โรดแมปยุบสภารัฐบาล “อนุทิน” ประชาชนเข้าคูหาเลือกตั้ง 69 ต้องกาบัตร 4 ใบ เลือก สส. 2 ระบบ พ่วงประชามติรัฐธรรมนูญ และเลิก MOU ไทย-กัมพูชา

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

นายกฯ ใช้เวลา 27 นาทีในการแถลงนโยบาย ครม. ต่อรัฐสภา เมื่อ 29 ก.ย.

Article Knowledge

    • Creator, หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
    • Position, ผู้สื่อข่าว.

รัฐบาลกางโรดแมปทางการเมือง ภายหลังนายกฯ คนที่ 32 ยืนยันกลางรัฐสภาว่าจะยุบสภาภายใน 31 ม.ค. 2569 แน่นอน หลังจากนั้นคนไทยจะได้เข้าคูหาเลือกตั้งเพื่อตัดสินใจทางการเมืองใน 3 เรื่องสำคัญ ต้องกาบัตรลงคะแนนถึง 4 ใบ

“ขอนับวันที่ 1 ต.ค. วันแรก นับไป 31 ม.ค. ยุบสภาแน่นอน อันนี้ถือเป็นพันธะระหว่างพรรคที่ลงนาม MOU (Memorandum of Agreement – บันทึกข้อตกลง) กับพรรคประชาชน (ปชน.) เราทราบความมุ่งหมายดีว่าเมื่อถึงเวลาอันสมควรต้องคืนอำนาจให้ประชาชน ดังนั้นรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ แต่มีติ่งท้ายที่ขอกระทำให้สำเร็จคือ รัฐบาลเฉพาะกิจที่ต้องเข้ามาแก้ไขความเสียหายของประเทศที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลที่แล้วมา” นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กล่าวยืนยันในระหว่างการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา

143 สส. พรรคสีส้มร่วมลงมติเห็นชอบให้หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่โดยไม่เข้าร่วมรัฐบาล ซึ่ง หัวหน้า ปชน. และพรรค ภท. ร่วมลงนามใน MOA โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ นายกฯ ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือนนับจากแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา และจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)

การแถลงนโยบายของรัฐบาล “อนุทิน” ต่อรัฐสภาในวันนี้ (29 ก.ย.) ไม่เพียงเป็น “หมุดหมายแรกในการทำงานของรัฐบาล ยังเป็นหมุดหมายแรกของฝ่ายค้านเพื่อนับถอยหลังสู่การยุบสภา และมุ่งหน้าสู่การจัดทำประชามติและการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ตามความเห็นของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ปชน.

นายกฯ อนุทิน ใช้เวลา 27 นาที ในการแถลงนโยบายคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญ ภายใต้กรอบ 5 ด้าน รวม 15 นโยบาย

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด

Give up of ได้รับความนิยมสูงสุด

เนื้อหาตอนหนึ่งระบุถึงการทำประชามติใน 2 วาระสำคัญคือ “รัฐบาลนี้สนับสนุนการจัดทำประชามติและการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยรับฟังเสียงของพี่น้องประชาชน และสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนเพื่อให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและเพื่อธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” และ “ทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Determining – MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ครม. พร้อมเพรียงในการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อแถลงนโยบายของรัฐบาล

เลือกตั้ง 69 พ่วง 2 ประชามติ

ต่อมา นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงเป็นครั้งแรกว่า รัฐบาลจะจัดให้มีการออกเสียงประชามติทั้ง 2 เรื่องพร้อมกัน “การจัดทำประชามติแต่ละครั้ง กกต. (คณะกรรมการการเลือกตั้ง) บอกว่าใช้เงิน 6 พันล้านบาท ฉะนั้นเพื่อให้ประหยัดงบประมาณแผ่นดิน รัฐบาลจะให้จัดทำประชามติไปพร้อมกับการเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไปหลังการยุบสภา”

ประชามติรัฐธรรมนูญ: นายบวรศักดิ์ระบุว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญไม่ได้ใช้คำว่าจัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ “รัฐบาลนี้ไม่ต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แต่ต้องการสนับสนุนให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา” แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน

  • ขั้นตอนที่ 1 รัฐสภาต้องพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 ซึ่งเป็นวิธีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ว่าจะให้ทำไง หากรัฐสภาเห็นชอบจึงเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
  • ขั้นตอนที่ 2 จัดให้มีการออกเสียงประชามติ โดยมี 2 คำถามคือ 1) เห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ 1) เห็นชอบวิธีการและเนื้อหาสาระที่รัฐสภาทำร่างรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 มาแล้วหรือไม่

“เท่าที่ทราบพรรคภูมิใจไทยและพรรคใหญ่ได้พูดไปแล้วในสื่อมวลชนว่าไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 เพราะถ้าร่างรัฐธรรมนูญไปแตะหมวด 1 หมวด 2 ก็จะมีปัญหาทันทีว่าจะขัดกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา 255” นายบวรศักดิ์กล่าว

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ เปิดเผยว่า รัฐบาลชุดนี้จะทำ 2 ประชามติในการวันเลือกตั้งทั่วไป

ประชามติ MOU ไทย-กัมพูชา: นายบวรศักดิ์ชี้แจงว่า รัฐบาลเห็นว่าเรื่องสำคัญแบบนี้กับประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลเฉพาะกิจไม่ควรตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ควรขอฉันทานุมัติจากประชาชน ตามมาตรา 166 ของรัฐธรรมนูญ จึงต้องไปถามประชามติ ถ้าประชาชนบอกเลิกก็ต้องเลิก ถ้าประชาชนบอกให้เก็บไว้ รัฐบาลนี้ก็ต้องเก็บไว้ เพราะประชาชนคือเจ้าของอำนาจอธิปไตย เขาต้องตัดสินใจได้ด้วยตนเอง ดังนั้นก็ต้องทำประชามติถามว่า เห็นชอบให้ยกเลิก MOU กับกัมพูชาหรือไม่

รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลสรุปว่า ในวันเลือกตั้งทั่วไปภายหลังการยุบสภา ประชาชนจะได้บัตรเลือกตั้งทั้งสิ้น 4 ใบ เพื่อเลือก สส.แบบแบ่งเขต, เลือก สส.แบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์), ทำประชามติรัฐธรรมนูญ โดยมี 2 คำถามอยู่ในบัตรเดียวกัน และบัตรใบสุดท้าย ต้องวินิจฉัยว่าจะให้ยกเลิก MOU กับกัมพูชาหรือไม่ ทั้งนี้รัฐบาลจะต้องประชาสัมพันธ์ให้ชัดเจนต่อไป

ก่อนหน้านี้ ผู้นำรัฐบาลประกาศเอาไว้ตั้งแต่วันแรกที่มีการประชุม ครม. นัดพิเศษว่า ประชาชนจะได้ใช้สิทธิเลือกตั้ง สส. ภายในเดือน มี.ค. หรืออย่างช้าต้นเดือน เม.ย. 2569 แต่นี่เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลเปิดเผยว่าจะมีการทำประชามติ 2 วาระพ่วงเข้าไปด้วย

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

นายกฯ ชู 2 นิ้ว ถ่ายภาพร่วมกับบรรดา สส. ก่อนการประชุมร่วมรัฐสภาจะเริ่มต้นขึ้น

นายอนุทินเข้ารับตำแหน่งประมุขฝ่ายบริหารต่อจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ คนที่ 31 และหัวหน้าพรรค พท. ที่ต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจากกรณี “คลิปเสียง” สนทนากับประธานวุฒิสภากัมพูชา โดยศาลเห็นว่า การกระทำของ น.ส.แพทองธาร “ไม่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ และถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเหนือกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมฯ”

ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาปะทุตั้งแต่ 24 ก.ค. จากชายแดนอีสานด้านใต้ ก่อนลุกลามไปยังพื้นที่อื่น ๆ ล่าสุดคือชายแดนด้านตะวันออกของไทย แม้ รมว.กลาโหมของทั้ง 2 ชาติได้ลงนามในบันทึกผลการประชุมประธานคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (Unique Border Committee – GBC) ไทย-กัมพูชา โดยระบุถึงข้อตกลงหยุดยิvก็ตาม นอกจากนี้ยังมีการทำสงครามข้อมูลข่าวสารและสงครามทางการทูตเป็นระยะ ๆ

หนึ่งในนโยบายของรัฐบาล “อนุทิน” ที่สังคมให้ความสนใจเป็นพิเศษ และถูกสมาชิกรัฐสภาหยิบยกขึ้นมาอภิปราย จึงหนีไม่พ้น นโยบายด้านความมั่นคง โดยระบุถึง MOU ไทย-กัมพูชา อย่างไรก็ตามรัฐบาลไม่ได้ระบุว่า MOU ฉบับไหนที่จะนำไปทำประชามติ

สำหรับ MOU 2543 ลงนามในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เป็นบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก มีเป้าหมายในการจัดทำกรอบการทำงานร่วมกัน เพื่อกำหนดเส้นเขตแดน โดยอ้างอิงตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสปี 1904 และ 1907

MOU 2544 ลงนามในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เป็นบันทึกความเข้าใจพื้นที่ทับซ้อนของไหล่ทวีป ข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล

พท. กล่าวหา “4 เดือน เพื่อ 4 ปีกินรวบประเทศ” ?

รัฐบาล “อนุทิน” ไม่เพียงเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ยังเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจที่มีอายุ 4 เดือน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย (พท.) แสดงความมั่นใจว่านายกฯ จะยุบสภาแน่ตามที่สัญญาไว้ เพราะถ้าไม่ยุบจะเสียหาย แต่คิดว่ารัฐบาลจะใช้เวลา 4 เดือนนี้ ดึง-ถ่วงคดีที่มีปัญหา ซึ่งจะก่อให้เกิด 4 หายนะต่อประเทศ

  • หายนะทางประชาธิปไตย: จากมี “สว. สีน้ำเงิน” จะมีการจัดทำ “รัฐธรรมนูญสีน้ำเงิน
  • หายนะด้านความโปร่งใสและหลักนิติธรรม: มีการตั้งคำถามเรื่องการเป็นตัวแทนของผลประโยชน์ท้องถิ่น การจัดวางตำแหน่งในกระทรวงล้วนมาจากเฉพาะกลุ่ม-เฉพาะที่ จึงมีการพูดว่าเป็นรัฐบาล “อนุวิน” “เนทิน” “หนูเน” ซึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหน
  • หายนะการบริหารจัดการประเทศ: หลายปัญหาเร่งด่วนมาจากปัญหาที่คนในรัฐบาลชุดนี้ก่อไว้
  • หายนะทางโอกาสของประชาชนชาวไทย: หลายนโยบายที่ประชาชนได้ประโยชน์ถูกปัดตกปัดทิ้ง เช่น ยกเลิกนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย นี่คือนโยบายของพรรค พท. ไม่ทำ เพราะถ้าทำแล้วพรรค พท. ได้คะแนน

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว คือ สส. เพื่อไทยคนแรกที่ลุกขึ้นอภิปราย โดยไล่เลียงให้เห็น “4 หายนะ” ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาล

“สส. ไม่ต้องดูด ไหลเข้าหมด ท่านทำการเมืองแบบเหนือชั้นจริง ๆ เพราะเขารู้ว่าอยู่กับท่านแล้วปลอดภัย ได้เป็นรัฐบาลต่อปีหน้า แต่อย่าประมาทประชาชน เพราะ 4 เดือนที่เข้ามายุบสภา จะบอกว่าเข้ามายุบคดี ยังไม่ถึงมือท่าน จะยุบแล้ว อธิบดีแถลงแล้วช่วงรัฐบาลรักษาการแล้ว จะได้ไม่มาเปื้อนท่าน ยุทธศาสตร์ลึกล้ำจริง ๆ ผมยอมกราบเลยครับ”

นพ.ชลน่านกล่าวหาว่า การเข้ามาของรัฐบาล 4 เดือน เพื่อให้มีอำนาจต่ออีก 4 ปี เรียกว่า “จบ 4 เดือน เพื่อ 4 ปีกินรวบประเทศ” ไม่ว่าจะเป็น สส. สีน้ำเงิน, สว. สีน้ำเงิน, องค์กรอิสระสีน้ำเงิน, รัฐราชการสีน้ำเงิน ทั้งประเทศสีน้ำเงินหมด ถ้าเราไม่ช่วยกันระมัดระวัง การกินรวบของประเทศจะเกิดขึ้น การลงทุนของพรรค ปชน. จะสูญเปล่า

อนุทินย้อน “นายกฯ คนนี้ไม่มีใครมาบงการได้”

คำอภิปรายของ นพ.ชลน่าน อดีต รมว.สาธารณสุข ซึ่งเป็นกระทรวงที่นายอนุทินเคยนั่งเป็นเจ้ากระทรวงมาก่อน ทำให้นายกฯ คนที่ 32 ขอใช้สิทธิชี้แจง-ตอบคำถาม นพ.ชลน่าน ต่อทันทีในช่วงเวลา 10.50 น.

นายอนุทินกล่าวยืนยันว่า นโยบายของรัฐบาลชุดนี้ “ทำได้” เพราะผ่านการกลั่นกรองมาอย่างดี จะทำได้เร็วและทำเลย, รัฐบาล “ทำเป็น” เพราะ ครม. ที่คัดสรรมาล้วนแต่เป็นผู้มีประสบการณ์ในวิชาชีพ มีความรู้ ความสามารถ ประสบความสำเร็จในชีวิต” และ “ทำดี” คนเรากว่าจะมาถึงตำแหน่งนายกฯ กว่าจะถึงจุด ๆ นี้ได้ใช้เวลาเป็นสิบ ๆ ปี ต้องถือโอกาสทำดีที่สุด ให้เป็นเกียรติประวัติและเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศและประชาชน

นายกฯ ปฏิเสธว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ได้ทำให้ประชาชนขาดโอกาส ตรงกันข้ามจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่รัฐบาลจะได้แสดงผลงาน เพราะรัฐบาลนี้ไม่มีคำว่าคนละพรรค นี่คือพรรครัฐบาล ไม่มีขัดแข้งขัดขา และย้ำว่าจากนี้รัฐบาลจะวางรากฐาน แนวทาง และแบบอย่างที่ดีที่จะทำให้อนาคตประชาธิปไตยมีความสดใส

“อย่างน้อยนายกฯ คนนี้ จะไม่มีใครมาบงการได้ ตัดสินใจเองได้ คิดเอง แล้วหารือกับ ครม. และสมาชิกรัฐสภาทั้งหมดในการตัดสินใจทำประโชน์สูงสุดให้ประเทศชาติและประชาชน” นายอนุทินกล่าว

ส่วนที่บอกว่าผลประโยชน์ไม่ตรงความต้องการของประชาชน นายอนุทินมองต่าง เพราะรัฐบาลนี้เยกลิกกาสิโน เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไม่เอาเงินดิจิทัล 10,000 บาทไปให้ประชาชนเฉย ๆ แต่ใช้การมีส่วนร่วม เราไม่มอมเมาประชาชนด้วยการพนัน ไม่ขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วยธุรกิจการพนัน “ผมว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นตรงกับผม ผมมั่นใจว่านี่คือเหตุผลหนึ่งที่เรา (พรรค ภท.) ถูกเชิญออกจากรัฐบาลเมื่อ มิ.ย. เพราะเราไม่เห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาลขณะนั้น”

ในช่วงท้าย นายอนุทินได้ยกคำกล่าวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ คนที่ 23 มากล่าว โดยเล่าว่า เมื่อใดก็ตามที่มีประชุม ครม. แล้วมีแต่การพูดถึงปัญหา นายกฯ ทักษิณจะไม่พอใจ ครม. ที่เอาปัญหามาเป็นข้อแก้ตัวในการทำงาน

“เมื่อใดมีปัญหาเช่นนี้ ท่านจะปิดไมค์แล้วพูดว่า จำไว้นะ Looser investigate cross-test divulge in every solution. Winner sees solution in every divulge. ผู้แพ้จะเห็นปัญหาในทุกทางออก ผู้ชนะจะเห็นทางออกในทุกปัญหา ตัวผมและ ครม. เป็นอย่างหลัง ชนะไม่ชนะไม่รู้ แต่พวกผมเห็นทางออกทุกปัญหา จึงขอแจงเจตนารมณ์อันแน่วแน่” นายกฯ คนที่ 32 กล่าว

ปชป. ชี้ “หนูตกถังข้าวสาร”

แม้นายกฯ ยืนยันรักษาคำมั่น ไม่มีวันที่ 121 แน่นอน แต่โดยข้อเท็จจริง รัฐบาล “อนุทิน” หาได้มีเวลาครองอำนาจเพียง 4 เดือน แต่คาดว่าจะมีอายุราว 8-9 เดือน หรืออยู่ไปจนถึงเดือน มิ.ย. 2569 เพราะถ้าการยุบสภาเกิดขึ้นในช่วงสิ้นเดือน ม.ค. 2569 จากนั้นเข้าสู่การจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน, รับรองผลการเลือกตั้งโดย กกต. ภายใน 60 วัน, เลือกนายกฯ คนใหม่, จัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ จนถึงวันที่ ครม. ชุดใหม่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ น่าจะกินเวลาอีกราว 4-5 เดือน

เหล่านี้คือเหตุผลที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) บอกว่า “คุ้มที่จะเป็นนายกฯ” และ “คุ้มที่จะต่างตอบแทน” โดยฝ่ายหนึ่งได้เป็นนายกฯ อีกฝ่ายได้ยุบสภาและได้แก้ไขรัฐธรรมนูญ

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ชี้ว่า การที่พรรค ปชน. ลงคะแนนเลือกนายกฯ โดยไม่รับตำแหน่งใน ครม. ทำให้นายกฯ กลายเป็น “หนูตกถังข้าวสาร” มีเก้าอี้ รมต. ให้แบ่งปันกันเหลือเฟือ

สส. อาวุโสจากพรรคสีฟ้าเห็นว่า รัฐบาลชุดนี้มีแต้มต่อมากกว่าข้อจำกัดใน 3 ประการ ดังนี้

  • ผู้ลงคะแนนเลือกนายกฯ โดยไม่รับตำแหน่งใน ครม. “ทำให้นายกฯ กลายเป็น ‘หนูตกถังข้าวสาร' มีเก้าอี้รัฐมนตรีให้แบ่งปันกันเหลือเฟือที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐสภา”
  • พอบริหารราชการแผ่นดินปุ๊บ มีเงินมากองปั๊บ ไม่ต้องออกแรง เพราะมีงบเหลือจ่ายปีงบประมาณ 2568 รออยู่ 8 หมื่นล้านบาท และงบปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นงบกลางฉุกเฉินที่อยู่ในอำนาจของนายกฯ 9.8 หมื่นล้านบาท
  • มีนโยบายสำเร็จรูปเตรียมไว้ให้แล้วโดย “ผู้มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ” หรือ MOA คิดให้แล้วเสร็จสรรพ เอาไปทำได้ทันที แต่ MOA เป็นข้อตกลงระหว่างพรรคการเมือง ไม่มีผลผูกพันรัฐสภา

นายจุรินทร์ยังแสดงความชื่นชม ครม. คนนอกซึ่งพบว่าหลายตำแหน่งจัดได้ดี ถูกฝากถูกตัว แต่บางตำแหน่ง นายกฯ ไม่กล้าเปิดตัว ทำลับ ๆ ล่อ ๆ แต่สุดท้ายหวยล็อกก็ออกมาจนได้ ส่วน ครม. คนใน เข้าใจเรื่องโควตากลุ่มและพรรค ไม่มีอะไรวิจารณ์ แต่ขอพูดและชมนายกฯ ว่า “นายแน่มาก กล้าตั้งรัฐมนตรีที่แม้แต่รัฐบาลชุดที่แล้วก็ยังไม่กล้าตั้ง เพราะไม่อยากเสี่ยงเดินตามรอยนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน แต่เมื่อตั้งแล้ว นายกฯ ก็ต้องรับผิดชอบ”

นอกจากนี้ นายจุรินทร์ยังตั้งคำถามถึงรัฐบาลหลายข้อ ในจำนวนนี้คืออย่าใช้ระบบเล่นพรรคเล่นพวก โดยเฉพาะเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ซึ่งรองนายกฯ บวรศักดิ์ลุกขึ้นตอบทันควัน โดยระบุว่า รัฐบาลชุดที่แล้วลงมติตั้งอธิบดีและตำแหน่งบริหารไปหลายตำแหน่ง เมื่อมีนายกฯ คนใหม่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงส่งเรื่องกลับคืนมา ทว่าพอแถลงนโยบายเสร็จ นายกฯ กำชับให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ยืนยันเรื่องการแต่งตั้งผู้บริหารที่ตั้งโดยรัฐบาลที่แล้วทุกตำแหน่งเกิน 10 ตำแหน่ง

“นี่คงยืนยันได้แล้วว่าการเริ่มต้นรัฐบาลนี้ เมื่อเรื่องไหนผ่าน ครม. ไปแล้ว รัฐบาลก็เดินต่อ ไม่มีเจตนาดึงกลับมา จะต้องเอาพรรคพวกของตัวเสียบไปใหม่ ยกเลิกมติ ครม. เดิม แล้วเอามติ ครม. ใหม่” รองนายกฯ บวรศักดิ์ชี้แจง

สว. ฉุน สส. อภิปรายปม “ฮั้วเลือก สว.”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

สว. ประเทือง ถาม สส. วาโย “จะอภิปรายนโยบายรัฐบาล หรือ สว. ตอบมา เดี๋ยวได้เจอกัน”

อีกนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคสีน้ำเงิน ที่บรรดา สส. หลายคนหยิบยกมาอภิปราย แล้วก่อให้เกิดการประท้วงอย่างกว้างขวางในหลายช่วงคือ นโยบายข้อที่ 9 “รักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด” โดยให้ถือว่าการกระทำของเจ้าพนักงานของรัฐที่ “ใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่ของรัฐไปเพื่อประโยชน์ทางการเมือง” เป็นการกระทำความผิดทางวินัยร้ายแรง และต้องดำเนินการทางอาญาอย่างเด็ดขาด

2 คดีสำคัญที่นักการเมืองฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตและตั้งคำถามต่อจุดยืนของรัฐบาล “อนุทิน” หนีไม่พ้น “คดีเขากระโดง” ต.อิสาน และ ต.เสม็ด อ.เมืองจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่ง พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชาติ (ปช.) บอกว่า มี 9 คำพิพากษาทั้งศาลฎีกาและศาลปกครองระบุว่า ที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ เป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แต่กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ไม่ยอมดำเนินการเพิกถอนที่ดินดังกล่าวให้เป็นไปตามคำพิพากษา

อีกคดีคือ “คดีฮั้วเลือก สว. ปี 2567” ซึ่ง สว. ชุดปัจจุบัน 138 คน รัฐมนตรี 6-7 คน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง 229 คน ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาและมีชื่อปรากฏในสำนวนที่ไต่สวนโดยสำนักงาน กกต. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม โดยผู้อภิปรายหลักเกี่ยวกับคดีนี้คือ พันตำรวจเอกทวี อดีต รมว.ยุติธรรม ที่บอกว่ากรณีนี้ “เป็นมหันตภัยที่อันตรายที่สุด ทำลายระบอบประชาธิปไตย” และตั้งคำถามว่าจะปล่อยให้พนักงานสอบสวนทำหน้าที่ไปตามปกติหรือไม่

นอกจากนี้ยังมี นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ที่กล่าวถึง 3 ปัจจัยที่ทำให้เชื่อว่ามีการฮั้วเลือก สว. ประกอบด้วย ปรากฏการณ์คนเสื้อเหลือง/เนกไทเหลือง ในวันเลือก สว. ระดับประเทศ, มีโพย เรียงเลขเหมือนกัน, ความผิดปกติของคะแนนเลือก สว. จากนั้นเขาฉายแผนภาพความสัมพันธ์และความใกล้ชิดของการลงคะแนนในรอบเช้าเข้ากับการใส่เสื้อเหลือง ทำให้บรรดา สว. และ สส. พรรค ภท. รุมประท้วงยกใหญ่ราว 30 นาที

นายประเทือง มนตรี สว. กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “จะอภิปรายนโยบายรัฐบาล หรือ สว. ตอบมา เดี๋ยวได้เจอกัน” ทำให้ สส. พรรคสีส้ม ประท้วงกลับ ขอให้ถอนคำพูดเพราะเข้าข่ายข่มขู่เพื่อนสมาชิก และประธานก็วินิจฉัยให้ถอนคำว่า “เดี๋ยวเจอกัน” ซึ่ง สว. รายนี้ก็ยอมทำตามคำสั่งประธาน

จากนั้นในช่วงที่นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. อภิปรายต่อ โดยเปรียบเปรยประเด็นฮั้ว สว. กับการปล้นอำนาจ ทำให้ พล.ต.ท.บุญจันทร์ นวลสาย สว. ลุกประท้วงให้ถอนคำพูด “หากไม่ถอน ให้ไปเจอกันข้างนอก”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

นายกฯ อนุทิน กับ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา

ประเด็น “ฮั้วเลือก สว.” ยังทำให้สมาชิกต่างประท้วงประธานเรื่องการทำหน้าที่ควบคุมการประชุม และการวางตัวไม่เป็นกลาง หลัง 2 ประธานพยายามตัดบทผู้อภิปรายให้งดการพูดลงรายละเอียดของคดีที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบขององค์กรภายนอก และให้พูดเฉพาะนโยบายของรัฐบาลเท่านั้นเพื่อไม่ให้เกิดการประท้วงกันไปมา

นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ถูกนายอดิศรส่งสัญญาณไล่ลงจากบัลลังก์ในช่วงที่ พันตำรวจเอกทวีอภิปราย โดยนายอดิศรกล่าวว่า “ประเด็นที่พูด เกี่ยวข้องกับประธาน ผมไม่อยากให้ท่านนั่งเป็นประธาน ท่านทำหน้าที่ต่อไปไม่ได้แล้ว”

ส่วนนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภา ในฐานะประธานรัฐสภา ก็ถูกประท้วงในระหว่างนั่งบัลลังก์ช่วงการอภิปรายของ นพ.วาโยอภิปราย จนเจ้าตัวถึงกับออกอาการไม่พอใจและตั้งคำถามกลับว่า “ผมไม่เป็นกลางอย่างไร”

จนถึงเวลา 20.00 น. ยังไม่มีตัวแทน ครม. ชี้แจงกรณีฮั้วเลือก สว. แต่อย่างใด มีเพียงนายบวรศักดิ์ที่กล่าวตั้งแต่ช่วงเที่ยงว่า เมื่อนายกฯ มาชวนเขาให้เข้าร่วม ครม. ได้กราบเรียนว่า เรื่องไหนที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เช่น สว., เขากระโดง, องค์กรอิสะ ขอให้ปล่อยไปตามกระบวนการยุติธรรมที่ควรจะเป็น ซึ่งนายกฯ ก็รับปาก และรัฐบาลก็แถลงชัดเจนว่าจะไม่ให้ใช้กฎหมาย และหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐไปเพื่อประโยชน์ทางการเมือง

ผู้นำฝ่ายค้านขออย่าโยนวาทกรรม “ฝ่ายค้ำ-ฝ่ายแค้น”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ระบุว่า เหตุผลที่พรรค ปชน. ยอมโหวตให้นายอนุทินเป็นนายกฯ เพราะต้องการให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ให้รถยนต์ “ประเทศไทย” คันนี้พุ่งทะยานไปข้างหน้า

สำหรับกรอบเวลาในการอภิปรายนโยบายของรัฐบาล คณะกรรมการประสานงาน 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ครม. และพรรคร่วมรัฐบาล, ฝ่ายค้าน, และวุฒิสภา กำหนดไว้ 2 วัน ระหว่างวันที่ 29-30 ก.ย. รวมเวลา 25 ชม. แบ่งเป็น เวลาของ สส. ฝ่ายค้าน 15 ชม. (พรรคร่วมวิปฝ่ายค้าน 9 ชม. พรรค พท. 6 ชม.) ส่วนที่เหลือเป็นเวลาของ ครม. และ สส. รัฐบาล 6 ชม. (ไม่รวมเวลาแถลงของนายกฯ), สว. 3 ชม. และเวลาของประธานรัฐสภา 1 ชม. ทั้งนี้ภายหลังเสร็จสิ้นการอภิปรายจะไม่มีการลงมติแต่อย่างใด

พรรค ปชน. กำหนดธีมอภิปรายว่า “นับถอยหลังยุบสภา เดินหน้าประชามติรัฐธรรมนูญ” โดยเตรียมผู้อภิปรายไว้ราว 20 คน ทั้งนี้นายณัฐพงษ์กล่าวยืนยันว่า ยังคงทำหน้าที่ฝ่ายค้านเสียงข้างมากอย่างเต็มที่ไม่ต้องการให้มีการโยนวาทกรรมกันไปมา เช่น “ฝ่ายค้ำ “หรือ “ฝ่ายแค้น”

“ถ้าถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายค้ำ ก็อยากให้มองว่าเรากำลังพยายามค้ำกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ ไม่ใช่การค้ำรัฐบาล ค้ำให้รัฐมนตรีคนใดคนหนึ่ง” เขากล่าวและว่า ไม่อยากให้ฝ่ายค้านมาตรวจสอบกันเองในสภาแห่งนี้

ด้านพรรค พท. มาในธีม “4 เดือนยุบคดี 4 นโยบายดีดี หรือ 4 หายนะ” เตรียมผู้อภิปรายไว้ 26 คน

ส่วนรัฐบาลพรรค ภท. ใช้ธีม “4 เดือน แก้ 4 ภัย คืนความมั่นใจให้ประเทศ”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

นายกฯ หารือกับ รมว.ต่างประเทศ, รมว.กลาโหม, รมช.กลาโหม