
สปสช. เปิดเวทีอภิปรายและรับฟังความเห็นทุกภาคส่วน“ร่างประกาศ ควบคุมฯ คุณภาพ-มาตรฐาน” ระบบบัตรทอง
สปสช. จัดเวทีอภิปรายและรับฟังความเห็น “ร่างประกาศกำหนดมาตรฐานควบคุม–ส่งเสริมคุณภาพและมาตรฐานฯ” จากหน่วยบริการทุกระดับ พร้อมภาคีเครือข่ายบริการในระบบบัตรทอง ร่วมระดมข้อเสนอสู่การยกระดับบริการก่อนประกาศบังคับใช้
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดเวทีอภิปรายและรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ต่อ “ร่างประกาศคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข เรื่อง “การกำหนดมาตรการควบคุมและส่งเสริมคุณภาพและมาตรฐานหน่วยบริการและเครือข่ายหน่วยบริการ” เป็นไปตามมาตรา 50(3) แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 โดยมีผู้แทนจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) สถาบันรับรองคุณภาพ (สรพ.) เครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (UHosNet) โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน สภาวิชาชีพทางการแพทย์ (แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเภสัชกรรม) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และภาคประชาสังคม เข้าร่วมแลกเปลี่ยน และเสนอความเห็น ณ โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น พลัส แวนด้า แกรนด์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา
รศ. ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญ เนื่องจากการควบคุมและส่งเสริมคุณภาพมาตรฐานหน่วยบริการและเครือข่าย เป็นบทบาทของคณะกรรมการควบคุมคุณภาพฯ ตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แต่กว่า 20 ปีที่ผ่านมา ยังไม่มีการกำหนดมาตรการเฉพาะ โดยใช้มาตรฐานจากหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และสภาวิชาชีพ โดยในวันนี้มีผู้แทนจากหลายภาคส่วนร่วมให้ข้อเสนอแนะ อาทิ สบส. สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเภสัชกรรม ชมรมโรงพยาบาลศูนย์/ทั่วไป ชมรมผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชน องค์การบริหารส่วนจังหวัด และหน่วยบริการตามมาตรา 3
“ประกาศเรื่องการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานฯ ฉบับนี้ จะเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับระบบบริการสุขภาพในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) หลังการรับฟังครั้งนี้ สปสช. จะปรับแก้ และเสนอต่อคณะกรรมการควบคุมคุณภาพฯ เพื่อประกาศใช้ต่อไป” รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว
นพ.สุรชัย โชคครรชิตไชย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครปฐม ในฐานะผู้แทนชมรมโรงพยาบาลศูนย์/ทั่วไป กล่าวว่า การควบคุมและส่งเสริมคุณภาพหน่วยบริการเป็นเรื่องที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง เช่น การสนับสนุนให้หน่วยบริการเข้าสู่ระบบรับรองคุณภาพ พร้อมจัดสรรงบประมาณและที่ปรึกษาในการพัฒนา ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลต้องแบกรับเองในอดีต นอกจากนี้ การมีระบบติดตามผลลัพธ์และตัวชี้วัด (KPI) ผ่าน Dashboard เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างหน่วยบริการ ถือเป็นแนวทางที่ดี หากสามารถเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข และผนวกเข้ากับแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service conception) ก็จะยิ่งทำให้มาตรฐานบริการเข้มแข็งขึ้น
“สิ่งสำคัญคือการตรวจเยี่ยมหน่วยบริการเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ เพราะบุคลากรในภูมิภาคทำงานหนักและดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ นอกจากนี้หากมีการจัดเวทีแลกเปลี่ยนหรือโชว์ผลงานที่ดี ร่วมกับ สธ. ก็จะช่วยให้เกิดองค์ความรู้และงานวิจัยใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดูแลประชาชน” นพ.สุรชัย กล่าว
ทั้งนี้ นพ.สุรชัย ยังเสนอให้คณะกรรมการควบคุมฯ พิจารณากำหนดราคากลางของอัตราค่าบริการโรคต่างๆ ตามมาตรา 50(4) แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อให้บอร์ด สปสช. ใช้ประกอบการวางหลักเกณฑ์การจ่ายค่าบริการอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับต้นทุนจริง ซึ่งจะช่วยให้โรงพยาบาลสามารถดำเนินงานได้อย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน
นายวีระชาติ ทุ่งไผ่แหลม รองนายก องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า ปัจจุบัน องค์การบริหารส่วนจังหวัด มีบทบาทด้านสาธารณสุขมากขึ้น จากการถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โดยเฉพาะ องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ที่รับถ่ายโอนแล้ว 182 แห่ง มาตรการควบคุมของ สปสช. ครั้งนี้ ถือว่าตอบโจทย์การยกระดับคุณภาพการให้บริการของ รพ.สต. ที่ถ่ายโอนมาได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามกระบวนการถ่ายโอนยังมีอุปสรรคบางประการ เช่น แพทย์จากโรงพยาบาล สธ. บางแห่งไม่ได้จัดคลินิกใน รพ.สต. ถ่ายโอนเหมือนเดิม รวมถึงความชัดเจนเรื่องระยะเวลาการตรวจประเมินที่ควรกำหนดเป็นรายไตรมาส เพื่อให้พื้นที่เตรียมการและส่งข้อมูลได้เป็นขั้นตอน
“ในภาพรวม หน่วยบริการปฐมภูมิในระบบบัตรทองสามารถปฏิบัติตามมาตรการได้ แต่อาจต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะ รพ.สต. บางแห่งยังไม่พร้อมเต็มศักยภาพ เช่น ขาดยา เวชภัณฑ์ และบุคลากรทางการแพทย์” รองนายก องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา กล่าว
ดร.กฤษดา แสวงดี อุปนายกสภาการพยาบาล คนที่หนึ่ง กล่าวว่า เห็นด้วยกับแนวทางของ สปสช. เพราะในฐานะผู้ซื้อบริการควรได้รับการดูแลที่มีคุณภาพและมาตรฐานแก่ประชาชน ขณะเดียวกัน องค์กรวิชาชีพควรได้รับการสนับสนุนและมีบทบาทร่วมในมาตรการครั้งนี้ เพื่อผลักดันให้ระบบบริการสุขภาพก้าวสู่มาตรฐานที่ประชาชนพึงได้รับ อย่างไรก็ดีเสนอให้ สปสช. พิจารณาเพิ่มเติมในร่างประกาศ 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) การเข้าถึงบริการ (Accessibility) อย่างสะดวก 2) ความพร้อมของทรัพยากรสุขภาพ (Availability) โดยเฉพาะกำลังคนที่ปัจจุบันยังไม่สอดคล้องมาตรฐานที่สภาการพยาบาลกำหนด 3) ศักยภาพบุคลากรที่เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ (Acceptability) และ 4) คุณภาพบริการ (Quality) ที่สะท้อนจากผลลัพธ์ทางสุขภาพของประชาชน
นอกจากนี้ยังเห็นว่าการกำกับคุณภาพและมาตรฐานตามมาตรา 50(3) ควรบูรณาการกับอำนาจในมาตรา 50(6)(7) และ (9) คือ การรายงานต่อหน่วยต้นสังกัดเมื่อหน่วยบริการไม่ผ่านมาตรฐาน การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน และการพัฒนาระบบเผยแพร่ข้อมูลอย่างโปร่งใส อีกทั้งควรให้ความสำคัญกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับหน่วยบริการ โดยเฉพาะหน่วยบริการตามมาตรา 3 ซึ่งไม่มีสภาวิชาชีพกำกับ จึงควรมีกลไกเฉพาะรองรับ
พญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) กล่าวว่า ร่างประกาศของ สปสช. ควรแยกให้ชัดเจนระหว่าง “มาตรการควบคุม” กับ “การส่งเสริมคุณภาพ” เพราะแม้นิยามจะแยกไว้ แต่ในเนื้อหายังถูกรวมกัน ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสนเมื่อปฏิบัติ นอกจากนี้ การสนับสนุนหน่วยบริการให้เข้าสู่ระบบรับรองคุณภาพ ควรกำหนดรูปธรรมที่ชัดเจน เช่น รูปแบบและวิธีการจัดสรรงบประมาณ หรือการจัดที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพ
ในด้านการใช้ข้อมูล เห็นด้วยที่จะต้องเปิดให้หน่วยงานต่างๆ ร่วมแบ่งปัน เพื่อใช้ติดตามผลลัพธ์และตัวชี้วัดที่สะท้อนคุณภาพบริการ ความปลอดภัย และการเข้าถึงที่เหมาะสม พร้อมพัฒนา Dashboard ที่สามารถชี้ชัดว่าผลลัพธ์ที่ดีคืออะไรและควรเป็นอย่างไร อีกทั้งควรทบทวนเกณฑ์ เงื่อนไข และระบบจ่ายชดเชยตามเส้นทางการดูแลผู้ป่วย (Patient race) เพื่อให้กระบวนการควบคุมและสนับสนุนครอบคลุมและไม่ซ้ำซ้อน
“หากประกาศนี้มีผลบังคับใช้ สรพ. พร้อมทำงานร่วมกับ สปสช. และองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและข้อกำหนด พร้อมสร้างหลักประกันว่าประชาชนจะได้รับบริการที่มีคุณภาพไม่ต่ำกว่ามาตรฐาน” ผู้อำนวยการสรพ. กล่าว
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )