตแดนไทยนั้น เป็นการดำเนินการเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย คุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนไทย ป้องกันมิให้มีการรุกล้ำเพิ่มเติมจากฝ่ายกัมพูชา และป้องกันการเข้ามาวางทุ่นsะเบิดโดยฝ่ายกัมพูชา

“การดำเนินการของไทยไม่เป็นการขัดต่อข้อตกลงจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สมัยวิสามัญ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะละเว้นจากการก่อสร้างหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทหารหรือการเสริมความมั่นคงของที่ตั้งทางทหารล้ำออกไปนอกเขตของฝ่ายตน” กระทรวงการต่างประเทศของไทย กล่าว

ขณะที่รายงานสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาประจำวันที่ 26 ส.ค. 2568 ซึ่งจัดทำขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศฯ ของกัมพูชา ระบุว่า “กองกำลังของไทยพยายามติดตั้งรั้วลวดหนามที่หมู่บ้านโชคชัย (Chouk Chey) ต.โอเบโจน (O Bei Choan) อ.โอ-จเริว จ.บันเตียเมียนเจย ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบ้านหนองจาน แต่ถูกขัดขวางจากชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ในหมู่บ้านโชคชัย ทำให้ฝ่ายไทยต้องนำลวดหนามกลับไป”

อย่างไรก็ตาม .ไม่สามารถยืนยันตำแหน่งการวางแนวรั้วลวดหนามในพื้นที่นี้ตามการกล่าวอ้างของทั้งสองฝ่ายได้อย่างอิสระ

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ในรายงานดังกล่าวระบุว่า โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชายืนยันว่าเจ้าของที่ดินและประชาชนร่วมกันยืนหยัด “เพื่อปกป้องสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าเป็นทรัพย์สินที่ถูกต้องตามกฎหมายของพวกเขา” ด้วยความรักและความปรารถนาดีต่อมาตุภูมิ

ส่วนข้อสังเกตว่ามีกองกำลังของกัมพูชาปรากฏตัวอยู่ในพื้นที่ขณะที่ชาวบ้านกำลังประท้วงอยู่นั้น ทางกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ที่ไม่มีอาวุธ แต่ประจำการอยู่ในพื้นที่ตลอดเวลาเพื่อให้ชาวกัมพูชารู้สึกปลอดภัย

“ทั้งกองกำลังและเจ้าหน้าที่ของเราได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมืออาชีพและมีความรับผิดชอบอย่างสูง รวมถึงปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงหยุดยิvอย่างเคร่งครัด” รายงานของกระทรวงการต่างประเทศฯ ของกัมพูชา อ้างถึงคำยืนยันของโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา