10 ปมสำคัญที่โหวตเตอร์ Fifty three ล้านคนควรรู้ ก่อนเข้าคูหาเลือกตั้ง สส. พ่วง 2 ประชามติครั้งแรกของไทย

ที่มาของภาพ : Thai Info Pix

ในการเลือกตั้งปี 2569 กกต. คาดการณ์ว่าจะมีผู้มีสิทธิออกเสียงราว Fifty three ล้านคน

Article Info

    • Creator, หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
    • Characteristic, ผู้สื่อข่าว.

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอเวลา 75 วันจากรัฐบาล เพื่อเตรียมกระบวนการจัดเลือกตั้ง สส. พ่วงประชามติ ซึ่งจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในไทย โดยเลขาธิการ กกต. ชี้ให้เห็น 3 “ข้อดี” ทั้งประหยัดงบ-ลดภาระประชาชน-เพิ่มความชอบธรรมให้ประชามติจากการ “ได้ฟังเสียงประชาชนเป็นจำนวนมาก”

“กกต. ผู้สื่อข่าว คนไทยจะได้ประสบการณ์ครั้งแรกร่วมกัน ถ้าต้องจัดพร้อมกันทั้งเลือกตั้งและประชามติ” นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. กล่าว

เขายืนยันว่า ไม่ว่าการทำประชามติหรือการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นวันไหน จัดพร้อมกันหรือไม่ สำนักงาน กกต. ก็มีความพร้อม

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ประกาศว่า จะยุบสภาผู้แทนราษฎรอย่างช้า 31 ม.ค. 2569 นั่นทำให้การเลือก สส. ชุดใหม่ 500 คน ต้องเกิดขึ้นภายใน forty five-60 วันหลังจากนั้น

ขณะที่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติปี 2568 กำหนดให้การออกเสียงประชามติเกิดขึ้นใน 60-150 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Finish of ได้รับความนิยมสูงสุด

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย “พิเคราะห์แล้วเห็นว่า 29 มี.ค. 2569 เป็นวันที่เหมาะสมที่สุด”

ในการหารือระหว่างนายกฯ กับ กกต. เมื่อ 24 ต.ค. นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. เปิดเผยว่า จะมีผู้มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน Fifty three ล้านคน และจะใช้งบประมาณในการจัดให้มีการเลือกตั้งพร้อมประชามติ ราว 9 พันล้านบาทเศษ

วันนี้ (30 ต.ค.) สำนักงาน กกต. จัดกิจกรรมแถลงข่าวและพูดคุยกับสื่อมวลชน โดยผู้บริหารสำนักงาน นำโดยนายแสวง บุญมี ร่วมชี้แจงแนวทางปฏิบัติเบื้องต้นของประชาชนที่ต้อง “เข้าคูหา กาบัตร 4 ใบ” และการเตรียมความพร้อมของ กกต. ในการจัดการเลือกตั้ง สส. พ่วง 2 การออกเสียงประชามติ

นายแสวงยอมรับว่า “ถ้าบริหารจัดการไม่ดี เวลาจะเหลื่อมกันไปหมดเลย” กกต. จึงแจ้งไปยังรัฐบาลว่า “ขอเวลา 75 วันเป็นอย่างน้อย (นับย้อนหลังจากวันเลือกตั้ง) ถึงจะทำงานเรียบร้อย” โดยให้เหตุผลว่า กกต. ต้องเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจ และเปิดเวทีให้ฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยได้แสดงความคิดเห็นในหัวข้อที่ทำประชามติ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีใครทราบว่าจะมีกี่คำถาม นอกจากนี้ยังต้องบริหารจัดการกระบวนการทั้งเรื่องบัตรลงคะแนน กระดานนับคะแนน บุคลากรต่าง ๆ ฯลฯ

“ถ้าดูตามข่าว เราคงเข้าใจตรงกันว่าเป็นสถานการณ์ปลายปิด วันเลือกตั้งเหมือนถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะผู้มีอำนาจได้ประกาศเจตนารมณ์ไว้ล่วงหน้าคืออีกประมาณ 5 เดือนหลังจากนี้” นายแสวงกล่าว

ถ้าการเลือกตั้งเกิดขึ้น 29 มี.ค. 2569 ตามปฏิทินของรองนายกฯ บวรศักดิ์ 2 องค์กรที่เกี่ยวข้องคือ รัฐสภาต้องจัดส่งคำถามประชามติและเอกสารข้อมูลเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และรัฐบาลต้องจัดส่งคำถามประชามติและเอกสารข้อมูลเกี่ยวกับการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Thought – MOU) ระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชา 2 ฉบับคือ MOU43 ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก และ MOU44 ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ให้ กกต. อย่างช้าภายใน 13 ม.ค. 2569 ซึ่งจะครบ 75 วันตามที่เลขาธิการ กกต. ร้องขอเอาไว้พอดี

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่ภายใต้ “สถานการณ์พิเศษ” จึงน่าสนใจว่า กกต. จะขอความร่วมมือพรรคการเมืองในเรื่องการรณรงค์หาเสียงหรือไม่อย่างไร นายแสวงบอกเพียงว่า “ไม่ว่าจะเงื่อนไขไหน เรามีความพร้อม ตอบได้แค่นี้”

ที่มาของภาพ : Thai Info Pix

นายกฯ อนุทิน กับรองนายกฯ บวรศักดิ์ พูดคุยกันระหว่างเปิดแถลงข่าวร่วมกับประธาน กกต. เมื่อ 24 ต.ค.

คูหาเลือกตั้ง สส. กับหน่วยออกเสียงประชามติ จะมีหน้าตาแบบไหน? แยกหน่วยหรือรวมหน่วย? ประชาชนต้องรับบัตรทีเดียว 3-4 ใบรวด แล้วไปกากบาทในคูหารวดเดียว หรือเข้าคูหากี่ครั้ง? มีประชามติล่วงหน้าหรือไม่ น่าจะเป็นคำถามคาใจใครหลายคน

.ขอฉายภาพวันเลือกตั้งพ่วงประชามติครั้งแรกของไทย โดยสรุปและเรียบเรียงจากคำอธิบายของผู้บริหารสำนักงาน กกต. และเพิ่มเติมข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

1. หน่วยเลือกตั้งหน้าตาเป็นแบบไหน?

หน่วยเลือกตั้ง/ออกเสียงจะใช้หน่วยเดียวกัน แต่แบ่งออกเป็น 2 โซนคือ โซนเลือกตั้ง สส. และโซนประชามติ โดยให้ประชาชนใช้สิทธิเลือก สส. ก่อน แล้วจึงใช้สิทธิออกเสียงประชามติต่อ นั่นทำให้ขนาดของหน่วยเลือกตั้งจะใหญ่ขึ้น และอาจต้องหาสถานที่ใหม่ด้วยบางส่วน

เดิม: ใช้ 2 เต็นท์

ใหม่: คาดว่าจะใช้ 3 เต็นท์

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ประชาชนรอใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งล่าสุด

2. รับบัตร-หย่อนบัตรลงคะแนนอย่างไร?

เดิม: รับบัตรลงคะแนนเลือก สส. 2 ระบบพร้อมกันคือ บัตรเลือก สส.บัญชีรายชื่อ และบัตรเลือก สส.เขต เข้าคูหาครั้งเดียว กากบาท จากนั้นนำบัตร 2 ใบไปหย่อนลง 2 หีบแยกตามประเภทของ สส.

ใหม่: คาดว่าจะให้รับบัตรลงคะแนนเลือก สส. 2 ใบก่อนคือ บัตรเลือก สส.บัญชีรายชื่อ และบัตรเลือก สส.แบ่งเขต เข้าคูหากากบาท แล้วนำบัตร 2 ใบไปหย่อนลง 2 หีบแยกตามประเภทของ สส. เช่นเดิม จากนั้นจึงให้รับบัตรทำประชามติ 1 หรือ 2 ใบ (ขณะนี้ยังไม่สรุปว่าจะใช้บัตร 1 ใบ ถามคำถาม 4 ข้อรวด หรือแยกบัตรเป็น 2 ใบคือ บัตรลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญมี 2 คำถาม และบัตรลงประชามติ MOU ไทย-กัมพูชามีอีก 2 คำถาม) เข้าคูหากากบาท แล้วนำบัตร 1 หรือ 2 ใบนี้ไปหย่อนลงหีบประชามติ (กรณีใช้บัตรประชามติ 2 ใบ ก็จะมี 2 หีบ)

ที่มาของภาพ : Thai Info Pix

ในการเลือกตั้งปี 2566 ประชาชนต้องรับบัตร 2 ใบ เลือก สส. 2 ระบบ

ส่วนสาเหตุที่ไม่สามารถให้ประชาชนรับบัตรลงคะแนนทีเดียว นายแสวงอธิบายว่าเป็นปัญหาทางกฎหมาย ถึงแม้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง สส. กับผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติจะเป็นคน ๆ เดียวกัน แต่กระบวนการไม่เหมือนกัน เพราะกรณีเลือก สส. สามารถขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าและนอกเขตได้ แต่กรณีประชามติไม่สามารถขอออกเสียงล่วงหน้าได้ มีเพียงการออกเสียงนอกเขตในวันจริง สมมติคนลงทะเบียนเลือกตั้ง สส. ล่วงหน้าและใช้สิทธิไปแล้ว พอถึงวันจริง บุคคลนั้นก็จะได้บัตรประชามติเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องแยกการจ่ายบัตรเลือกตั้งกับประชามติเพื่อไม่ให้สับสนทั้งคนให้และคนรับ

เช่นเดียวกับจำนวนบัตรลงคะแนนว่าจะใช้ 3 หรือ 4 ใบกันแน่ ซึ่งเลขาธิการ กกต. บอกว่า “ยังตอบตอนนี้ไม่ได้ แต่เราจะเอาความสะดวกประชาชนเป็นหลัก ไม่เพิ่มภาระให้ประชาชน” หากใช้บัตรประชามติใบเดียว สิ่งที่ได้แน่ ๆ คือประหยัดงบประมาณ ไม่ต้องพิมพ์บัตรเพิ่มอีก 55 ล้านใบ แต่สิ่งตามมาคือประชาชนจะสับสนหรือไม่ หากต้องกาเยอะ ๆ ในบัตรเดียว ซึ่งต้องพิจารณาว่าอะไรดีที่สุด

3. หีบบัตรมีกี่ใบ?

เดิม: มี 2 หีบ แยกตามประเภท สส. และใช้กล่องกระดาษสีขาว

ใหม่: คาดว่าจะใช้หีบบัตรสีเดียวกับบัตรลงคะแนนในประเภทนั้น ๆ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน หากมี 4 บัตร ก็ใช้หีบ 4 สี

เลขาธิการ กกต. ระบุว่า พยายามคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ประชาชนสับสน แล้วถ้าหย่อนไม่ถูกหีบจะทำอย่างไร

“เราจะดูว่าบัตรสีไหน ก็ใช้หีบสีนั้น อย่างน้อยประชาชนก็ชะงัก และถ้าไปหย่อนผิดหีบ (เจ้าหน้าที่) ก็หยิบออกมาใส่อันนี้ได้เลย พยายามออกแบบให้ช่วยกัน ให้ตรงเจตนารมณ์ของประชาชน และทำอย่างไรให้บัตรเสียน้อยที่สุด” นายแสวงกล่าว

เขายืนยันด้วยว่า การหย่อนบัตรลงคะแนนผิดหีบ จะ “ไม่นับเป็นบัตรเสีย”

4. ต้องใช้เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเพิ่มขึ้นหรือไม่?

ผู้บริหารสำนักงาน กกต. ประมาณการว่า ต้องใช้เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งราว 1.4 ล้านคน โดยเพิ่มจากเดิม 4 แสนคน

นายแสวงบอกว่า “นี่จะเป็นครั้งแรกที่มีการเพิ่มค่าแรงให้ การประปานครหลวง (คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง) คิดว่าสมเหตุสมผล และเขาควรจะได้” โดยอธิบายว่า การประปานครหลวง ต้องทำงานราว 17 ชม. ไม่มีเวลาพักผ่อน ต้องผลัดกันกินข้าว ต้องรับแรงเสียดทานในการปฏิบัติหน้าที่หน้างาน

เดิม: มี 11 คน แบ่งเป็น กปส. เลือกตั้ง สส. 9 คน, เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) 2 คน

ใหม่: มี 15 คน บางเป็น การประปานครหลวง เลือกตั้ง สส. 9 คน, การประปานครหลวง ประชามติ 4 คน, รปภ. 2 คน

ข้อเท็จจริง: ในการเลือกตั้งปี 2566 มีหน่วยเลือกตั้งทั้งประเทศ 94,775 หน่วย (รองรับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 800-1,000 คน/หน่วย) แต่ในการเลือกตั้งพ่วงประชามติปี 2569 กกต. ระบุว่าจะเพิ่มหน่วยเลือกตั้งเป็น 1.2 แสนหน่วย (รองรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่เกิน 800 คน/หน่วย)

“ที่ กกต. ต้องการเพิ่มจำนวนหน่วยเลือกตั้งก็เพื่อลดความแออัด เพราะถ้าคนไปอยู่ในหน่วยเพื่อทำ 2 กิจกรรม มันก็ต้องใช้เวลาเพิ่ม ปกติเลือกตั้งไม่เกิน 5 นาทีเสร็จ นี่ต้องลงประชามติอีก 3 นาที และนอกจากเวลาในช่วงใช้สิทธิออกเสียง ยังมีเวลาในช่วงนับคะแนนที่ต้องเพิ่มขึ้นตามจำนวนบัตรลงคะแนนด้วย” พ.ต.ต.ณัฐวัฒน์ เสงี่ยมศักดิ์ รองเลขาธิการ กกต. กล่าว

สำนักงาน กกต. จะจัดให้มีการจำลองการลงคะแนนในหน่วยเพื่อดูว่าจะใช้เวลาในแต่ละขั้นตอนเท่าใด ทั้งการลงคะแนนและนับคะแนน

5. นับคะแนนอย่างไร และรู้ผลเมื่อใด?

ที่มาของภาพ : Thai Info Pix

การนับคะแนนจะเกิดขึ้นที่หน่วยเลือกตั้งภายหลังปิดการลงคะแนนในเวลา 17.00 น.

การนับคะแนนจะเกิดขึ้นที่หน้าหน่วยเลือกตั้ง/หน่วยออกเสียง โดยมี 6 กระดานพร้อมกัน ประกอบด้วย กระดานคะแนนเลือกตั้ง สส.แบบเขต, เลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ, ประชามติรัฐธรรมนูญ คำถามที่ 1, ประชามติรัฐธรรมนูญ คำถามที่ 2, MOU คำถามที่ 1, MOU คำถามที่ 2

“ตอนนับคะแนน ถ้าขานต้องมี 6 กระดาน ถ้าบริหารจัดการไม่ดี ประชามติเห็นชอบ ไม่เห็นชอบ ไม่รู้กระดานไหน นี่คือการบริหารจัดการของสำนักงาน ผิดพลาดแม้แต่ 0.00001% ก็ไม่ได้” เลขาฯ แสวงกล่าว

ส่วนการรายงานผล ภายใน 1 ชม. แรกหลังปิดหีบเวลา 17.00 น. “คงไม่มีคะแนนให้เห็น เพราะเป็นการตรวจสอบบัตร” แต่หลังจากนั้น จะทำรายงานผลคะแนน ซึ่งนายแสวงใช้คำว่าจะ “ครบถ้วน และมีประสิทธิภาพดีมาก” ซึ่งทางสำนักงาน กกต. ต้องบริหารให้หน่วยยัดคะแนน 6 กระดานลงไปให้ได้ และให้ผู้สนใจกดดูผลได้เป็นรายกระดาน

“ถ้าบริหารจัดการดี 5 ทุ่มจบทุกกระดาน เพราะเรามีบทเรียนมาแล้ว” นายแสวงตั้งเป้าหมายเวลาที่จะรู้ผลการเลือกตั้งและออกเสียงประชามติอย่างไม่เป็นทางการ

ส่วนบัตรลงคะแนนนอกราชอาณาจักร ในส่วนของบัตรเลือกตั้ง สส. ทั้ง 2 ระบบ จะจัดส่งทางไปรษณีย์มานับคะแนนที่ไทยเช่นทุกที แต่สำหรับบัตรลงประชามติ จะให้นับคะแนนที่ต่างประเทศเลย ซึ่งทำให้กระทรวงการต่างประเทศและสถานทูต/สถานกงสุลต่าง ๆ มี “งานงอก” และต้องพิจารณาเรื่องเวลาในการนับคะแนน เพราะแต่ละประเทศเวลาไม่ตรงกับไทย

“บางที่คนไทยไม่เยอะไม่เป็นไร บางทีไม่เกิน 30 คน แต่อย่างเกาหลีมีคนไทย 5 หมื่นคน บัตรเป็นแสน ๆ ใบ จะนับคะแนนอย่างไร ยังคิดไม่ออก” นายแสวงกล่าวยอมรับ

6. ใช้เบอร์เดียวเลือก สส. 2 ระบบได้ไหม?

หากประชาชนต้องเข้าคูหากาบัตร 4 ใบ เป็นไปได้หรือไม่ที่เบอร์ของผู้สมัคร สส.เขต กับ สส.บัญชีรายชื่อ จะเป็นเบอร์เดียวกัน เพื่อลดภาระของประชาชน?

รองเลขาธิการ กกต. ชี้แจงว่า กฎหมายกำหนดให้พรรคการเมืองต้องส่งผู้สมัคร สส.เขตก่อน ถึงจะมีสิทธิส่งผู้สมัคร สส.ปาร์ตี้ลิสต์ได้ จึงไม่สามารถทำให้หมายเลขตรงกันได้ เพราะแต่ละพรรคจะได้เบอร์สำหรับ สส.แบบแบ่งเขตก่อนบัญชีรายชื่อที่จะเปิดรับสมัครในภายหลัง ยกเว้นมีการแก้ไขกฎหมาย

แล้ว กกต. สามารถเปิดสมัคร สส.เขตไปก่อน แล้วค่อยให้รับเบอร์ผู้สมัครภายหลังได้หรือไม่ เพื่อนำเบอร์ปาร์ตี้ลิสต์มาใช้กับผู้สมัครแบบแบ่งเขต?

พ.ต.ต.ณัฐวัฒน์ระบุว่า กฎหมายกำหนดให้ผู้สมัคร สส.เขต ต้องได้รับเบอร์ในวันสมัครเลย ตราบที่ไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูก ก็ต้องเดินไปตามแนวทางเดิม

ข้อกฎหมาย: รัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 90 ระบุว่า “พรรคการเมืองใดส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแล้ว ให้มีสิทธิส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อได้” โดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. ปี 2561 มาตรา 56 ก็เขียนล้อกัน-ใช้ข้อความเดียวกัน

ขณะที่มาตรา 58 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้ง สส. ระบุว่า “ให้ผู้สมัครได้รับหมายเลขประจำตัวเรียงตามลำดับเลขที่ของหลักฐานการรับสมัครที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งออกให้… ในกรณีที่มีผู้มาสมัครพร้อมกันหลายคนและไม่อาจตกลงลำดับในการยื่นใบสมัครได้ ให้ใช้วิธีจับสลากระหว่างผู้สมัครที่มาพร้อมกัน”

7. บัตรเสียจะพุ่งหรือไม่?

ลำพังการใช้บัตรเลือกตั้ง สส. 2 ใบ คนละเบอร์ ก็ทำให้ประชาชนสับสนและเกิดบัตรเสียราว 1.5 ล้านใบแล้ว หากมีบัตรถึง 4 ใบ ประเมินว่าจะมีบัตรเสียเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน?

ผู้บริหารสำนักงาน กกต. บอก.ว่า “เร็วเกินไปที่จะประเมินเรื่องนี้” เพราะขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าการทำประชามติจะมีกี่หัวข้อ มีกี่คำถาม และใช้บัตรลงคะแนนกี่ใบ

ข้อเท็จจริง: ในการเลือกตั้งปี 2554 ซึ่งหมายเลขผู้สมัคร สส. ทั้ง 2 ระบบตรงกัน อีกทั้งบัตรเลือกตั้ง สส.บัญชีรายชื่อ มีชื่อพรรคและโลโก้พรรค ก็ยังพบบัตรเสียของบัตรเลือก สส.เขต 2.04 ล้านใบ (คิดเป็น 5.seventy 9%) และบัตรเลือก สส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1.72 ล้านใบ (คิดเป็น 4.9%)

ส่วนการเลือกตั้งปี 2566 มีเฉพาะหมายเลขผู้สมัคร และเบอร์เขตไม่ตรงกับเบอร์พรรค พบบัตรเสียของบัตรเลือก สส.เขต 1.forty five ล้านใบ (คิดเป็น 3.69%) และบัตรเลือก สส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1.50 ล้านใบ (คิดเป็น 3.82%)

ที่มาของภาพ : Thai Info Pix

8. ขอออกเสียงประชามติล่วงหน้าได้หรือไม่?

การออกเสียงประชามติล่วงหน้ามีหรือไม่ เพราะถ้าย้อนไป 2 ครั้งแรกที่จัดประชามติปี 2550 และ 2559 ไม่มี?

คำตอบของผู้บริหารสำนักงาน กกต. ชัดเจนคือ “ไม่มี” เพราะกฎหมายไม่ได้กำหนดให้ออกเสียงประชามติล่วงหน้าได้

สิ่งที่จะมีในปี 2569 ซึ่งผู้จะขอใช้สิทธิต้องลงทะเบียนเป็นลายลักษณ์อักษรที่นายทะเบียนท้องถิ่น ณ ที่ว่าการอำเภอ หรือลงทะเบียนผ่านช่องทางออนไลน์ก่อน

  • การออกเสียงประชามตินอกราชอาณาจักร
  • การออกเสียงประชามตินอกเขตออกเสียง แต่ต้องไปใช้สิทธิในวันเดียวกับที่มีการเลือกตั้งเท่านั้น
  • การเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร
  • การเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต (จัดก่อนวันเลือกตั้งจริง 7 วัน)
  • การเลือกตั้งล่วงหน้าในเขต (จัดก่อนวันเลือกตั้งจริง 7 วัน)

ตัวอย่างเช่น นาย ก. เป็นชาวสงขลาและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านที่นั่น แต่มาทำงานและอาศัยอยู่ใน กรุงเทพมหานคร หากประสงค์จะใช้สิทธิที่ กรุงเทพมหานคร เขาต้องลงทะเบียน 2 ส่วนคือ ลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้ง สส. ล่วงหน้านอกเขต ซึ่งต้องไปเข้าคูหา 22 มี.ค. 2569 และลงทะเบียนขอใช้สิทธิออกเสียงประชามตินอกเขต แต่ต้องไปเข้าคูหา 29 มี.ค. 2569 พูดง่าย ๆ ว่าต้องลงทะเบียน 2 กรณี และต้องออกไปใช้สิทธิ 2 วัน

สำนักงาน กกต. เน้นย้ำให้ผู้มีสิทธิออกเสียงตัดสินใจให้ดีและวางแผนล่วงหน้าว่าจะใช้สิทธิตรงไหน เพราะถ้าลงทะเบียนขอใช้สิทธินอกเขตแล้ว จะไม่สามารถไปใช้สิทธิที่ภูมิลำเนาได้ในวันจริง

ข้อเท็จจริง: ในการเลือกตั้งปี 2566 มีประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร 9.ninety 9 หมื่นคน และใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตและเลือกตั้งล่วงหน้า 2.08 ล้านคน

9. ทำไมงบถึงเพิ่มขึ้นเฉียดหมื่นล้าน?

เลขาฯ และรองเลขาธิการ กกต. ช่วยกันยืนยันว่า เหตุที่งบประมาณในการจัดเลือกตั้งและประชามติเพิ่มสูงขึ้นจากครั้งก่อน ๆ ไปอยู่ที่ราว 9,000 ล้านบาท เป็นการใช้จ่ายตามหลักการของกฎหมาย กล่าวคือ ใช้จ่ายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน, โปร่งใส ตรวจสอบได้ และชอบด้วยกฎหมาย

ทว่าด้วยการ “เพิ่มขึ้น” ของปัจจัยต่าง ๆ ทั้งขนาดหน่วยเลือกตั้ง, จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง/ออกเสียง, จำนวน การประปานครหลวง, จำนวนหีบบัตร, จำนวนบัตรลงคะแนน รวมถึงวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ อาทิ สายรัดหีบบัตร, แนวกั้นแถบพลาสติกกั้นบริเวณหน่วยเลือกตั้ง, จัดพิมพ์หนังสือ กฎหมาย ระเบียบ ประกาศ คู่มือปฏิบัติงาน ฯลฯ ทำให้งบประมาณเพิ่มขึ้น

นายแสวงยืนยันว่า เงิน 90% จ่ายไปที่หน่วยเลือกตั้ง สำนักงานไม่ได้ใช้แต่อย่างใด

พ.ต.ต.ณัฐวัฒน์นำเสนอข้อมูลเปรียบเทียบในการบริหารจัดการ 3 ครั้ง

  • ประชามติ 2559 ผู้มีสิทธิออกเสียง 50.07 ล้านคน จำนวนหน่วยออกเสียง 94,260 หน่วย ใช้งบประมาณ 2,370.52 ล้านบาท
  • เลือกตั้ง 2566 ผู้มีสิทธิออกเสียง 51.19 ล้านคน จำนวนหน่วยเลือกตั้ง 94,775 หน่วย ใช้งบประมาณ 4,702.23 ล้านบาท
  • เลือกตั้งและประชามติ 2569 ผู้มีสิทธิออกเสียง Fifty three.05 ล้านคน (ประมาณการณ์) จำนวนหน่วยเลือกตั้ง/หน่วยออกเสียง 120,000 หน่วย ใช้งบประมาณ 9,000 ล้านบาท ทั้งนี้ประมาณการณ์เบื้องต้นว่า หากมีผู้มีสิทธิออกเสียง 800 คน/หน่วย ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่อัตรา 41,000 บาท/หน่วยเลือกตั้ง (บนพื้นฐานว่าใช้บัตร 3 ใบ อุปกรณ์ต่าง ๆ 3 ชุด)

ที่มาของภาพ : HATAIKARN TREESUWAN/BBC Thai

พ.ต.ต.ณัฐวัฒน์ เสงี่ยมศักดิ์ รองเลขาธิการ กกต. นำเสนอข้อมูลเปรียบเทียบในการบริหารจัดการประชามติและเลือกตั้ง 3 ครั้ง

10. ประชามติพ่วงเลือกตั้งจากมุมมองคนจัดเลือกตั้ง

ในฐานะ “ผู้จัดการเลือกตั้งและประชามติ” นายแสวงย้ำหลักการ 2 ของทั้ง 2 เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งเป็นหลักที่ใช้เหมือนกันทั่วโลก

หลักการเลือกตั้งคือ “เสรี และเป็นธรรม” (Free & Magnificent)

หลักการประชามติคือ “ไม่ชี้นำ เสมอภาค เป็นธรรม”

“บางทีถ้าทำคู่กันไปมันจะยาก ขึ้นเวทีหาเสียง พูดเรื่องประชามติได้ แต่เวทีประชามติจะพูดเรื่องหาเสียงได้แค่ไหน เพราะกฎหมายบังคับใช้ด้วยกัน มีโทษทั้งคู่ การบังคับใช้กฎหมาย ก็คงเป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา” นายแสวงกล่าว

ในสายตาของเลขาธิการ กกต. มองเห็น 3 ข้อดีของการลงประชามติในวันเดียวกับการเลือกตั้งคือ 1. ประหยัดงบประมาณ 2. ไม่เป็นภาระของประชาชนในการออกไปใช้สิทธิ 3. อาจได้ความชอบธรรมมาด้วย เพราะวันเลือก สส. ผู้มาใช้สิทธิสูง ครั้งก่อนคือ 75% เรียกว่า “ความชอบธรรมของระบบที่ได้ฟังเสียงประชาชนเป็นจำนวนมาก”

ส่วนการจัดการ สำนักงาน กกต. จะทำเพื่อหนังสือถึงเจ้าบ้านแจ้งข้อมูลสำคัญ 3 ส่วน เพื่อให้ประชาชนได้ศึกษา ประกอบด้วย

  • ขั้นตอนเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติ
  • ข้อมูลในการทำประชามติ กรณีรัฐธรรมนูญ ถ้ามี 2 คำถาม คนจัดทำข้อมูลคือรัฐสภาในฐานะคนริเริ่มให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
  • ข้อมูลในการทำประชามติ กรณี MOU คนจัดทำข้อมูลคือรัฐบาล

“เราไม่ทราบว่าคนทำ (ข้อมูลประชามติ) จะส่งให้เรากี่หน้า แต่จะขอให้เอาเท่าที่เข้าใจได้ และขอก่อน 75 วัน เพราะต้องมาพิมพ์ด้วยเป็นตัวเล่ม และอาจมีให้สแกนคิวอาร์โค้ด (QR code) ดูข้อมูลในออนไลน์ได้ด้วย” นายแสวงกล่าว

เขายอมรับด้วยว่า การทำความเข้าใจ “เป็นเรื่องยากทั้ง 2 เรื่อง อยู่ที่คนทำเอกสารจะทำให้คนเข้าใจได้ไหม” และ “ผมคิดว่าก็เป็นเรื่องร้อนสำหรับผม จะเผยแพร่ตอนไหน” นั่นคือเหตุผลที่เขาต้องการเวลา 75 วันก่อนถึงวันเลือกตั้ง

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

แสวง บุญมี ระหว่างตรวจความพร้อมในการจัดการเลือกตั้งที่ กรุงเทพมหานคร เมื่อปี 2566