ทรัมป์จะสามารถเอาชนะ “เกมเดิมพันสูง” กับ สี จิ้นผิง ในสงครามการค้าครั้งนี้ได้หรือไม่ ?

ที่มาของภาพ : Getty Photography / BBC

Article Info

    • Author, เบนนี ลู
    • Operate, บีบีซีแผนกภาษาจีน
    • Author, ทีมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ
    • Operate, บีบีซี นิวส์

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา มีกำหนดพบปะนอกรอบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ในระหว่างการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ที่ประเทศเกาหลีใต้ 30 ต.ค. นี้ ตามคำยืนยันของทำเนียบขาว

การประชุมระหว่าง 2 ผู้นำที่วางแผนกันมานานเกือบต้องสะดุดลง เนื่องจากสงครามการค้าระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกที่ปะทุขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา จีนประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุหายากครั้งใหญ่ โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ทั้งนี้ จีนแทบจะผูกขาดแร่ธาตุเหล่านี้ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการผลิตสินค้าไฮเทคหลายชนิด ทรัมป์จึงตอบโต้กลับด้วยการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทุกชนิดจากจีน 100% ตั้งแต่เดือน พ.ย.

ต่อมา สหรัฐฯ และจีนดูเหมือนจะผ่อนคลายท่าทีลง และชี้ว่ายังมีช่องว่างสำหรับการเจรจา แต่ทั้ง 2 ประเทศยังคงกล่าวหากันไปมาถึงการยกระดับสถานการณ์และความวุ่นวายในตลาดที่ตามมา

ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะทำข้อตกลง “ทุกเรื่อง” กับจีน ตั้งแต่ภาษีศุลกากรไปจนถึงแร่ธาตุหายาก แต่เขาอาจประเมินความมุ่งมั่นของจีนต่ำเกินไป เพราะจีนกำลังตอบโต้สงครามภาษีทั่วโลกของทรัมป์อย่างรุนแรงที่สุด

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed studyingได้รับความนิยมสูงสุด

Stop of ได้รับความนิยมสูงสุด

ที่มาของภาพ : Reuters

จีนหันมานำเข้าถั่วเหลืองจากบราซิลและอาร์เจนตินา

“ทั้ง 2 ฝ่ายดูเหมือนกำลังเล่นเกมวัดใจที่มีเดิมพันสูง” เหวินตี ซุง ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนจากแอตแลนติก เคาท์ซิล (Atlantic Council) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยของสหรัฐฯ กล่าว

ชอง จา เอียน รองศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore) เห็นด้วยว่า “ทั้ง 2 ประเทศเชื่อว่าพวกเขาสามารถทนต่อความเจ็บปวดได้มากกว่าอีกฝ่าย บางทีนี่อาจเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเจรจา”

ซุงกล่าวว่า หนึ่งในกลยุทธ์ของทรัมป์คือ “การทดสอบการครอบงำ” หากจีนยอมจำนนภายใต้การข่มขู่ นั่นก็อาจกำหนดทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าได้

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลปักกิ่งไม่น่าจะสยบยอม “นี่เป็นปีที่ 13 ติดต่อกันที่ สี จิ้นผิง ครองอำนาจ และเขาไม่จำเป็นต้องประชุมสุดยอดทวิภาคีกับทรัมป์เพื่อพิสูจน์ตัวเอง” เขากล่าว

นอกจากแร่ธาตุหายากแล้ว จีนยังพุ่งเป้าไปที่ภาคการผลิตถั่วเหลืองของสหรัฐฯ ด้วย และเกษตรกรก็เป็นฐานเสียงสำคัญที่สนับสนุนทรัมป์

ในเดือน ก.ย. ปริมาณการส่งออกถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ไปยังจีนลดลงเหลือศูนย์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2018 ขณะที่การนำเข้าจากบราซิลและอาร์เจนตินาเพิ่มขึ้น จีนเป็นผู้นำเข้าถั่วเหลืองรายใหญ่ที่สุดของโลก เนื่องจากใช้พืชตระกูลถั่วเป็นอาหารสัตว์เป็นหลัก

จูเลียน อีแวนส์-พริตชาร์ด หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์จีนของบริษัทวิเคราะห์แคปิตอล อีโคโนมิกส์ (Capital Economics) แสดงความเห็นไว้ว่า การส่งออกของจีนก็มีความแข็งแกร่งและฟื้นตัวได้ไวกว่าที่หลายคนคาด เมื่อต้องเผชิญกับมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยจีนสูญเสียผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไป 0.3% ในเดือน ก.ย.

จีนจะรับมือกับการตอบโต้ของสหรัฐฯ ได้หรือไม่ ?

ที่มาของภาพ : Reuters

เซมิคอนดักเตอร์ยังคงเป็นตัวจุดชนวนความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน

จีนอาจดูเหมือนว่าได้เปรียบในขณะนี้ แต่การโต้กลับเช่นนี้อาจนำไปสู่สถานะที่อ่อนแอลงของจีนในระยะยาว เนื่องจากผู้นำเข้าสหรัฐฯ จะยิ่งเร่งแสวงหาแหล่งผลิตและห่วงโซ่อุปทานทางเลือก

ตัวอย่างเช่น แอปเปิล (Apple) ระบุเมื่อต้นปีนี้ว่ามีแผนจะย้ายการผลิตสมาร์ทโฟนอย่างไอโฟน (iPhone) ส่วนใหญ่ที่จำหน่ายในสหรัฐฯ จากจีนไปยังอินเดีย และในเดือน มิ.ย. ไนกี (Nike) ยักษ์ใหญ่ด้านอุปกรณ์ด้านกีฬา ก็ระบุว่าจะย้ายการผลิตบางส่วนออกจากจีน

อีแวนส์-พริตชาร์ด ชี้ให้เห็นว่า การสรุปว่าจีนได้ “พัฒนาภูมิคุ้มกันภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ อย่างยั่งยืนแล้ว” ถือเป็นเรื่อง “ไม่ฉลาด” เนื่องจากค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างประเทศอื่น ๆ นอกเหนือจากดอลลาร์สหรัฐ ทำให้สินค้าส่งออกของจีนมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น

การส่งออกยังคงเป็นเครื่องยนต์หลักในการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน เนื่องจากจีนกำลังดิ้นรนเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและฟื้นตัวจากภาวะตกต่ำของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้

ผู้เชี่ยวชาญบางคนเตือนว่า รัฐบาลกรุงปักกิ่งอาจประเมินทรัมป์ผิดและเล่นงานทรัมป์มากเกินไป จีนได้พัฒนา “นิสัยใหม่ที่อันตราย” ขึ้นมา นั่นคือการประเมินเจตจำนงและความสามารถในการตอบโต้ของสหรัฐฯ ต่ำเกินไป ซุน หยุน จากศูนย์วิจัยสติมสัน (Stimson Heart) ของสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับนิวยอร์กไทมส์

เนเชีย แมคโดนาห์ อาจารย์สาขาธุรกิจระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยอีดิธ โคเวน (Edith Cowen University) ในออสเตรเลีย กล่าวกับบีบีซีว่า สหรัฐฯ อาจขู่ที่จะเพิ่มข้อจำกัดทางการค้าเพื่อขัดขวางความพยายามในการพัฒนาภาคเทคโนโลยีของจีน

ตัวอย่างเช่น ทำเนียบขาวได้สั่งระงับการขายชิปประมวลผลที่ทันสมัยที่สุดของเอ็นวิเดีย (Nvidia) ให้จีนไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์แมคโดนาห์เห็นว่า มาตรการที่พุ่งเป้าไปยังอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของปักกิ่งอาจทำให้จีนชะลอตัวลง แต่จะไม่สามารถ “หยุดยั้ง” จีนได้

ใครจะยอมแพ้ก่อน ?

นักวิเคราะห์บางคนกล่าวว่า ปฏิกิริยาจากตลาดทำให้ทรัมป์ลดจุดยืนที่แข็งกร้าวลง หลังจากทรัมป์ตอบโต้อย่างรุนแรงต่อความเคลื่อนไหวเรื่องแร่ธาตุหายากของจีนเมื่อวันที่ 10 ต.ค. ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ร่วงลงเป็นมูลค่ารวมกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะเดียวกัน นโยบายสงครามการค้าของจีนแทบไม่ได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นของตลาดเลย กลไกการตัดสินใจของประเทศมีการรวมศูนย์อำนาจ และ สี จิ้นผิง ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้นำจีนที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ

พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ปกครองประเทศยังมีอำนาจควบคุมรัฐวิสาหกิจอย่างเข้มงวด ซึ่งจะปฏิบัติตามแนวทางของรัฐบาลกลาง

นักวิจารณ์บางคนเชื่อว่ารัฐบาลกรุงปักกิ่งเตรียมพร้อมเป็นอย่างดีสำหรับการหวนคืนทำเนียบขาวเป็นวาระที่ 2 ของทรัมป์ และกำลังเล่นเกมที่ดุเดือด โดยอิงจากการสังเกตการณ์ระยะยาวเกี่ยวกับรูปแบบและกลยุทธ์ของทรัมป์ รวมถึงการตอบสนองต่อภาษีศุลกากร สงครามเทคโนโลยี และการระบาดใหญ่ของโควิด-19

ไรอัน แฮสส์ นักวิจัยอาวุโสประจำสถาบันบรูคกิงส์ (Brookings Establishment) ซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐฯ สรุปในรายงานว่า จีนได้พัฒนาจากการเป็น “นักศึกษา” สู่การเป็น “ศาสตราจารย์” แล้ว

เขากล่าวว่า นับตั้งแต่ สี จิ้นผิง ขึ้นสู่อำนาจ จีนได้เปลี่ยนจาก “การมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างแข็งขัน” นั่นคือทำการตอบโต้เฉพาะเมื่อถูกคุกคาม ไปสู่ “การเคลื่อนไหวแบบฉวยโอกาส” โดยมองหาโอกาสเพื่อขยายอิทธิพลของตนอยู่เสมอ

เขาโต้แย้งว่า สิ่งนี้เชื่อมโยงกับการเติบโตของความแข็งแกร่งของจีน ในสมัยแรกของทรัมป์ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนปะทุขึ้น ซึ่งเป็นตัวเร่งให้ สี จิ้นผิง ยิ่งรีบบรรลุวาระและความทะเยอทะยานของตัวเองที่ต้องการให้จีน “พึ่งพาตนเอง”

นับแต่นั้นมา ผู้นำจีนได้ใช้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนเพื่อเสริมสร้างลัทธิชาตินิยมภายในประเทศ พร้อมกับลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ

สิ่งนี้ยังทำให้รัฐบาลปักกิ่งกล้าใช้ห่วงโซ่อุปทานของตนไปใช้เป็นอาวุธ เช่น ส่วนที่เกี่ยวข้องกับแร่ธาตุหายากในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์อลิซาเบธ ลารุส จากแปซิฟิคฟอรัม (Pacific Forum) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยของสหรัฐฯ กล่าวว่า ผู้นำจีนอาจมองข้ามความหลงตัวเองและจุดอ่อนของทรัมป์ แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะประเมินเขาผิดเช่นกัน

“ทรัมป์เข้ากันได้ดีกับพวกผู้นำบุรุษเหล็ก จนกระทั่งคนพวกนี้ทดสอบความอดทนของทรัมป์ แล้วทรัมป์ก็จะออกมาโจมตี ผู้นำจีนควรตระหนักถึงลักษณะนิสัยนี้เช่นกัน”

ศาสตราจารย์ลารุสกล่าวเสริมว่า ผู้นำจีนควรระมัดระวังการตัดสินใจที่ “คาดเดาไม่ได้” ของทรัมป์ และความเต็มใจของทรัมป์ที่จะโดนโน้มน้าวใจโดยคนไม่กี่คนที่อยู่วงในที่ปรึกษาของเขา เช่น สตีเฟน มิลเลอร์ รองหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายนโยบายทำเนียบขาว และลอรา ลูเมอร์ นักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาจัด

ถึงแม้ทรัมป์และสีจะสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ในการประชุมสุดยอดเอเปค แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ทั้ง 2 ผู้นำจะสามารถแก้ไขความแตกต่างขั้นพื้นฐานได้ในเร็ววันนี้

รายงานเพิ่มเติมและเรียบเรียงโดย เกรซ ฉ่อย และ อเล็กซานดรา ฟูเช