
อภิสิทธิ์ หวนคืน หน.พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมเปิดตัว 8 คนนั่งรอง หน. พรรคด้านภารกิจ

ที่มาของภาพ : thai records pix
มติที่ประชุมใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เห็นชอบให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 และอดีตหัวหน้าพรรค ปชป. คนที่ 7 ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 10 ด้วยคะแนน 96.18% จากองค์ประชุมทั้งหมด
นี่เป็นการหวนคืนพรรคในรอบเกือบสองปี หลังจากลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค กลางที่ประชุมใหญ่วิสามัญ เมื่อ 9 ธ.ค. 2566 ซึ่งเป็นครั้งที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค
หลังจากที่ประชุมพรรคประกาศผลการลงคะแนน นายอภิสิทธิ์ ลุกขึ้นยืนกลางที่ประชุมและกล่าวว่า “เดินเข้ามานักข่าวถามว่ารู้สึกยังไงกลับมาบ้าน ผมตอบสั้น ๆ ว่า ใจผมไม่เคยไปไหน”
ในวาระการเลือกหัวหน้าพรรค นายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ อดีตรองหัวหน้าพรรค ปชป. เป็นผู้เสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ ขึ้นไปเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่แบบไร้คู่แข่ง
การกลับมาของนายอภิสิทธิ์ เป็นห้วงเวลาที่ความนิยมของพรรคที่เก่าแก่ที่สุดของไทย “ตกต่ำที่สุด” ในรอบ seventy nine ปีนับจากก่อตั้ง อันสะท้อนผ่านผลการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2566 เนื่องจาก ปชป. มีผู้แทนฯ ที่เข้าสู่สภาเพียง 25 คนเท่านั้น และได้คะแนนมหาชนต่ำล้านเป็นครั้งแรก
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue finding outได้รับความนิยมสูงสุด
Slay of ได้รับความนิยมสูงสุด
การประชุมใหญ่พรรค ปชป. ในวันนี้ (18 ต.ค.) มีขึ้นหลังจากนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรค ปชป. คนที่ 9 ลาออกออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยอ้างเหตุผลด้านสุขภาพที่ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มความสามารถ

ที่มาของภาพ : facebook/Abhisit Vejjajiva
เปิดตัวทีมรองหัวหน้าพรรค
หลังจากที่ประชุมพรรคประกาศผลการลงคะแนน นายอภิสิทธิ์ได้เสนอขอมติจากที่ประชุมในการยกเว้นข้อบังคับเรื่องคุณสมบัติให้กับบุคคลที่เขาเลือกเองมาเป็นรองหัวหน้าพรรค จำนวน 8 คน แบ่งตามภารกิจด้านต่าง ๆ
สำหรับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค ที่นายอภิสิทธิ์ เสนอชื่อและที่ประชุมพรรคลงมติรับรองแล้ว ได้แก่
1. นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค ด้านนโยบาย
2. นางการดี เลียวไพโรจน์ รองหัวหน้าพรรค ด้านเศรษฐกิจดิจิทัล
3. นายจูรี นุ่มแก้ว รองหัวหน้าพรรค ด้านการสื่อสารองค์กร
4. นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรค ด้านสตรี เยาวชน และความยั่งยืน
5. นายวีระพงษ์ ประภา รองหัวหน้าพรรค ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
6. นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รองหัวหน้าพรรค ด้านยุทธศาสตร์การเมืองและการประสานงานกับภาคประชาสังคม
7. นายอิสรา สุนทรวัฒน์ รองหัวหน้าพรรค ด้านการต่างประเทศ
8. นายอัมพร พินะสา รองหัวหน้าพรรค ด้านการศึกษา
หนึ่งในผู้ที่นายอภิสิทธิ์ เสนอเป็นรองหัวหน้าพรรคที่เป็นที่จับตา คือนายจูรี นุ่มแก้ว ดาวติ๊กตอก (TikTok) ที่มีผู้ติดตาม 1.8 ล้านคน และอดีตผู้สมัคร สส.สงขลา เขต 2 พรรคชาติพัฒนากล้า
อภิสิทธิ์ กล่าวว่า จูรีเป็นนักกฎหมาย ที่ผันตัวเป็น “นักรับกดไลก์กับกดหัวใจ” ซึ่งเขามีโอกาสได้รู้จักเมื่อครั้งหาเสียงเลือกตั้งที่ จ.ชลบุรี เมื่อปี 2554 จากการที่นายจูรี “วิ่งมาเอาตำรากฎหมายมาให้ผมเซ็นชื่อ”
นอกจากนี้ที่ประชุม ปชป. ยังมีมติเลือกบุคคลดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในพรรค และ กก.บห. พรรคอื่น ๆ ดังนี้
เลขาธิการพรรค: นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จ.ตาก 6 สมัย และอดีต รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม และ รมช.กระทรวงศึกษาธิการ
รองหัวหน้าพรรค ด้านการดูแลภาคและพื้นที่: จำนวน 5 คน ได้แก่ นายสกลธี ภัททิยกุล ( กทม. ), นายสงกรานต์ จิตสุทธิภากร (ภาคเหนือ), นายเมฆินทร์ เอี่ยมสอาด (ภาคกลาง), นายชัยชนะ เดชเดโช (ภาคใต้) และนายธนพร สมศรี (ภาคอีสาน)
รองเลขาธิการพรรค: จำนวน 5 คน ได้แก่ นางกันตวรรณ ตันเถียร, นายขยัน วิพรหมชัย, นายเจะอามิง โตะตาหยง, นายประชา ยอดวานิช, นายราเมศ รัตนะเชวง และ ม.ล.อภิมงคล โสณกุล
เหรัญญิกพรรค: นางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ อดีต สส.กรุงเทพฯ
นายทะเบียนพรรค: น.ส.ผ่องศรี ธาราภูมิ อดีต สส.ลพบุรี
โฆษกพรรค: ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง อดีตผู้สมัคร สส.กรุงเทพฯ และอดีตโฆษก กรุงเทพมหานคร

ที่มาของภาพ : thai records pix
อ่านวิสัยทัศน์ 3 ด้าน ในแถลงแรกของ “อภิสิทธิ์”
ในช่วงเย็น หลังจากกระบวนการเลือกตำแหน่งต่าง ๆ ในพรรคใกล้เสร็จสิ้น นายอภิสิทธิ์ ได้ใช้เวลาเกือบ 30 นาทีกล่าวแสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุมพรรคเป็นครั้งแรก
หัวหน้าพรรค ปชป. คนใหม่ กล่าวว่าเขาทราบดีถึงสถานการณ์ในวันนี้ เพื่อนใน ปชป. หลายคนกังวลไหวกับสถานการณ์ต่าง ๆ รวมทั้งความเสียเปรียบของพรรค ทำให้คนในพรรคหลายคนบอกตนว่า การกลับมาเที่ยวนี้ เขาไม่มีทางกำไร อย่างมากสุดก็เสมอตัวขาดทุนไม่มากก็น้อย น่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุด แต่เขาเห็นว่า “ชีวิตผมมาถึงจุดนี้ได้ เพราะพรรค ปชป. จะลำบากอย่างไร จะขาดทุนเท่าไร ผมก็ต้องกลับมา เพื่อให้พรรคการเมืองนี้อยู่คู่ประเทศไทยตลอดไปให้ได้” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หลังจากนั้นนายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ในด้านต่าง ๆ 3 เรื่อง ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และการฟื้นฟูพรรค ปชป. ขึ้นมาอีกครั้ง .ขอสรุป คำประกาศ-วิสัยทัศน์ของเขา หลังจากหวนกลับมายัง ปชป. ในรอบเกือบสองปี

ที่มาของภาพ : THai NEWs PIX
เศรษฐกิจ
อภิสิทธิ์ เริ่มจากการกล่าวว่า วันนี้เศรษฐกิจติดหล่ม สังคมเหลื่อมล้ำ ความยุติธรรมหดหาย หลายปีที่ผ่านมาปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นคนภายนอกมองประเทศไทยหรือคนในประเทศสัมผัสกับความเป็นจริง ทุกคนห่วงใยว่าประเทศจะเดินต่อไปแบบนี้หรือ
เขาย้อนกลับไปยังช่วงปีสุดท้ายที่ ปชป. เป็นแกนนำรัฐบาล โดยอ้างว่าปี 2554 เป็นปีแรกที่เศรษฐกิจไทยขยับขึ้นไปเป็นประเทศรายได้ปานกลางขั้นสูง แต่เวลาผ่านไปจนถึงวันนี้ 14 ปี แม้แต่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีก็ยังไม่มีใครมั่นใจเลยว่า ประเทศไทยจะขยับขึ้นไปอีกขั้นได้เมื่อใด
“เป็นไปได้อย่างไรวันนี้ตัวเลขเศรษฐกิจถ้าโตขยับใกล้ 2% ก็ดีใจโล่งใจกันแล้ว” นายอภิสิทธิ์กล่าว ก่อนจะพาดพิงไปยังมาตรการช่วยลดรายจ่ายประชาชนของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่กำลังจะดำเนินโครงการภายในเดือนต.ค.
“มันไม่พอหรอกครับในการที่จะยกระดับความเป็นอยู่และชีวิตของพี่น้องประชาชน เป็นไปได้อย่างไรที่เศรษฐกิจเราติดหล่มมาเป็น 10 ปี ทุกวันนี้เราลุ้นกันได้แค่คนละครึ่งพลัสที่อาจจะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ในยามลำบาก แต่ 3-4 เดือนหลังจากโครงการจบ สิ่งที่ทิ้งไว้ก็เพียงแต่หนี้ของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น” หัวหน้าพรรค ปชป. กล่าว
เขากล่าวต่อไปว่า ตอนนี้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุสมบูรณ์แบบที่ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น ขณะที่คนหนุ่มสาวขาดความมั่นคงและสวัสดิการที่ดี ในขณะที่การเมือง “ลวงตัวเอง ลวงประชาชน” ว่าหยิบยื่นสวัสดิการที่ดีให้ประชาชนแล้ว แต่เก็บภาษีได้ไม่ถึง 15% ของจีดีพี อีกด้านหนึ่งก็มีปัญหาการผูกขาดทั้งเศรษฐกิจและการเมือง ทั้งสองภาคส่วนมีความแน่นแฟ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเราจะนิ่งดูดายปล่อยให้ประเทศเดินไปแบบนี้ไม่ได้
จากทั้งหมดนี้ อภิสิทธิ์ชี้ว่าการเมืองไทยคือสิ่งที่ฉุดรั้งไม่ให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้า จึงเป็นเหตุผลที่เขาได้นำพาคนใหม่ ๆ เข้ามาร่วมงานกับพรรค
“วันนี้ที่ผมนำเอาคนใหม่ ๆ เข้ามา ขอบคุณที่ท่านทั้งหลายที่ยกเว้นคุณสมบัติยกเว้นข้อบังคับให้โอกาสเข้ามาทำงาน เพราะวันนี้สิ่งที่ประเทศไทยต้องการที่สุดคือ เครื่องจักรที่จะทำให้เศรษฐกิจโตต่อไปได้เครื่องจักรใหม่”
นายอภิสิทธิ์ชี้ว่า ประเทศไทยกินบุญเก่าจากอดีตไม่ได้อีกต่อไป ทั้งภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรมที่แข่งเพื่อนบ้านไม่ได้แล้ว ภาคท่องเที่ยวที่คนจีนหายไปเพียงครึ่งก็เดือดร้อนกันไปทั่ว ดังนั้น เครื่องจักรใหม่จึงต้องเกิด ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลก
นอกจากนี้ เขายังกล่าวถึงโอกาสทางเศรษฐกิจของคนรุ่นใหม่ ที่ต่างจากรุ่นเขาที่เส้นทางอาชีพขึ้นอยู่กับการเติบโตในองค์กรใหญ่ แต่คนรุ่นใหม่ ต้องการสร้างโอกาสที่มากับระบบเศรษฐกิจกิ๊ก (Gig economic system) ดังนั้น โจทย์ของทีมของพรรค จึงเป็นการออกแบบเศรษฐกิจที่ตอบโจทย์คนกลุ่มนี้

ที่มาของภาพ : thai records pix
การเมือง สถาบันกษัตริย์ ความมั่นคง
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อไปว่า แต่ทั้งหมดข้างต้น “การเมืองต้องเปิดประตู” แข่งขันกันด้วยการนำเสนอวิสัยทัศน์ มิใช่นโยบายที่ปราศจากการคิดเป็นระบบและมีกรอบความคิดหรืออุดมการณ์รองรับ
“วันนี้ผมจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ตกอยู่ในวังวนวาทกรรม ไม่ต้องมาถามว่าเราอนุรักษ (นิยม) หรือเราประชาธิปไตย หรือเรากั๊กจะเป็นอนุรักษ (นิยม)-ก้าวหน้า ไม่ต้องถามเราครับ เพราะเราประกาศอุดมการณ์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 ว่าเราคือต้นตำรับของพรรคเสรีประชาธิปไตยในประเทศไทย”
หัวหน้าพรรค ปชป. และอดีตนายกฯ คนที่ 27 ยังกล่าวถึงประเด็นของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นใจกลางของของความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมาด้วย
“วันนี้ผมไม่ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่นำเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาอยู่ในวังวนของความขัดแย้งทางการเมือง กล่าวหาฝ่ายหนึ่งว่าล้ม กล่าวหาฝ่ายหนึ่งว่าโหน ไม่ใช่เรื่องครับ ไม่ใช่เรื่องของการเมืองเลย เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ คือศูนย์รวมจิตใจของประชาชนคนไทยที่ต้องอยู่เหนือการเมืองไม่ว่าเราจะมีแนวความคิดการเมืองต่างกันอย่างไร”
เขายังกล่าวถึงประเด็นกองทัพว่า ต้องไม่เอากองทัพมาเป็นประเด็นทางการเมือง “กองทัพจะทำหน้าที่ได้อย่างไรถ้าพรรคการเมืองมีอคติกับกองทัพ และกองทัพเวลาปกป้องแผ่นดินไทยอย่างเข้มแข็ง การเมืองไปโหนไม่ได้”
เขาเห็นว่า การเมืองต้องช่วยสนับสนุนด้วยการดำเนินนโยบายการต่างประเทศการทูตเชิงรุกเพื่อให้การทำงานของทหารและกองทัพทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนแสดงความไม่เห็นด้วยเรื่องการนำประเด็นความมั่นคงมาให้ประชาชนตัดสินใจผ่านการลงประชามติ
“เราไม่ควรเอาเรื่องความมั่นคงของประเทศ เราไม่ควรเอานโยบายการต่างประเทศมาเสี่ยงผลักภาระให้ประชาชนลงประชามติในสิ่งที่อย่าบอกว่าประชาชนจะเข้าใจหรือไม่ และผมยังไม่แน่ใจว่าคนที่คิดให้ถาม ประชาชน ตัวเองเข้าใจหรือยัง”

ที่มาของภาพ : thai records pix
ฟื้นฟูพรรค เปรียบ ปชป. เหมือนเพลงเทเลอร์ สวิฟต์
นายอภิสิทธิ์ กล่าวยกอุดมการณ์ก่อตั้ง ปชป. 10 ข้อตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 ซึ่งมีทั้งหลักการกระจายอำนาจ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่กล่าวไว้ว่า “เศรษฐกิจต้องเสรี แต่รัฐต้องเข้าแทรกแซงเพื่อความยุติธรรมในสังคม”
เขาชี้ว่าทั้งสิบข้อนี้เป็นอุดมการณ์ที่ทันสมัย อีกทั้งยังเป็นหลักประกันที่ทำให้การเมืองโปร่งใสเป็นประชาธิปไตย เศรษฐกิจยั่งยืนในสังคมที่เกื้อกูล
“สิ่งเหล่านี้เป็นโจทย์ใหญ่กว่าเรื่องว่า พรรคเราจะมี สส. กี่คน โจทย์เหล่านี้คือหน้าที่ของพรรคการเมืองที่ผมมั่นใจว่าถ้าเราแก้ได้ เราจะอยู่คู่ประเทศไทย เราจะไม่หายไปไหน”
เขายอมรับว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หลายคนในพรรคเครียด กังวล และมากระซิบกับตนว่ากังวลเรื่อง สส. ย้ายพรรค ทว่านายอภิสิทธิ์ที่บอกว่าตนเป็นนักการเมืองมา 30 ปี กล่าวว่า “อย่าไปเครียด” เพราะหาก ปชป. อยากอยู่คู่ประเทศไทยก็ต้องสร้างคนอย่างต่อเนื่อง ก่อนเปรียบเปรยเรื่องการซื้อตัว สส. ของบางพรรคการเมืองกับงานอดิเรกที่เขาชื่นชอบ คือ การดูฟุตบอล
“ระวังนะครับศูนย์หน้าฟอร์มดี ๆ ค่าตัวแพงที่สุดย้ายสโมสรไปแล้วมันยิvไม่ได้สักประตู” หัวหน้าพรรค ปชป. ระบุ
นอกจากฟุตบอลแล้ว งานอดิเรกที่นายอภิสิทธิ์ หยิบยกมากล่าวคือการสะสมแผ่นเสียง เขาบอกว่า แผ่นเสียงล่าสุดที่ซื้อคือ อัลบั้มของเทเลอร์ สวิฟต์ ที่มีคำคมว่า “แก้วที่แตกจะมีความคมมากขึ้น” ซึ่งเขานำเนื้อเพลงท่อนนี้มาเปรียบเปรยกับพรรคสีฟ้าอายุเกือบ 80 ปีนี้ด้วย
“ใครที่กำลังจะมาทุบประชาธิปัตย์ ก็เหมือนกำลังทุบแก้วให้แตก ผมจะบอกว่าทุบเสร็จ ผมจะเอาความคมของแก้วที่แตก ไปตัดวงจรอุบาทว์การซื้อเสียงและการคอร์รัปชันในประเทศไทย”
ผู้นำพรรค ปชป. คนที่ 10 กล่าวกับสมาชิกพรรคในช่วงท้ายว่า “อย่ากังวลไหว” แม้มีคนปรามาสว่าเป็น “เหล้าเก่าขวดเก่า” พร้อมยกสัญลักษณ์พระแม่ธรณีของพรรค และข้อความ “สัจจังเว อมตะวาจา (วาจาเป็นสิ่งไม่เสียชีวิต)” บนสัญลักษณ์พรรคว่า เป็นคำตอบของยุคสมัยนี้ และผู้ที่จะทำให้เกิดขึ้นได้คือสมาชิก ปชป. ทุกคน
“วันนี้ผมเชิญชวนคนทั้งประเทศที่เบื่อกับการเมืองที่ท่านเห็นมาร่วมกับเรา” นายอภิสิทธิ์ ทิ้งท้าย
เส้นทาง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ คนที่ 27
อภิสิทธิ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคสีฟ้าเป็นครั้งแรกในการเลือกตั้งเมื่อปี 2535 ครั้งนั้น ครั้งนั้นได้รับเลือกให้เป็น สส. สมัยแรกด้วยวัยเพียง 27 ปี ซึ่งถือเป็นนักการเมืองอายุน้อยที่สุดของสภา (ในเวลานั้น) และยังเป็น สส.กรุงเทพมหานคร เพียงหนึ่งเดียวของ ปชป.
เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ปชป. คนที่ 7 ยาวนานราว 14 ปี ตั้งแต่ปี 2548-2562 โดยเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภา 3 สมัย ในช่วงที่ “พรรคทักษิณ” เป็นรัฐบาล ตั้งแต่ยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย (ทรท.) รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน (พปช.) และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสังกัดพรรคเพื่อไทย (พท .)
ในเดือน ธ.ค. 2551 เขาได้ก้าวขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 27 จากการสนับสนุนของกลุ่มการเมืองบางกลุ่มซึ่งเคยสนับสนุนพรรค พปช. ที่หันมาร่วมกับพรรค ปชป. ตั้งรัฐบาลใหม่ หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งยุบพรรค พปช. ทำให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หัวหน้าพรรค ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
ภายใต้รัฐบาลที่มีนายกฯ ชื่อ อภิสิทธิ์ เกิดเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองในปี 2553 โดยผู้ชุมนุมที่เรียกตัวเองว่า “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” (นปช.) ในปีนั้นศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ถูกจัดตั้งขึ้นภายในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) ถ.พหลโยธิน ใช้เป็นกองบัญชาการของฝ่ายรัฐบาล ซึ่งหลังจากตั้ง ศอฉ. สามวัน ได้มีการเปิด “ปฏิบัติการขอคืนพื้นที่” ถนนราชดำเนิน ในเดือน เม.ย. 2553 ก่อนจบลงด้วยเหตุนองเลืoดที่สี่แยกคอกวัวที่เกิดการสูญเสีย 27 ชีวิต
เหตุการณ์ที่แยกคอกวัวในปี 2553 นายอภิสิทธิ์เคยบอกกับ.ว่าเป็นคืนที่ “ทุกข์ที่สุดตั้งแต่เป็นนายกฯ”
ต่อมา ในเดือน พ.ค. ปีเดียวกัน ได้เกิดการสลายชุมนุม นปช. บริเวณแยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553
การสลายการของกลุ่มประชาชนที่เรียกตัวเองว่า นปช. เมื่อ เม.ย.-พ.ค. 2553 ภายใต้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เป็นผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 90 คน โดยจำนวนผู้เสียชีวิตจากการบันทึกของรายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่แต่งตั้งขึ้นโดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 92 ราย บาดเจ็บกว่า 1,500 ราย ในช่วง 69 วันของการชุมนุม
ขณะที่รายงานอีกฉบับจากศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. fifty three (ศปช.) ชี้ว่ามีผู้สังเวยชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น 94 ราย โดยผลการไต่สวนการเสียชีวิตในชั้นศาลพบอย่างน้อย 18 รายเสียชีวิตด้วย “กระสุนจากฝั่งเจ้าหน้าที่/ทหาร”

ที่มาของภาพ : thai records pix
เลือกตั้ง 62: ลาออกหัวหน้าพรรค-หันหลังให้สภา
การเลือกตั้งในเดือน มี.ค. 2562 เป็นครั้งที่ 3 ที่อภิสิทธิ์นำทัพสู้ศึกเลือกตั้ง
ภายหลังผลการนับคะแนนเลือกตั้ง สส. อย่างไม่เป็นทางการชี้ว่า ปชป. ตกที่นั่ง “พรรคต่ำร้อย” อภิสิทธิ์ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค ตามที่เคยลั่นวาจาไว้ว่าพร้อมแสดงรับผิดชอบหากทำให้พรรคถดถอย-กลายเป็น “พรรคต่ำร้อย”
หากย้อนดูผลงานในการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้า ในการเลือกตั้ง 2550 เขานำผู้แทนฯ เข้าสภาได้ 165 คน และในการเลือกตั้ง 2554 ปชป. มี สส. 159 คน แต่กับการเลือกตั้ง 2562 ปชป. ตกที่นั่งพรรคอันดับ 4 ของสภา เหลือ สส. เพียง fifty three คนเท่านั้น
นอกจากนี้ เขายังลาออกจากการเป็น สส. เมื่อ 5 มิ.ย. 2562 หลังพรรค ปชป. มีมติสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ส่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นเป็นนายกฯ สมัยที่ 2 ต่อเนื่องจากสมัยรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เกิดหลังรัฐประหาร 2557

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
เลือกตั้ง 66: ลาออกสมาชิกพรรค
ภายหลังการเลือกตั้งในปี 2562 ปชป. ภายใต้การนำของจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคคนที่ 8 และ เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค เข้าไปเป็นพรรคร่วมรัฐบาล “ประยุทธ์ 2” รับโควต้ารัฐมนตรี 7 คน 8 ตำแหน่ง มาจัดสรรให้กับพรรคและทำงานร่วมกันจนเกือบครบวาระ 4 ปี
ระหว่างนั้นนายอภิสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมกับพรรค ปชป. บ้างเป็นครั้งคราว และช่วยรณรงค์หาเสียงทั้งการเลือกตั้งผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร 2565 รวมถึงการเลือกตั้งทั่วไป 14 พ.ค. 2566
ทว่าการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 เป็นครั้งแรกที่อภิสิทธิ์ไม่ลงสมัคร สส. โดยให้เหตุผลว่า แนวคิดของเขาในหลายเรื่องในระยะหลังไม่สอดคล้องกับการดำเนินงานของพรรคมากนัก
ผลการเลือกตั้งในปี 2566 ปชป. เหลือผู้แทนฯ เพียง 25 คนเท่านั้น และมีคะแนนมหาชน (ป็อบปูลาร์โหวต) ต่ำล้าน โดยได้เพียง 9.2 แสนเสียง จนหลายคนลืมไปว่า ปชป. เคยมียุครุ่งเรือง-มีมวลชนสนับสนุน 12.1 ล้านเสียงในการเลือกตั้งปี 2550
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนที่ 8 เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการนำพรรคสีฟ้าตกที่นั่ง “พรรคเสี้ยวร้อย” ทำให้ต้องมีการเลือกผู้นำพรรคคนใหม่
ทว่ากว่าจะได้หัวหน้าพรรคคนที่ 9 ต้องมีการประชุมใหญ่ของพรรคถึง 3 ครั้ง ตั้งแต่เดือน ก.ค. – ธ.ค. และได้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีต สส.ประจวบคีรีขันธ์ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคในเดือน ธ.ค. 2566
ครั้งนั้นแม้อภิสิทธิ์จะได้รับการเสนอชื่อ เขากลับประกาศถอนตัวออกจากการเป็นแคนดิเดต และประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิก ปชป. ด้วยอีกต่อหนึ่ง โดยยืนยันว่า ไม่ได้มีเป้าหมายย้ายไปพรรคการเมืองอื่น
“ผมยืนยันกับทุกท่านที่นี่ ผมไม่มีพรรคอื่น ไม่ไปพรรคอื่น กรีดเลืoดผมมาก็เป็นสีฟ้าจนวันเสียชีวิต วันข้างหน้าถ้าในพรรคคิดว่าผมจะเป็นประโยชน์มาช่วยได้ ผมก็คงไม่ปฏิเสธ” นายอภิสิทธิ์ ประกาศกลางที่ประชุมที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ กรุงเทพฯ เมื่อ 9 ธ.ค. 2566

ที่มาของภาพ : BBC THAI

ที่มาของภาพ : thai records pix

ที่มาของภาพ : thai records pix

ที่มาของภาพ : Thai records pix

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
ที่มา BBC.co.uk