
รังสิมันต์-วิโรจน์ เปิดข้อมูลโยงความสัมพันธ์เจ้าพ่อสแกมเมอร์ในกัมพูชากับนักการเมืองในรัฐบาลทั้งในอดีตและปัจจุบัน

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
รังสิมันต์ โรม และ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน เปิดข้อมูลที่พวกเขาเชื่อว่า พบความเชื่อมโยงระหว่างนักการเมืองในรัฐบาลทั้งในอดีตและปัจจุบันกับที่ปรึกษาสมเด็จฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา โดย สส. ปชน. กล่าวหาว่า ชาวต่างชาติคนดังกล่าวมีส่วนพัวพันกับการฟอกเงินและเครือข่ายสแกมเมอร์ในกัมพูชา
การอภิปรายดังกล่าวของ สส.ปชน. กลายเป็นไฮไลท์สำคัญในการประชุมร่วมรัฐสภา พิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2
รังสิมันต์ เริ่มต้นการอภิปรายโดยไล่เรียงเรื่องราวตั้งแต่ความสัมพันธ์ของนักการเมืองไทยในอดีตที่มีความสัมพันธ์กับครอบครัวของผู้นำกัมพูชา โดยอ้างว่าความขัดแย้งของ 2 ครอบครัว นำไปสู่ความขัดแย้งในเรื่องอื่น ๆ ที่ทำให้การแก้ไขปัญหาของ 2 ประเทศทำได้ยากยิ่ง ไม่ว่าจะเรื่องเขตแดน ปัญหาเรื่อง 3 ปราสาท การเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง การรุกล้ำของคนกัมพูชาที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการทุจริตคอร์รัปชันของผู้มีอำนาจตามแนวชายแดน ไปจนถึงปัญหาเรื่องอาชญากรรมข้ามชาติซึ่งเกี่ยวพันกับการค้ามนุษย์และฟอกเงิน

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
เขายังระบุอีกว่า คนไทยสูญเสียเงินให้กับแก๊งสแกมเมอร์ไปมากกว่า 1 แสนล้านบาท ภายใน 1 ปี เส้นทางการเงินส่วนใหญ่มีปลายทางเป็นกัมพูชา ตามรายงานที่มีชื่อว่า “Policies and Patterns : Scream-Abetted Transnational Crime in Cambodia as a World Safety Risk” ของ เจคอบ ซิมส์ มีการประเมินรายได้สแกมเมอร์ อยู่ที่ 4.6-9 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ หรือ จีดีพีของกัมพูชาในปี 2022
สส. ปชน. รายนี้ ตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า แก๊งสแกมเมอร์ส่วนใหญ่ในกัมพูชา ตั้งอยู่ตามแนวชายแดนประเทศไทย เพราะ “ต้องพึ่งพาทรัพยากรสำคัญ ๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า น้ำมัน อินเทอร์เน็ต อุปโภคบริโภคต่าง ๆ” พร้อมระบุถึงตัวละครสำคัญเกี่ยวกับแก๊งสแกมเมอร์ในประเทศกัมพูชา เพื่อที่จะเชื่อมโยงเรื่องราวกับผู้มีอิทธิพลทางการเมืองในประเทศไทย
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด
Cease of ได้รับความนิยมสูงสุด

ที่มาของภาพ : FACEBOOK / Rangsiman Rome – รังสิมันต์ โรม
อธิบายความสัมพันธ์ผ่านภาพถ่าย
ในการอภิปรายของรังสิมันต์ เขาได้กล่าวอ้างถึงตัวละครสำคัญของแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชาหลายคน อย่างเช่น ก๊ก อาน สมาชิกวุฒิสภาของกัมพูชา เป็นเจ้าของคราวน์ กาสิโน (Crown On line casino) และเจ้าของตึก 18 ชั้น และตึก 25 ชั้น เป็นบุคคลสำคัญของแก๊งสแกมเมอร์ ปัจจุบันถูกออกหมายจับโดยทางการไทยในข้อหาอาชญากรรมข้ามชาติ นำมาสู่การยึดอายัดทรัพย์สินมากมาย แม้จะยังจับกุมไม่ได้ก็ตาม
คนถัดมาคือ ลี ยง พัด หรือที่ชาวตราดเรียกว่าเสี่ยพัด ข้อมูลของทางการสหรัฐอเมริการะบุว่า มีสัญชาติไทยและกัมพูชา เป็นผู้ก่อตั้ง LYP Community ซึ่งมีรีสอร์ทในเครือชื่อ โอร์เสม็ด รีสอร์ต เคยมีเหยื่อที่ถูกลวงไปทำงานเป็นแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ช่วงปี 2565 ถึง 2567 ด้วยเหตุนี้ ทางการสหรัฐจึงประกาศมาตรการคว่ำบาตร ลี ยง พัด เนื่องจากความเชื่อมโยงกับอาชญากรรมทางไซเบอร์
นอกจากนี้ เขายังดำรงตำแหน่งประธานสมาคมออกญาแห่งกัมพูชา มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับศูนย์กลางอำนาจของกัมพูชาอย่างแนบแน่น
คนที่สามคือ ฮุน โต เป็นลูกพี่ลูกน้องกับผู้นำกัมพูชา เป็นหนึ่งในผู้อำนวยการของบริษัทลูกของบริษัท ฮุยวัน กรุ๊ป ที่ถูกหน่วยงานของทางการสหรัฐกำหนดให้เป็นสถาบันทางการเงินที่น่าเป็นกังวลต่อการฟอกเงิน เนื่องจากพบหลักฐานว่าบริษัทนี้ถูกนำมาใช้ในการฟอกเงิน เพื่อลวงลวง มีเงินไหลเวียนแบบผิดกฎหมาย 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่มีอีกหนึ่งคนที่ รองหัวหน้าพรรค ปชน. อ้างถึงคือ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือเบน สมิธ ชายชาวแอฟริกาใต้ โดยเขาอ้างว่า ชายคนนี้เคยมีประวัติทำธุรกิจลวงลวง เป็นคอนเซ็นเตอร์ “รุ่นดั้งเดิม ตั้งแต่ปี 2001” เขายังมีภรรยาชื่อ แคทลียา บีเวอร์ อดีตนางแบบชาวไทย
สส. รายนี้ยังกล่าวว่า นักธุรกิจผู้นี้ ถือสัญชาติกัมพูชา ซึ่งปรากฏในหน้าพาสปอร์ตของเขา และเขายังเป็นที่ปรึกษาของสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาของกัมพูชา และนักธุรกิจรายนี้ยังมีความความสัมพันธ์สนิทสนมกับประธานธนาคารกัมพูชาแห่งหนึ่งที่มีสาขาอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งมีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการฟอกเงินด้วย
นอกจากนี้ เขายังเปิดเผยว่า นักธุรกิจชาวแอฟริกาใต้ยังเคยมีความพยายาม “ปักหลักที่ประเทศไทยอย่างถาวร” เพราะได้มีการสละสัญชาติกัมพูชา และขอสัญชาติไทย แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติเนื่องจากเอกสารไม่ครบถ้วน
“ท่านอนุทิน เคยชี้แจงเรื่องนี้บอกว่าท่านไม่อนุมัติให้สัญชาติเนื่องจากเอกสารไม่ครบ แต่ท่านจะรับปากกับสภาแห่งนี้ได้ไหม ว่าถ้าเมื่อไหร่เอกสารครบ ท่านก็จะไม่ให้สัญชาติกับใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์” นายรังสิมันต์ กล่าว
ทั้งนี้ ตลอดการนำเสนอสไลด์ประกอบการอภิปราย รองหัวหน้าพรรค ปชน. ได้แสดงภาพให้เห็นความเชื่อมโยงของบุคคลต่าง ๆ ทั้งที่มีกิจกรรมส่วนตัวและทางธุรกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เขากล่าวถึงโดยเฉพาะบุคคลสำคัญทางการเมืองของไทย
อย่างเช่น ในสไลด์ประกอบการอภิปราย ที่ระบุว่า ในเดือน มิ.ย. 2567 ได้พบภาพของนักธุรกิจรายนี้ยืนพูดคุยกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า (ปัจจุบันเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ (ปัจจุบันเป็น รมว.ศึกษาธิการ) ในงานบุญวัดดวงแข ในกรุงเทพมหานคร
ต่อมาในวันที่ 27 ต.ค. 2567 พบภาพนักธุรกิจรายดังกล่าวกับ ร.อ.ธรรมนัสออกงานบุญใหญ่ ที่วัดดงช้างดี จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งนักธุรกิจคนดังกล่าว และภรรยาของเขาเป็นเจ้าภาพงานบุญด้วย นอกจากนี้ยังมีการเสนอภาพที่พวกเขาพบปะกันอีกหลายครั้ง
นอกจากบุคคลในรัฐบาลอนุทินแล้ว รังสิมันต์ยังเปิดภาพที่แสดงให้เห็นว่า ที่ปรึกษาของสมเด็จฮุน เซน รายนี้ ได้พบกับผู้มีอิทธิพลทางการเมืองไทยอย่าง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ทักษิณ ที่เกาะหลีเป๊ะ ในระหว่างการพบกับนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียด้วย ซึ่งในที่นั้นมีภาพ ร.อ.ธรรมนัส อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
“แล้วท่านธรรมนัส ไม่รู้หรือครับว่า นายเบน คนนี้อาจจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ในกัมพูชา ท่านไม่รู้หรือครับว่าบุคคลนี้มีประวัติที่ด่างพร้อยในอดีตอย่างไร แล้วท่านในฐานะ สส. แล้ววันนี้เป็นถึงรองนายกฯ ท่านไม่ต้องระวังในการคบหากับคนเทา ๆ เลยหรือครับ” รังสิมันต์ ตั้งคำถาม

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
เรียกร้องรัฐบาล อนุทิน เอาจริงกับการจัดการปัญหานี้
รังสิมันต์ ยังอ้างถึงการรายงานข่าวของนักข่าว ทอม ไรท์ ด้วยว่าเรือยอร์ชหรูที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ใช้โดยสารไปพบนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย รวมถึงเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว ที่ทักษิณใช้โดยสารบินไปประเทศนครดูไบ ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาทั้งหมดนี้ล้วนถูกจัดหาให้โดยนักธุกิจชาวแอฟริกาใต้คนดังกล่าว
“ผมหวังว่าข้อกล่าวหานี้จะเป็นแค่เพียงเรื่องเล่าและไม่ใช่เรื่องจริง เพราะถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงขึ้นมา นั่นหมายความว่าเงินจากการค้ามนุษย์ เงินจากสแกมเมอร์ในกัมพูชา ได้แปรสภาพเป็นของขวัญสุดหรูเพื่อสร้างอิทธิพลของตัวเองในประเทศไทย” รังสิมันต์ กล่าว
ถัดมา สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. รายนี้ ได้ตั้งคำถามถึงสาเหตุของการแตกหักระหว่างตระกูลชินวัตร กับตระกูลฮุน ที่ทั้งสองตระกูลต่างก็เลือกใช้บริการที่ปรึกษาของนักธุรกิจรายนี้ว่าอาจไม่ใช่เพราะการผลักดันนโยบายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของไทย ที่กัมพูชากลัวว่าไทยจะแย่งรายได้จากกัมพูชาไป เพราะรายได้ 60% ของกัมพูชาก็มาจากสแกมเมอร์อยู่แล้ว แต่อาจเป็นเพราะพรรคการเมืองซึ่งนำโดยทักษิณ ผลักดันนโยบายนี้ไม่สำเร็จ “อย่างที่ผู้มีอำนาจในกัมพูชาหวัง ทำให้ฝันในการนำเงินสีดำที่มีอยู่ในกัมพูชามาเปลี่ยนเป็นเงินสีขาวในประเทศไทยต้องถูกทำลายลง”
ทั้งนี้ รองหัวหน้าพรรค ปชน. เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ 3 ข้อดังนี้
- ตั้งศูนย์ประสานงานต่อต้านสแกมเมอร์ข้ามชาติ
- DSI ตำรวจ ปปง. มุ่งทำลายเครือข่ายเงินสีเทาในไทย ตรวจสอบเส้นทางเงินของผู้ที่น่าสงสัย
- กต. ศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้กลไกศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ดำเนินคดีกับผู้มีอำนาจในประเทศเพื่อนบ้าน
รังสิมันต์ เสริมด้วยว่าแม้ไทยจะไม่ได้เป็นภาคีของศาลอาญาระหว่างประเทศแต่ก็สามารถใช้กลไกดังกล่าวได้ เพราะกัมพูชาเป็นภาคีของศาลอาญาระหว่างประเทศ
ในตอนท้าย รังสิมันต์ก็ได้ให้ข้อเสนอในการแก้ปัญหาชายแดนด้วยว่า รัฐบาลนายกฯ อนุทิน ไม่ควรผลักภาระการแก้ปัญหาไปฝากไว้ที่กองทัพ และควรคิดถึงแผนดำเนินการในการเจรจากับกัมพูชาต่อไปว่าจะทำอย่างไรให้ไทยได้ผลประโยชน์มากที่สุด
“ถ้าท่านนายกฯ จะไปฝากความหวังเอาไว้กับทหารอย่างเดียว ท่านคิดผิด และจะเป็นการบริหารราชการแผ่นดินที่ผิดพลาด อยากแก้ปัญหากัมพูชา แก๊งสแกมเมอร์ ผมทราบดีปัญหาเหล่านี้แก้ไม่ง่าย และต้องใช้เวลา แต่วันนี้ท่านนายกฯ ต้องลงมือทำ เวลา 4 เดือนที่ท่านมี เริ่มตรงนี้” เขากล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้การประชุมร่วมรัฐสภาในวันนี้ได้จบลงแล้ว แต่ทั้ง ร.อ.ธรรมนัสและนฤมลยังไม่ได้ขึ้นมาได้ชี้แจงในประเด็นดังกล่าว
‘วิโรจน์' จี้นายกฯ ตรวจสอบทุนเทาข้ามชาติ ฮุบหุ้นบางจาก กังวลไทยกลายเป็นศูนย์กลางฟอกเงิน

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
ด้านวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ตรวจสอบการซื้อขายหุ้นบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชัน (มหาชน) ที่อาจเกี่ยวโยงกับขบวนการทุนเทาข้ามชาติ กังวลเงินสกปรกทะลักเข้ามาใช้ตลาดทุนไทยเป็นช่องทางฟอกเงิน
วิโรจน์ เผยว่ารายงานปี 2567 ระบุว่ามีกองทุนลึกลับพยายามซื้อหุ้นบางจาก ที่กองทุนประกันสังคมถือครองอยู่กว่า 14% มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท แต่ไม่สามารถระบุผู้ซื้อที่แท้จริงได้ทำให้ดีลไม่เกิดขึ้น แต่ต่อมากองทุนจากสิงคโปร์ได้เข้าถือหุ้นบางจาก 14% ก่อนรีบขายออก 9% ให้บริษัทในไทยที่ไล่ซื้อหุ้นเพิ่มจนถือรวมถึง 20%
โดยธุรกรรมเหล่านี้ถูกเชื่อมโยงกับ เบน สมิธ นักธุรกิจที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา รวมถึงนักการเมืองไทยบางรายที่มีชื่ออยู่ใน ครม. อนุทิน
“นายเบน สมิธ เคยปรากฏภาพถ่ายเบนจามินนั่งร่วมดื่มกาแฟกับทักษิณ และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯ และรมว.เกษตรและสหกรณ์ นอกจากนั้นยังมีภาพถ่ายทำบุญในงานทอดกฐินที่ จ.อุตรดิตถ์ อย่างชัดเจน เมื่อภาพเหล่านี้ปรากฏต่อสาธารณชนก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เกิดการสงสัย ว่าตกลงแล้วความเชื่อมโยงที่แท้จริงคืออะไรกันแน่” วิโรจน์ ระบุ
วิโรจน์ กล่าวต่อไปว่า ที่น่าตั้งคำถามคือครั้งนั้นบนหน้าเว็บไซต์ของบีไอซีกรุ๊ปเคยแอบอ้างเอาชื่อของ วรภัค ธันยาวงศ์ รมช.คลัง ไปเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการร่วมกับอดีตปลัดกระทรวง 2 กระทรวงและอดีตจเรตำรวจแห่งชาติ ซึ่งวรภัคเพิ่งออกมาปฏิเสธว่าไม่เคยดำรงตำแหน่งในบีไอซีกรุ๊ป เพียงแค่เคยพบและพูดคุยกับประธานบีไอซีกรุ๊ป เมื่อหลายปีก่อน หากเป็นเช่นนั้นจริงวรภัค ต้องฟ้องบริษัทบีไอซีกรุ๊ป ฐานผิดต่อ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ
ตั้งคำถามต่อ MOU 44 และเครือข่ายอำนาจของฮุน เซนในหุ้นบางจาก

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
วิโรจน์ยังชี้ด้วยว่า การขยายธุรกิจของบางจากไปสู่พลังงานและปิโตรเลียม โดยเฉพาะแปลงสำรวจในพื้นที่ทับซ้อนอ่าวไทย อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์มหาศาล หากทุนการเมืองและทุนต่างชาติฮั้วกัน พร้อมเตือนว่าหากเงินทุนที่เข้ามาเป็น “เงินสีเทา” จะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของตลาดการเงินไทย ทำให้เงินลงทุนสุจริตไหลออก และทำให้ไทย “กลายเป็นดินแดนที่มีแต่มาเฟียข้ามชาติ”
“ประเทศไทยมี MOU 44 กับกัมพูชาที่มีการอ้างสิทธิ์ทับซ้อนในบริเวณอ่าวไทย ซึ่งมีขนาด 2.6 หมื่น ตำรวจกม. ที่เต็มไปด้วยทรัพยากรปิโตรเลียมในทะเลมูลค่ามหาศาล…ข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ยังไม่สิ้นสุด คำถามคือหากฝ่ายการเมืองดีลกันลงตัวระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนของนักการเมืองและกลุ่มทุนไทยกับเครือข่ายอำนาจของฮุน เซน บางจากฯ ในฐานะบริษัทพลังงานรายใหญ่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือทันทีเพื่อเปิดทางไปสู่อภิมหาโครงการแสวงหาประโยชน์จากปิโตรเลียมใต้อ่าวไทย หรือไม่” วิโรจน์ กล่าว
นอกจากนี้นายวิโรจน์ กล่าวถึงความพยายามซื้อหุ้นบริษัทหลักทรัพย์เอ็มเอฟซี ซึ่งเป็นการจัดการกองทุนของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นกองทุนประกันสังคม และกองทุนประกันสังคมก็ถือหุ้นบางจาก 15.1% นอกจากนี้ยังมีความเชื่อมโยงกับคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติในสมัยที่นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็น รมว.เกษตรฯ ซึ่งได้เสนอเรื่องข้อกำหนดฝากหรือลงทุนของสหกรณ์ ที่เปิดทางให้สหกรณ์ทั่วประเทศนำเงินไปลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวม ซึ่งมีรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ซึ่งไปลงล็อกกับคุณสมบัติของเอ็มเอฟซี
“ถ้าไม่มองว่าเป็นเรื่องผลบุญต้องถามว่าเป็นการค้ากำไรเกินควรเข้าข่ายการเอารัฐเอาเปรียบผู้ประกันตน และประเทศเรากำลังเผชิญหน้ากับขบวนการการเมืองที่เปิดช่องให้ย้ายเงินลงทุนเข้ามาเบียดบังผู้ประกันตนที่หรือไม่” วิโรจน์ ระบุ
รองหัวหน้าพรรค ปชน. กล่าวต่อไปว่า ถ้าการเคลื่อนย้ายเงินทุนเป็นเงินสีดำมาจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรืออาชญากรรมไซเบอร์ ก็จะถือเป็นหายนะระดับชาติ โดย สส. ปชน. รายนี้ได้ตั้งข้อสงสัยว่า ทุนเทาข้ามชาติเหล่านี้มักจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานประเทศ อุ้มเครือข่ายการเมือง ซื้อข้าราชการระดับสูง ซื้อเสียงกำหนดนโยบาย ดังนั้น นายกฯ รมว.คลังและรมช.คลัง จำเป็นต้องเร่งสั่งการให้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ, ป.ป.ง. ตรวจสอบเร่งด่วน
“ถ้านายอนุทิน มีความตั้งใจต้องให้กระทรวงต่างประเทศและ ป.ป.ง. ลงนามอนุสัญญาต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ” วิโรจน์ กล่าว
‘รมช.คลัง' โต้ ‘วิโรจน์' ยันไร้ประวัติด่างพร้อย

ที่มาของภาพ : BBC Thai / STR
ต่อมา รมช.คลังได้ก็ขึ้นชี้แจงหลังถูกรองหัวหน้าพรรค ปชน. พาดพิง โดยระบุว่า เขาทำงานมา 30 ปี ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่หรือผู้จัดการระดับสูงของธนาคารระดับโลก 2-3 แห่ง และตำแหน่งสุดท้ายคือ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย และในปี 2564 ปลายปีมีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของฟินันซ่า มีความสนใจขายหุ้นออกมา 29.9% ซึ่งตนเป็นหนึ่งในกรรมการฟินันซ่ามาหลายปี มีความคุ้นเคยกับธุรกิจดี จึงเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีเพราะตอนนั้นราคาหุ้นไม่แพง มาร์เก็ตแคป 2 พันกว่าล้านบาท หุ้น 29.9% ใช้เงินไม่กี่ร้อยล้านบาท
ทั้งนี้ เขาอธิบายว่า หุ้น 29.9% เป็นการซื้อที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีการขออนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์ หลังจากนั้นตนได้ขายหุ้นที่ซื้อมาออกไปเมื่อปลายปี 2567 หลังจากเข้าไปถือหุ้นประมาณ 3 ปี โดยไม่ได้ขายให้บริษัทตามที่รองหัวหน้าพรรค ปชน. กล่าวหา
“ผมมีหลักฐานชัดเจน และยืนยันว่าในคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ เราไม่สนับสนุนการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งธุรกรรมฟอกเงิน” วรภัค กล่าว
ที่มา BBC.co.uk