หุ่นยนต์ทำความสะอาด ออกกำลังกาย และดูแลผู้สูงวัย คุณจะไว้ใจพวกมันได้แค่ไหน ?

Article Data

    • Creator, ปัลลับ โฆษ
    • Characteristic, ผู้สื่อข่าวสายวิทยาศาสตร์ บีบีซีนิวส์

มือหุ่นยนต์โลหะสีดำ 3 อันซ่อนตัวอยู่ในห้องทดลองทางตะวันตกเฉียงเหนือของลอนดอน สหราชอาณาจักร เคลื่อนไหวอย่างน่าขนลุกบนโต๊ะทำงานวิศวกรรม ไม่มีกรงเล็บหรือคีม แต่มีนิ้ว 4 นิ้วเรียงกัน นิ้วหัวแม่มือยกขึ้นและลงอย่างช้า ๆ โดยมีข้อต่ออยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม

“เราไม่ได้พยายามสร้าง Terminator (หุ่นยนต์สังหารสร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ในภาพยนตร์ “คนเหล็ก”)” ริช วอร์กเกอร์ ผู้อำนวยการของชาโดว์ โรบอท (Shadow Robot) บริษัทผลิตหุ่นยนต์ดังกล่าว กล่าวติดตลก

เขาใส่แว่น ผมยาว มีหนวดและเครา ดูเป็นพวกฮิปปี้ยุคใหม่มากกว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และเขาดูภูมิใจอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่พาบีบีซีชมบริษัทของเขา

“เราตั้งใจที่จะสร้างหุ่นยนต์ที่ช่วยเหลือคุณ ที่ทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น หุ่นยนต์รับใช้อเนกประสงค์ที่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างในบ้าน ทำงานบ้านทั้งหมด…”

ทว่ายังมีความทะเยอทะยานที่ลึกซึ้งกว่านั้น นั่นคือการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่สุดประการหนึ่งของสหราชอาณาจักร นั่นคือ วิกฤตการณ์ด้านการดูแลทางสังคมที่ทวีความรุนแรงขึ้น

รายงานขององค์กรการกุศล สกิล ฟอร์ แคร์ (Skills for Care) ระบุว่า เมื่อปีที่แล้วมีตำแหน่งงานว่างสำหรับผู้ดูแลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุในอังกฤษถึง 131,000 ตำแหน่ง และโดยรวมแล้ว มีผู้สูงวัย 65 ปีขึ้นไปในอังกฤษราว 2 ล้านคนที่ต้องการผู้ดูแล ทว่ายังไม่ได้รับการตอบสนอง ตามข้อมูลของเอจ ยูเค (Age UK)

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed studyingได้รับความนิยมสูงสุด

Discontinuance of ได้รับความนิยมสูงสุด

มีการคาดการณ์ว่าในปี 2050 ประชากร 1 ใน 4 ในสหราชอาณาจักรจะมีอายุ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งอาจทำให้ระบบการดูแลผู้สูงอายุมีภาระหนักขึ้น

นั่นคือที่มาของหุ่นยนต์

รัฐบาลชุดก่อนประกาศลงทุน 34 ล้านปอนด์ (ราว 1.4 พันล้านบาท) ในการพัฒนาหุ่นยนต์ที่อาจนำมาใช้ในการดูแลผู้ป่วยได้ โดยในปี 2019 รัฐบาลระบุว่า “ภายใน 20 ปีข้างหน้า ระบบอัตโนมัติอย่างหุ่นยนต์จะกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของเรา เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต การทำงาน และการเดินทางของเรา”

“เทคโน-โซลูชันนิสซึม” (techno-solutionism) ที่ฟังดูเหมือนหลุดออกมาจากหนังไซไฟมากกว่า จะเป็นทางออกได้จริงหรือ? และคุณจะไว้ใจญาติผู้ใหญ่ หรือตัวเองจริงหรือไม่ ในเมื่อคุณตกอยู่ในภาวะเปราะบางที่สุดกับสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นเครื่องจักรที่แข็งแกร่งที่สุด?

ออกกำลังกายกับหุ่นยนต์ “เปปเปอร์”

ญี่ปุ่นเผยภาพอนาคตที่มีหุ่นยนต์อาศัยอยู่ท่ามกลางชาวญี่ปุ่น

เมื่อ 10 ปีที่แล้ว รัฐบาลเริ่มเสนอเงินอุดหนุนให้กับผู้ผลิตหุ่นยนต์เพื่อพัฒนาและเผยแพร่การใช้หุ่นยนต์ในบ้านพักคนชรา ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากประชากรสูงอายุและเจ้าหน้าที่บ้านพักคนชราที่ขาดแคลน

ดร.เจมส์ ไรท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ และศาสตราจารย์พิเศษจากมหาวิทยาลัยควีนแมรีแห่งลอนดอน ใช้เวลา 7 เดือนในการสังเกตอาการของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสังเกตการทำงานของพวกเขาในบ้านพักคนชราแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น

โดยรวมแล้ว มีการศึกษาหุ่นยนต์ 3 ประเภทด้วยกัน

หุ่นตัวแรกถูกเรียกว่า “ฮัก” (HUG) ออกแบบโดยบริษัทฟูจิ คอร์ปอเรชัน ประเทศญี่ปุ่น มีลักษณะเหมือนโครงช่วยเดินที่มีความสลับซับซ้อนสูง มีแผ่นรองรองรับที่คนสามารถเอนตัวพิงได้ และยังช่วยให้ผู้ดูแลสามารถยกคนจากเตียงไปยังรถเข็นหรือห้องน้ำได้อีกด้วย

ที่มาของภาพ : NurPhoto/Getty Photos

หุ่นยนต์ดูแลผู้ป่วย HUG ของบริษัทฟูจิ คอร์ปอเรชัน ประเทศญี่ปุ่น ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ดูแลในการยกตัวผู้ป่วย

หุ่นตัวที่สอง มีลักษณะคล้ายแมวน้ำตัวน้อย ใช้ชื่อว่า “พาโร” (Paro) ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม โดยได้รับการฝึกให้ตอบสนองต่อการถูกลูบด้วยการเคลื่อนไหวและส่งเสียง

หุ่นตัวที่สาม เป็นหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ตัวเล็ก หน้าตาเป็นมิตร ใช้ชื่อว่า “เปปเปอร์” (Pepper) มันสามารถให้คำแนะนำและสาธิตการออกกำลังกายได้ด้วยการขยับแขน และเคยถูกใช้เป็นครูสอนออกกำลังกายในบ้านพักคนชรามาแล้ว

แม้แต่ก่อนที่เขาจะเริ่มสังเกต ดร.ไรท์เชื่อข่าวลือดังกล่าวมาบ้างแล้ว

“ผมคาดหวังว่าพนักงานดูแลที่มีงานยุ่งมาก จะสามารถนำหุ่นยนต์เหล่านี้ไปใช้ได้อย่างง่ายดาย แต่สิ่งที่ผมพบ มันแทบจะตรงกันข้ามเลย”

ที่มาของภาพ : Getty Photos

เปปเปอร์สามารถให้คำแนะนำและสาธิตการออกกำลังกายได้โดยการขยับแขน แต่บางคนที่ลองเล่นแล้วพบว่าเสียงของมันแหลมเกินไป

เขาค้นพบว่า เมื่อใช้งานจริง เจ้าหน้าที่บ้านพักคนชราต้องเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำความสะอาดและชาร์จพลังงานให้กับหุ่นยนต์ และเหนือสิ่งอื่นใดคือการแก้ไขปัญหาเมื่อหุ่นยนต์ทำงานผิดพลาด

“หลังผ่านไปหลายสัปดาห์ พนักงานดูแลตัดสินใจว่าหุ่นยนต์สร้างปัญหาเกินความคุ้มค่า จึงใช้งานน้อยลงเรื่อย ๆ เพราะพวกเขายุ่งเกินกว่าจะใช้มัน” เขากล่าวกับบีบีซี

“ต้องย้ายเจ้าฮักไปมาตลอดเวลา เพื่อเอามันออกไปจากทางเดินของผู้พักอาศัย ส่วนพาโรสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อยู่อาศัยคนหนึ่งที่ติดมันมากเกินไป และพวกเขาไม่สามารถทำตามท่าออกกำลังกายของเปปเปอร์ได้ เพราะขนาดตัวของมันสั้นเกินกว่าที่คนจะมองเห็นได้ และพวกเขาก็ไม่สามารถได้ยินเสียงของมันได้อย่างชัดเจน เพราะเสียงมันแหลมเกินไป”

ที่มาของภาพ : The The Washington Post/Getty Photos

พาโรมีลักษณะคล้ายลูกแมวน้ำ มันจะคอยตอบสนองด้วยการขยับตัวและส่งเสียงเมื่อถูกลูบ

ทีมงานที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนาหุ่นยนต์ต่างแสดงปฏิกิริยาต่องานวิจัยของ ดร.ไรท์

นักพัฒนาที่อยู่เบื้องหลังฮักกล่าวว่า ตั้งแต่นั้นมา พวกเขาได้ปรับปรุงการออกแบบให้กะทัดรัดและใช้งานง่ายยิ่งขึ้น ทาคาโนริ ชิบาตะ ผู้สร้างพาโร กล่าวว่า พาโรถูกใช้มา 20 ปีแล้ว และชี้ให้เห็นถึงการทดลองที่แสดงให้เห็นถึง “หลักฐานทางคลินิกที่ยืนยันถึงประสิทธิภาพในการรักษา” ปัจจุบันเปปเปอร์ถูกบริษัทอื่นซื้อไปแล้วและซอฟต์แวร์ของบริษัทได้รับการปรับปรุงอย่างมาก

แต่การศึกษาครั้งนี้ก็ไม่ไร้คุณค่า

วอล์คเกอร์ จากชาโดว์ โรบอต ยืนกรานว่า ไม่ควรมองข้ามการใช้หุ่นยนต์ในการดูแล และเขาเชื่อว่าหุ่นยนต์รุ่นต่อไปจะมีความสามารถมากขึ้น

จากห้องทดลองสู่โลกแห่งความเป็นจริง

ปรามินดา คาเลบ-ซอลลี่ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยนอตทิงแฮม มุ่งมั่นที่จะทำให้หุ่นยนต์เหล่านี้ทำงานได้ดีในทางปฏิบัติ “เรากำลังพยายามนำหุ่นยนต์เหล่านี้ออกจากห้องทดลองสู่โลกแห่งความเป็นจริง” เธอกล่าว

เพื่อดำเนินการดังกล่าว เธอได้จัดตั้งเครือข่ายที่เรียกว่า อีเมอร์เจนซ์ (Emergence) ขึ้นมาเพื่อช่วยเชื่อมโยงผู้ผลิตหุ่นยนต์กับธุรกิจและบุคคลต่างๆ ที่ต้องการใช้หุ่นยนต์ และเพื่อค้นหาคำตอบจากผู้สูงอายุเองว่าพวกเขาต้องการอะไรจากหุ่นยนต์

คำตอบแตกต่างกันไป

บางคนบอกว่าอยากได้หุ่นยนต์ที่สามารถโต้ตอบด้วยเสียงได้ และแน่นอนว่าต้องมีรูปลักษณ์ที่ไม่ดูน่ากลัว ขณะที่บางคนอยากได้ “ดีไซน์น่ารัก” แต่หลายคนก็อยากได้วิธีที่ใช้งานได้จริง อยากให้หุ่นยนต์ปรับตัวเข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนไป รวมถึงการชาร์จไฟและทำความสะอาดตัวเองด้วย

“เราไม่ต้องการดูแลหุ่นยนต์ แต่เราต้องการให้หุ่นยนต์ดูแลเรา” ผู้ตอบแบบสอบถามคนหนึ่งกล่าว

ที่มาของภาพ : Caremark

แคร์มาร์กได้ทดลองใช้จีนี ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ขนาดเล็กที่สั่งงานด้วยเสียง

ธุรกิจบางแห่งในสหราชอาณาจักรก็กำลังทดสอบหุ่นยนต์เช่นกัน

แคร์มาร์ก (Caremark) ผู้ให้บริการงานดูแลบ้านที่กำลังทดลองใช้จีนี (Genie) หุ่นยนต์ขนาดเล็กที่สั่งงานด้วยเสียงกับผู้ใช้บริการบางส่วนในเมืองเชลต์นัม

ชายคนหนึ่งที่มีอาการสมองเสื่อมตั้งแต่อายุยังน้อยอธิบายว่า เขาสนุกกับการขอให้จีนีเล่นเพลงของ เกล็นน์ มิลเลอร์ ผู้นำวงดนตรีบิ๊กแบนด์

โดยรวมแล้ว ปฏิกิริยาที่ได้รับกลับเป็นไปในลักษณะเดียวกับที่ ไมเคิล โฟล์คส ผู้อำนวยการสร้างกล่าวไว้ บางคนชอบจีนี ขณะที่บางคนก็ไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก

แต่โฟล์คเน้นย้ำว่า อุปกรณ์เหล่านี้ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อทดแทนผู้คน “เรากำลังพยายามสร้างอนาคตที่ผู้ดูแลจะมีเวลาดูแลมากขึ้น”

มือหุ่นยนต์: การเรียนรู้จากวิวัฒนาการ

เมื่อกลับมาที่ห้องทดลองของบริษัท ชาโดว์ โรบอต ในลอนดอน ริช วอล์กเกอร์ได้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายครั้งใหญ่ประการหนึ่ง นั่นคือ การสร้างมือหุ่นยนต์ที่สมบูรณ์แบบ

“เพื่อให้หุ่นยนต์มีประโยชน์ มันต้องมีความสามารถในการโต้ตอบกับโลกได้เช่นเดียวกับมนุษย์” เขาอธิบายและว่า “เพื่อสิ่งนั้น มันต้องมีความคล่องแคล่วเหมือนมนุษย์”

ที่มาของภาพ : Getty Photos

รัฐบาลชุดก่อนประกาศให้เงินลงทุน 34 ล้านปอนด์ เพื่อพัฒนาหุ่นยนต์ที่อาจช่วยดูแลผู้ป่วยได้

มือหุ่นยนต์ที่มิสเตอร์วอล์คเกอร์นำมาให้ชมนั้นดูคล่องแคล่วมาก มันทำมาจากโลหะและพลาสติก ติดตั้งเซ็นเซอร์ 100 ตัว คล่องแคล่วและแข็งแรงเทียบเท่ามือมนุษย์ นิ้วแต่ละนิ้วขยับไปแตะนิ้วหัวแม่มือได้อย่างราบรื่น รวดเร็ว และแม่นยำ ก่อนจะจบด้วยการพูดว่า “ตกลง” เพื่อปิดท้าย

มันสามารถเล่นรูบิกได้ด้วยมือเดียวด้วย

อย่างไรก็ตาม นี่ยังคงห่างไกลจากการทำภารกิจละเอียดอ่อน เช่น การใช้กรรไกรหรือการหยิบวัตถุที่เล็กและบอบบางกว่า

“วิธีที่เราใช้กรรไกรเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากเมื่อคุณลองคิดดู” วอล์กเกอร์กล่าว

“ถ้าคุณลองวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้น คุณกำลังใช้ประสาทสัมผัสของคุณอย่างละเอียดอ่อนและแม่นยำ และได้รับฟีดแบ็ก ซึ่งทำให้คุณปรับวิธีการตัด แล้วคุณจะบอกหุ่นยนต์ว่าต้องทำอย่างไร”

ที่มาของภาพ : Bloomberg/Getty Photos

“เพื่อให้หุ่นยนต์มีประโยชน์ มันต้องมีความสามารถในการโต้ตอบกับโลกเช่นเดียวกับมนุษย์ และมันต้องมีความคล่องแคล่วเหมือนมนุษย์”

ทีมงานของนายวอล์กเกอร์ร่วมกับบริษัทวิศวกรรมอีก 35 แห่ง กำลังร่วมกันออกแบบมือที่มีลักษณะเหมือนกับมือของมนุษย์มากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่เรียกว่า Robot Dexterity Programme

เป็นหนึ่งในโครงการที่ดำเนินการโดยหน่วยงานรัฐบาลที่เรียกว่าหน่วยงานวิจัยและประดิษฐ์ขั้นสูง (Evolved Compare and Invention Company – ARIA) ซึ่งมุ่งสนับสนุนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่มีความเสี่ยงสูง (เพราะอาจไม่ได้ผล) แต่ก็มีผลตอบแทนสูงสำหรับศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงสังคม

ศาสตราจารย์เจนนี รีด หัวหน้าโครงการ อธิบายว่า พวกเขากำลังศึกษาการเคลื่อนไหวของสัตว์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนยิ่งขึ้นสำหรับการออกแบบ ไม่ใช่แค่เฉพาะมือเท่านั้น แต่ยังเป็นข้อมูลสำหรับการทบทวนแนวคิดการสร้างหุ่นยนต์ใหม่ทั้งหมดอีกด้วย “สิ่งหนึ่งที่น่าทึ่งมากเกี่ยวกับร่างกายของสัตว์คือความสง่างามและประสิทธิภาพของมัน ซึ่งวิวัฒนาการได้ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นจริง

“ผมคิดว่าความสง่างามเป็นรูปแบบหนึ่งของประสิทธิภาพ”

การจำลองกล้ามเนื้อของมนุษย์

กุกกี โคฟอด วิศวกรที่ผันตัวมาเป็นผู้ประกอบการ กำลังพยายามพัฒนากล้ามเนื้อเทียมสำหรับหุ่นยนต์ที่สามารถใช้แทนมอเตอร์ได้

บริษัท พเลียนติกส์ (Pliantics) ของเขาซึ่งมีฐานอยู่ในเดนมาร์ก ยังคงอยู่ในระยะเริ่มต้นของการพัฒนา แต่ได้ประสบความสำเร็จในการค้นคว้าวัสดุที่สามารถใช้งานได้จริงและมีความทนทาน

เขาขับเคลื่อนด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ลึกซึ้งเช่นกัน

“มีคนใกล้ตัวผมหลายคนเสียชีวิตจากโรคสมองเสื่อมเมื่อเร็ว ๆ นี้” เขาอธิบาย “ผมเห็นจากคนที่ดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม และมันเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก”

“ดังนั้น หากเราสามารถสร้างระบบที่ช่วยให้พวกเขาไม่ต้องกลัว และช่วยให้พวกเขาใช้ชีวิตได้ในระดับที่ดี… นั่นจะเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันได้อย่างไม่น่าเชื่อ”

กล้ามเนื้อที่เขาออกแบบนั้นทำจากวัสดุอ่อนนุ่มที่สามารถยืดและหดตัวได้คล้ายกับกล้ามเนื้อจริง เมื่อได้รับกระแสไฟฟ้า

กุกกี โคฟอด กำลังทำงานร่วมกับชาโดว์ โรบอต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ARIA เพื่อพัฒนาหุ่นยนต์ที่มีขนาดเท่าคน โดยมีกล้ามเนื้อเทียมที่ช่วยให้จับได้แม่นยำและละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น

เป้าหมายสูงสุดคือให้เครื่องสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงแรงกดเล็กน้อยเมื่อจับวัตถุ และรู้ว่าเมื่อใดควรหยุดบีบ เช่นเดียวกับผิวหนังบริเวณปลายนิ้ว

หุ่นยนต์มีความหมายต่อผู้ดูแลอย่างไร

ดร.ไรท์ ผู้สังเกตการณ์หุ่นยนต์ในญี่ปุ่น มีความกังวลสุดท้าย นั่นคือ หากหุ่นยนต์ได้รับความนิยม หุ่นยนต์อาจทำให้ชีวิตของผู้ดูแลมนุษย์แย่ลง

“วิธีเดียวที่จะทำให้สิ่งนี้ได้ผลในเชิงเศรษฐกิจก็คือการจ่ายเงินให้กับผู้ดูแลน้อยลง และมีบ้านพักคนชราที่ใหญ่กว่ามาก ซึ่งมีมาตรฐานเพื่อให้หุ่นยนต์สามารถใช้งานได้ง่าย” เขากล่าว

“ผลที่ตามมาก็คือจะมีหุ่นยนต์เพิ่มมากขึ้นในการดูแลผู้คน โดยพนักงานดูแลจะได้รับค่าจ้างขั้นต่ำในการให้บริการหุ่นยนต์ ซึ่งตรงกันข้ามกับวิสัยทัศน์ที่ว่าหุ่นยนต์จะคืนเวลาให้กับพนักงานดูแล เพื่อให้ใช้เวลาที่มีคุณภาพกับผู้อยู่อาศัยและพูดคุยกัน”

ผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ สะท้อนมุมมองเชิงบวกมากกว่า “อุตสาหกรรมนี้จะเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มาก เมื่อพิจารณาถึงภาวะขาดแคลนแรงงานในปัจจุบัน ความต้องการผู้ดูแลเมื่อประชากรสูงอายุจะสูงมาก” โกปาล รามชุร์น ศาสตราจารย์ด้านปัญญาประดิษฐ์ มหาวิทยาลัยเซาแธมป์ตัน โต้แย้ง

นอกจากนี้เขายังดำรงตำแหน่งซีอีโอของ เรสปอนซิเบิล เอไอ (Responsible AI) ซึ่งมีส่วนร่วมในการพยายามให้แน่ใจว่าระบบปัญญาประดิษฐ์มีความปลอดภัย เชื่อถือได้ และไว้วางใจได้

แต่เขาอ้างถึงหุ่นยนต์มนุษย์ ออพติมุส (Optimus) ของ อีลอน มัสก์ ที่เสิร์ฟเครื่องดื่มและเข้าร่วมงานของเทสลา เมื่อปีที่แล้ว ว่าเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม หุ่นยนต์กำลังจะมา

“เรากำลังพยายามคาดการณ์อนาคตก่อนที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จะเข้ามาและนำสิ่งเหล่านี้มาใช้โดยไม่ถามเราว่าเราคิดอย่างไรเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้” เขากล่าวเสริม

ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นเวลาที่จะต้องพัฒนากฎระเบียบที่ถูกต้องเพื่อให้แน่ใจว่าหุ่นยนต์จะทำงานแทนเรา ไม่ใช่มองในทางกลับกัน

“เราต้องพร้อมสำหรับอนาคตนั้น”

รายงานเพิ่มเติม: ฟลอเรนซ์ ฟรีแมน เครดิตภาพด้านบน: Jodi Lai/BBC (ภาพนี้ใช้เพื่อประกอบเท่านั้น ไม่ได้แสดงถึงหุ่นยนต์ตัวใดตัวหนึ่งในบทความ)