
“ตระกูลฮุน” กลายเป็นความเสี่ยงหรือภัยคุกคาม หลังคดีคลิปเสียงทำนายกฯ ไทยพ้นตำแหน่ง ?

ที่มาของภาพ : Facebook/ Samdech Hun Sen of Cambodia
Article Files
-
- Creator, จิราภรณ์ ศรีแจ่ม
- Purpose, ผู้สื่อข่าว.
“ข้าพเจ้าหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีในกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าคิดว่าจากมุมมองของข้าพเจ้า น่าจะใช้เวลาประมาณสามเดือนก่อนจะมีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่จากสถานการณ์ในปัจจุบัน อาจจะเร็วกว่านั้นก็ได้”
ถ้อยคำดังกล่าวเป็นของสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา ขณะลงพื้นที่ให้กำลังทหารแนวชายแดนไทย-กัมพูชา หลังมีคลิปเสียงสนทนาระหว่างเขากับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หลุดออกมายังสาธารณะได้เพียงราว 1 สัปดาห์เท่านั้น
มาถึงวันนี้ ความหวังของเขาเป็นจริงแล้ว และรัฐบาลไทยกำลังตกอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอนทางการเมืองครั้งใหญ่
วานนี้ (29 ส.ค.) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6:3 วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันทำให้ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ
ด้าน น.ส.แพทองธาร บอกว่าตนเองน้อมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ “บทสนทนาที่นำมาสู่การวินิจฉัยครั้งนี้นั้น เธอไม่ได้ขออะไรเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง” และขอยืนยันความบริสุทธ์ใจ
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด
ได้รับความนิยมสูงสุด
จากการกระทำที่หวังผลของอดีตผู้นำของกัมพูชาที่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงมายังการเมืองภายในประเทศไทย จึงทำให้เกิดคำถามตามมาว่า นี่จะถือเป็นจุดเปลี่ยนทางนโยบายด้านความมั่นคงและนโยบายด้านต่างประเทศของไทยหรือไม่
.จึงพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อวิเคราะห์ว่า นโยบายความมั่นคงไทยควรวางตระกูลฮุนไว้ตำแหน่งใด หลังจากผลการกระทำของพวกเขาพิสูจน์ให้ฝ่ายไทยเห็นแล้วว่ามีศักยภาพในด้านใดบ้าง
บุรุษเหล็กแห่งกัมพูชาและตระกูลการเมืองของเขา
ขณะที่นักวิเคราะห์ชาวไทยยังไม่สามารถตกผลึกได้ชัดเจนว่า เหตุใดรัฐบาลกัมพูชาเลือกวิธีปะทะทางทหารกับไทย เมื่อเกิดข้อพิพาทเขตแดนกับไทยล่าสุดขึ้น ทั้งที่ขนาดของกองทัพของพวกเขาไม่สามารถเทียบได้เลย
ทว่า รศ.ดร.โสภาล เอียร์ นักวิเคราะห์การเมืองชาวกัมพูชา ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำสถาบันการจัดการระดับโลกธันเดอร์เบิร์ด ม.แอริโซนา เห็นว่าการตัดสินใจของสมเด็จฮุน เซน วัย 73 ปี ผู้ที่ถูกเรียกว่า “บุรุษเหล็ก” แห่งกัมพูชานั้น ไม่ได้พิจารณาด้วยตรรกะทางทหารเพียงอย่างเดียว แต่มันถูกขับเคลื่อนด้วยการคำนวณทางการเมือง
เขามองว่าสถานการณ์ตึงเครียดที่เกิดขึ้นในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา เริ่มต้นตั้งแต่ข้อพิพาทเขตแดนระหว่างสองประเทศ การปล่อยคลิปเสียงสนทนาระหว่างสมเด็จฮุน เซน กับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ไปจนถึงการใช้วาทศิลป์ที่แข็งกร้าวของ “อังเคิล (uncle)” หรือ “อา” ในสายตาผู้นำไทย ล้วนเป็น “การยั่วยุที่วางแผนมาอย่างดี”
“ฮุน เซน อาจพยายามแสดงว่าตนเองและพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) เป็นผู้พิทักษ์อธิปไตยของกัมพูชา เพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือด้วยกระแสชาตินิยมภายในประเทศ รวมถึงทดสอบความสามัคคีทางการเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างผู้นำรัฐบาลพลเรือนและกองทัพในกรุงเทพฯ” เขากล่าว
นักวิเคราะห์ชาวกัมพูชาผู้นี้ยังมองว่า สมเด็จฮุน เซน อาจกำลังดึงความสนใจจากนานาชาติและการไกล่เกลี่ยจากภายนอก ซึ่งเป็นกลไกที่ไทยพยายามปฏิเสธมาโดยตลอด ด้วยการแสดงบทบาทว่า “กัมพูชาเป็นฝ่ายพร้อมที่จะยืนหยัด”
“ฮุน เซน มีประวัติการใช้ข้อพิพาทชายแดนเพื่อรวบรวมการสนับสนุนจากสาธารณชนในประเทศและสร้างอำนาจต่อรองในต่างประเทศมาอย่างยาวนาน แม้จะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าในทางทหาร ดังนั้นการยกระดับเชิงสัญลักษณ์อย่างจำกัด ก็สามารถตอบสนองวัตถุประสงค์ทางการเมืองและการทูตของเขาได้” รศ.ดร.โสภาล กล่าว

ที่มาของภาพ : Getty Photos
นักวิเคราะห์ผู้นี้กล่าวต่อว่า อำนาจของตระกูลฮุนเป็นผลลัพธ์จากการวางกลยุทธ์ทางการเมืองอย่างต่อเนื่องตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยการเข้าควบคุมกลไกด้านความมั่นคง และการรวมศูนย์อิทธิพลทางเศรษฐกิจ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเศรษฐกิจและการค้าของกัมพูชาเติบโตยังต่อเนื่อง ภายใต้การบริหารของสมเด็จฮุน เซน และพวกพ้อง ท่ามกลางข้อวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายค้านและภาคประชาสังคมของกัมพูชาที่มองว่ามันไม่ได้กระจายความเจริญไปยังประชาชนอย่างทั่วถึงก็ตาม
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา สมเด็จฮุน เซน เปลี่ยนผ่านอำนาจที่เขาถือครองมาอย่างยาวนานเกือบสี่ทศวรรษไปยัง สมเด็จฮุน มาเนต บุตรชายคนโต ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ด้วยการจัดการอย่างรอบคอบ โดยจะเห็นได้ว่ากระทรวงสำคัญ ๆ ยังคงอยู่ในมือของผู้ภักดีต่อตระกูลฮุน และสมเด็จฮุน เซน เองก็ยังดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทรงอำนาจและมีบทบาทเบื้องหลังอย่างต่อเนื่อง
“CPP ยังคงควบคุมวงจรทางการเมืองเกือบทั้งหมด พวกเขาสามารถโค่นล้มพรรคฝ่ายค้านได้ในปี 2560 และยังคงควบคุมระบบตุลาการ สื่อมวลชน และภาคประชาสังคมอย่างเข้มงวด อำนาจของพวกเขาไม่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากการเลือกตั้งเหมือนในประเทศไทย และหากไม่มีความแตกแยกภายในครั้งใหญ่หรือวิกฤตจากภายนอก ตระกูลฮุนก็มีแนวโน้มที่จะปกครองกัมพูชาต่อไปในอนาคตอันใกล้” รศ.ดร.โสภาล กล่าว

ที่มาของภาพ : AFP by Getty Photos
เมื่อปีที่แล้ว นายชาร์ลส์ ซานติอาโก ประธานร่วมของกลุ่มสมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชน (APHR) เคยกล่าวว่า “รัฐบาลของฮุน มาเนตไม่ได้ทำอะไรเพื่อออกจากมรดกการควบคุมแบบเผด็จการของพ่อของเขา” หลังพบว่าภาคประชาสังคมและประชาชนในกัมพูชาที่เห็นต่างกับรัฐบาลกำลังถูกไล่ปราบจับกุมไม่ต่างจากยุคพ่อของเขา
สิ่งนี้สะท้อนคำพูดของสมเด็จฮุน เซน ในปี 2566 เมื่อสื่อถามว่าการปกครองของสมเด็จฮุน มาเนต จะแตกต่างจากห้วงสมัยของผู้เป็นบิดาหรือไม่
“อะไรที่ต่างออกไปจากนี้ หมายถึงการทำลายความสงบสุข และบ่อนทำลายความสำเร็จของคนรุ่นก่อน” กล่าวโดยหนึ่งในผู้นำที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดในโลก ขณะที่ไทยเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีไปแล้ว 16 คน และสองพ่อลูกตระกูลฮุนกำลังจะเจอนายกรัฐมนตรีคนที่ 17 มาร่วมสมัยการปกครองกับพวกเขา เร็ว ๆ นี้
คำนิยามของตระกูลฮุน คือ ความเสี่ยงหรือภัยคุกคามต่อไทย ?
รศ.ดร.โสภาล กล่าวกับ.ว่า หากนิยามภัยคุกคาม (chance) จากมุมมองแบบแผนทางทหาร คำตอบก็คือ “ไม่” เนื่องจากกัมพูชาไม่สามารถเปิดหรือรักษาปฏิบัติการทางทหารขนาดใหญ่ต่อไทยได้
“แต่หากคำถามเกี่ยวกับอิทธิพลทางการเมือง ความไม่แน่นอนทางยุทธศาสตร์ และความสามารถในการสร้างความไม่มั่นคง คำตอบจะซับซ้อนกว่านั้น ตระกูลฮุนได้แสดงให้เห็นว่าสามารถดำเนินการใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เพื่อก่อกวนการเมืองไทย” เขาบอก พร้อมกับหยิบยกกรณีคลิปเสียงหลุดของสองผู้นำล่าสุด
นักวิเคราะห์ชาวกัมพูชากล่าวต่อว่า จากมุมมองของไทยตระกุลฮุนคือความเสี่ยง (chance) ซึ่งความเสี่ยงดังกล่าวไม่ได้อยู่ที่สงครามแบบแผน แต่อยู่ที่ความสามารถในการใช้เวทีการเมือง ความตึงเครียดบริเวณชายแดน และอิทธิพลทางเศรษฐกิจมาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของตนเอง
“การควบคุมเศรษฐกิจชายแดนของพรรค CPP ซึ่งรวมถึงทั้งการค้าที่เป็นทางการและภาคส่วนสีเทาหรือผิดกฎหมาย ยังทำให้พนมเปญมีอำนาจต่อรองในประเด็นข้ามพรมแดนที่ละเอียดอ่อน เช่น แหล่งสแกมเมอร์ การลักลอบและการย้ายถิ่นฐานของแรงงาน” รศ.ดร.โสภาล ระบุ

ที่มาของภาพ : AFP by Getty Photos
ด้าน นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี นักวิชาการอิสระซึ่งเชี่ยวชาญด้านข้อพิพาทเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา กล่าวกับ.ว่า การมองว่าตระกูลฮุนเป็นภัยคุกคามของประเทศนั้น “เป็นคำกล่าวอ้างที่เกินจริงไปหน่อย” เนื่องจากในกรอบของความมั่นคง ไม่นิยมนำผู้เล่นในลักษณะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง (particular person actor) ขึ้นมากำหนดว่าเป็นภัยคุกคาม
“ถ้าเราวางสมเด็จฮุน เซน หรือตระกูลฮุนเป็นภัยคุกคามโดยตรง มันจะทำให้เราใช้สิ่งที่เรียกว่า line methodology (แนวทาง) นโยบายที่จะต้องกำจัดภัยคุกคามออกไป แต่ในความจริงมันเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากแนวคิดนี้มีปัญหา และจริง ๆ แล้วเขาคุมอำนาจเบ็ดเสร็จในกัมพูชา ตระกูลฮุนเป็นตระกูลที่บริหารเมืองแบบมีอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งในทางการเมืองและการทหาร รวมถึงเครือข่ายธุรกิจที่เราเรียกว่า crony capitalism (ทุนนิยมพวกพ้อง) ดังนั้นในโลกแห่งความเป็นจริง เราไม่สามารถตัดหรือกำจัดฮุน เซน ได้ มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไปทำ regime change (เปลี่ยนระบอบ) ในพนมเปญ” นายสุภลักษณ์ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร กล่าว
สำหรับนักวิชาการอิสระผู้นี้ เขาจัดวางตระกูลฮุนให้เป็นปัจจัยเสี่ยงเชิงโครงสร้าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงชายแดน ความมั่นคงด้านเศรษฐกิจและพลังงาน รวมถึงด้านภูมิรัฐศาสตร์ของไทย เนื่องจากตระกูลนี้มีอำนาจอย่างมาก และเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างของระบอบที่ปกครองกัมพูชา

ที่มาของภาพ : Getty Photos
ขณะเดียวกัน ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง บอกกับ.ว่า การตั้งโจทย์ว่าตระกูลฮุนเป็นภัยคุกคามประเทศหรือไม่นั้น เป็นสิ่งที่คิดได้
ทว่า ถ้าหากคิดเช่นนี้ มันจะไปตอบโจทย์อีกอย่างหนึ่งที่มองว่า “ปัญหาความขัดแย้งของไทยกัมพูชาเป็นปัญหาระหว่าง 2 ตระกูล” ได้แก่ ตระกูลฮุน และตระกูลชินวัตร ซึ่งมุมมองเช่นนี้ทำให้ไม่เห็นภาพใหญ่ของปัญหา และโจทย์ที่ควรจะเป็นคือ “ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน”
“ในโลกปัจจุบัน กรณีปัญหาไทย-กัมพูชา เราคงไม่มีคำตอบว่าจุดเริ่มที่แท้จริงมันคืออะไร แต่การตั้งโจทย์ว่าเป็นปัญหาของ 2 ตระกูล ไม่ได้ตอบโจทย์ทั้งหมด มันอาจจะตอบแค่บางภาพ” ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ กล่าว
“ในช่วงที่ผ่านมา หากถามว่ารัฐบาลฮุน เซน เป็นภัยคุกคามอย่างที่เราพูดกันไหม ผมว่าไม่นะ แต่หากถามว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา เป็นอย่างไร จะพูดว่ามันลุ่ม ๆ ดอน ๆ มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด” เนื่องจากมีทั้งภาวะที่มีปัญหาและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในลักษณะ “กราฟขึ้น ๆ ลง ๆ”
ผู้เชี่ยวชาญจากจุฬาฯ กล่าวต่อว่า ไม่ว่าไทยจะมีนายกรัฐมนตรีอีกกี่คนหรือรัฐบาลอีกกี่ชุด ก็ยังต้องอยู่กับรัฐบาลของสมเด็จฮุน เซน และสมเด็จฮุน มาเนต อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นการจัดการความสัมพันธ์กับกัมพูชาจึงแทบจะเป็นโจทย์ถาวรชุดหนึ่ง และนั่นเป็นความท้าทายอย่างยิ่งต่อรัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศในอนาคต
ข้อพิพาทเขตแดนและเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ “บาดแผล” ของทั้งสองฝ่าย
ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ กล่าวว่า ความใกล้ชิดกันทางภูมิศาสตร์ (geographical proximity) เป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ซึ่งอาจอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ว่า “รัฐเล็กทะเลาะใกล้ รัฐใหญ่ทะเลาะไกล” เช่น รัฐไทยไม่มีทางรบไกลจากแนวชายแดน เหมือนกับอังกฤษไปรบกับอาเจนตินา เพื่อแย่งชิงพื้นที่หมู่เกาะฟอล์กแลนด์ในช่วงทศวรรษที่ 1980
ส่วนตัวเขามองว่าความขัดแย้งที่เกิดระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งคือ “บริบทของเวลาที่เป็นประวัติศาสตร์” โดยเฉพาะเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ (historical fable) ที่เป็น “แผลเก่า” และสามารถสร้างเรื่องได้ตลอดเวลา เมื่อฝ่ายใดก็ตามไปสะกิดมันเข้า
ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ กล่าวว่า “ปัญหาจมอยู่กับ Ancient Memoir (เรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ )” ระหว่างไทยกับเมียนมานั้นอยู่ในระดับลึกซึ้งมากที่สุด รองลงมาคือกัมพูชา ซึ่งคนไทยจำนวนหนึ่งยังมองว่าสนธิสัญญาระหว่างสยามกับเจ้าอาณานิคมในอดีต “ทำให้ไทยต้องเสียดินแดน” และอีกกรณีหนึ่งคือคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลกที่วินิจฉัยว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา
“Ancient fable มันสร้างเรื่องได้ตลอดเวลา ทั้งสร้างให้รักก็ได้ สร้างให้เกลียดก็ได้ ทีนี้พอสร้างให้เกลียด มันมีคำถามว่าหากเรากับเพื่อนบ้านในชีวิตจริงเกลียดกัน เหมือนอยู่บ้านจัดสรรด้วยกัน ถามว่าเราย้ายบ้านได้ไหม ผมคิดว่าในชีวิตจริงมันไม่ง่าย”
เมื่อพิจารณาในทางภูมิศาสตร์ระหว่างไทย-กัมพูชา ก็ย่อมเห็นว่าไม่มีใครย้ายหนีจากใครได้ ดังนั้นในบริบทที่ต่างคนต่างย้ายบ้านไม่ได้ ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ จึงเห็นว่า “ปัญหาใหญ่สุดคือเส้นเขตแดน” ซึ่งเป็น “ปัญหาที่ละเอียดอ่อนมากที่สุด” ระหว่างสองประเทศ

ที่มาของภาพ : AFP by Getty Photos
ผู้เชี่ยวชาญจากจุฬาฯ กล่าวต่อว่า กรณีที่บางฝ่ายมองว่าฝรั่งเศสปักปันเขตแดนโดยที่สยามไม่รู้เรื่องนี้นั้น “เป็นความเข้าใจที่ผิด”
“ผมเชื่อว่าคนรุ่นหลังที่ชอบพูดว่า ราชสำนักสยามไม่มีความรู้ แล้วก็ปล่อยให้ฝรั่งเศสทำฝ่ายเดียว ผมคิดว่าที่เขาพูดแบบนี้ ผมคิดว่าคนรุ่นหลังไม่รับรู้ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของตัวเอง”
เขาอธิบายโดยย่อว่า ปัญหาชายแดนด้านตะวันออกระหว่างสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศส (French Indochina) มีสนธิสัญญา 3 ส่วนที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งนี้ นั่นคือความตกลงใหญ่ที่สุดในปี ค.ศ.1893 และตามมาด้วยอนุสัญญาปี ค.ศ.1904 และ ค.ศ. 1907 ซึ่งนำมาสู่การปักปันเขตแดนและการตีพิมพ์แผนที่ 11 ส่วนในเวลาต่อมา
“ช่วง 1904-1907 การปักปันได้เริ่มต้นขึ้นจริง ๆ และเมื่อพอเข้าปี 1907 มีการแลกพื้นที่ของสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้ง ผมเชื่อว่าตรงนี้เป็นอะไรที่คนรุ่นหลังขาดความรู้มากว่าในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงตัดสินพระทัยชัดเจนที่สุด คือ สยามจะไม่เข้าสู่สงครามกับรัฐมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศส เพราะฉะนั้นผลพวงของการแลกพื้นที่ มันนำไปสู่การปักปันที่จบลงในปี 1907 ซึ่งเป็นแนวเส้นเขตแดนมาจนถึงปัจจุบัน”
“เราถูกสร้างจินตนาการจากคำที่ใช้ในแบบเรียนไทย เราใช้คำนี้กันติดปาก นั่นคือคำว่า ‘เสียดินแดน' เพราะเราเชื่อว่าตอนนั้นสยามมีอิทธิพลควบคุมพื้นที่ของลาวและกัมพูชาในปัจจุบัน”

ที่มาของภาพ : Samharn Dairairam/UNITED NATIONS
ในห้วงที่รัฐบาลชุดใหม่ยังเคาะไม่ลงตัว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากเกิดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในเร็ว ๆ นี้ คำถามที่จะเกิดขึ้นในทุกเวทีดีเบท คือ “ไทยจะยกเลิก MoU 2543 และ MoU 2544 หรือไม่ ?” ซึ่งเป็นบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐไทยกับกัมพูชากรณีพื้นที่ทับซ้อนทางบกและทางทะเล
ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ แสดงทัศนะกับ.ในประเด็นนี้ว่า กระแสการยกเลิก MoU 43-44 ซึ่งเกิดขึ้นในไทยตั้งแต่มีการชุมนุมบริเวณบริเวณสะพานมัฆวานในปี 2551 เรื่อยมา ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของการสร้างกระแสชาตินิยม
เขาเสนอแนะว่า หากอ่านบันทึกความเข้าใจทั้งสองฉบับ จะเห็นได้ว่าทั้งสอง MoU สร้างข้อได้เปรียบให้แก่ไทยอย่างมาก
ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ ตั้งคำถามว่า “ทำไมเราไม่มองว่ากรอบที่สร้างขึ้นนั้น เราบีบให้กัมพูชายอมรับการแก้ปัญหาด้วยกติกาของกฎหมายระหว่างประเทศ” ซึ่งระบุว่าจะใช้อะไรเป็นข้อกำหนด หรือเครื่องมือในการเจรจาระหว่างสองประเทศ
“พวกคุณคิดว่ามันมีร่างไหนที่ดีกว่าเรามีในปัจจุบันหรือ ?”
นักวิชาการด้านความมั่นคงจากจุฬาฯ เตือนความจำว่าการเรียกร้องให้ยกเลิกบันทึกความเข้าในทั้งสองฉบับในปี 2551 นำไปสู่การสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชาในปี 2554 ส่งผลให้ทางกัมพูชายื่นขอการตีความจากศาลโลกในเวลาต่อมา
“การตีความในปี 2556 ที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เราลากเส้นพื้นที่คร่อมตัวพระวิหารทั้งหมดที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู เกินกว่าเส้นตัวรอบปราสาทเขาพระวิหารที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ร่างในปี 2505”
“คำถามของผม คือ พวกคุณจะรับผิดชอบไหมล่ะ” เขากล่าว

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
เมื่อข้อถกเถียงระหว่างไทย-กัมพูชา มักวนเวียนอยู่กับปัญหาเรื่องเส้นเขตแดน นักวิชาการด้านความมั่นคงผู้นี้จึงเห็นว่า โจทย์ที่ใหญ่มากกว่าประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน คือ “ยุทธศาสตร์ของรัฐไทย” จะเป็นอย่างไรต่อจากนี้
ประเทศไทยจะกำหนดความสัมพันธ์เพื่อไม่ให้พาตัวเองเข้าไปสู่ความขัดแย้งได้อย่างไร และในขณะเดียวกัน หากเพื่อนบ้านเป็นผู้สร้างความขัดแย้งขึ้นมา ไทยจะมีวิธีการอย่างไร
“หากมองความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา แบบแยกเฉพาะส่วน จะเห็นได้ชัดว่าเรื่องเส้นเขตแดนคือหัวใจของความขัดแย้ง ดังนั้นหากโจทย์เป็นแบบนี้ องค์ความรู้ความเข้าใจของคนในสังคม รวมถึงองค์ความรู้ความเข้าใจของเจ้าหน้าที่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการเมืองที่ต้องมาเป็นรัฐบาล ผมถือว่าเป็นเรื่องใหญ่นะ” ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ กล่าว
ด้านนายสุภลักษณ์ ให้ความเห็นกับ.ว่าทั้งไทยและกัมพูชาต่างติดอยู่กับ “กับดักความรับรู้ (perception entice)” ที่ต่างฝ่ายต่างสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเชื่อที่บอกว่าตนเองเสียดินแดน ซึ่งเป็นแนวคิดกระแสหลักที่ครอบงำเรื่องเล่าในสังคม ส่งผลให้กระบวนการปักหลักเขตแดนซึ่งเป็นขั้นตอนทางเทคนิคที่ต้องอาศัยความยืดหยุ่นทางการเมือง แทบไม่มีความคืบหน้า เนื่องจากฝ่ายไทยมองว่ากระบวนการนี้เป็น “zero-sum sport” ซึ่งหมายถึงการเจรจาต่อรองที่ฝ่ายหนึ่งได้สิ่งที่ต้องการทั้งหมด อีกฝ่ายอาจไม่ได้อะไรเลย
“พอเรื่องเสียดินแดนกลายเป็นประเด็นปัญหาขึ้นมา เวลาไปเจรจาคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) รัฐมนตรีสั่งหัวหน้าคณะเจรจาว่าให้ไปเจรจาโดย ‘ไม่เสียดินแดนเลย แม้แต่ตารางนิ้วเดียว' ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ การเจรจามันต้อง give and take (ให้และรับ) และมีความยืดหยุ่น”
“ถ้าหากเราไม่ paranoid (หวาดระแวง) หรืออยู่กับนโยบายเรื่อง ‘ไม่เสียดินแดน' ‘ศาลโลกไม่ยุติธรรมกับเรา' ซึ่งถูกปลูกฝังมานมนานเสียเหลือเกิน เราก็จะสามารถพิจารณาเรื่องนี้ได้อย่างสมเหตุสมผล รัฐบาลก็อาจจะบอกว่า โอเค ไม่เป็นไร ลองไปก็ได้ ลองไปคุยกันดู หรือมีทางเลือกอื่น ซึ่งผมเคยเสนอหลายครั้งแล้วว่ามันมีกลไกอื่น ๆ ของสหประชาชาติ (UN) ที่เราจะสามารถใช้ไกล่เกลี่ยและตัดสินข้อพิพาทเรื่องเขตแดนได้ แต่ไม่มีใครยอมเสนอ” เขากล่าว

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
อีกปัญหาหนึ่งที่นายสุภลักษณ์หยิบยกขึ้นมาร่วมด้วยกัน ไทยมักนิยามว่า “ความมั่นคง = ปฏิบัติการทางทหาร” ทั้งที่ความมั่นคงมีหลายมิติมาก
ประกอบกับการมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ “ไทยต้องพึ่งพิงมหาอำนาจ เราถึงจะมั่นคง” แล้วนำกรอบความคิดนี้ไปมองกัมพูชา ดังนั้นเมื่อเห็นมหาอำนาจ เช่น สหรัฐอเมริกาและจีน เข้ามาร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์และไกล่เกลี่ยความขัดแย้งครั้งนี้ จึงทำให้เกิดการประเมินว่ากัมพูชาเป็นภัยคุกคามใน “สูงเกินไป (overestimate)” จากความเป็นจริง
อีกด้านหนึ่ง นโยบายความมั่นคงของไทยกลับประเมินภัยคุกคามใหม่อื่น ๆ เช่น ศูนย์กลางสแกมเมอร์ตามแนวชายแดนรอบด้านในลักษณะ “ต่ำเกินไป (underestimate)” ทั้งที่กลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้มีความเชื่อมโยงถึงกันหมด เป็นต้น
“ในวันนี้เราเปิดทีวี ดูสื่อต่าง ๆ ทั้งชาติเหมือนไม่มีปัญหาอื่นให้พูดถึงกันเลย มีแต่กัมพูชาและฮุน เซน มันทำให้เกิดการคำนวณภัยคุกคามไม่สมจริง การที่สังคมรับรู้ถึงภัยคุกคามที่เวอร์เกินจริง มันทำให้เกิดความรู้สึกในสังคมในลักษณะ endorse (ส่งเสริม) กับปฏิบัติการทางทหารเกินเบอร์” โดยเขาพูดแบบติดตลกว่า ไทยมักคิดว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา กัมพูชา จะเข้ายึดครองประเทศตัวเองอยู่ตลอดเวลา อันมาจากการปลูกฝังต่อ ๆ กันที่ยังแก้ไม่ได้
พร้อมกันนี้ นายสุภลักษณ์ยังชี้ให้เห็นว่าปัญหาการเมืองภายในของไทยที่สะสมมานานหลายทศวรรษ ยังทำให้เราได้รัฐบาลพลเรือนที่อ่อนแอเกินกว่าจะรับมือเมื่อทั้งสองประเทศเกิดข้อพิพาทขึ้น
เขาจึงชี้ว่าไทยต้องเปลี่ยนทัศนคติและออกจาก “กับดักการรับรู้” ให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถ “deal (จัดการ)” กับผู้นำตระกูลฮุนได้เลย เนื่องจากอีกฝ่ายรู้ว่าไทยติดอยู่กับความคิดเช่นนี้ “ทำให้เขาสามารถอาศัยมันเพื่อขับเคลื่อนความขัดแย้งได้อย่างรวดเร็ว และดูเหมือนมียุทธศาสตร์”
“ตระกูลฮุน” ควรอยู่ตรงไหนในนโยบายความมั่นคงไทย-กัมพูชา
ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ ให้ความเห็นต่อว่ากลไกที่มีอยู่ระหว่างรัฐไทยและกัมพูชาในขณะนี้ เป็นกลไกแก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี แต่เมื่อพิจารณาปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้ ย่อมเห็นแล้วว่าโจทย์ชุดนี้ไม่ใช่สิ่งที่กลไกทวิภาคีอย่างคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) สามารถรับมือได้ แต่คำถามต่อมาคือผู้ที่อยู่ในอำนาจสายงานความมั่นคงคิดกับโจทย์นี้อย่างไร
“ผมเชื่อว่าความล้มเหลวของการหยุดยิvในวันที่ 28 ก.ค. และ 7 ส.ค. เป็นความล้มเหลวใหญ่ที่สุดสำหรับผม ผมเรียกว่า ‘ความล้มเหลวเชิงจินตนาการ' เพราะเราเชื่อว่าเราจะทำให้ปัญหาเป็นระดับทวิภาคีได้ ซึ่งผมใช้คำว่า ‘fault conception (ความเข้าใจที่ผิดพลาด)'”
“มันไม่เป็นทวิภาคีแล้ว นับตั้งแต่มีการเพิ่มเติมผู้สังเกตการณ์จากสหรัฐฯ และจีน เข้ามา” เขากล่าว
“มันมีปัจจัยภายนอกเข้ามาแล้วล่ะ แปลว่าถ้าเรายังยึดติดกับ knowing (แนวความคิด) เรื่องทวิภาคี ผมคิดว่ามันไปต่อไม่ได้”
“หากเราตีโจทย์ผิด อย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือ เราตามเกมที่กัมพูชาเล่นในเวทีโลกไม่ได้ เพราะเรายังติดกับความเชื่อว่าต้องแก้โจทย์ชุดนี้ด้วยผู้พิพาทสองฝ่าย”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ ยกตัวอย่างกรณีกับsะเบิดบริเวณชายแดนและการแก้ไขปัญหาศูนย์สแกมเมอร์รอบชายแดนที่ทำให้เห็นแล้วว่ากลไก RBC ที่มีอยู่ไม่สามารถจัดการกับปัญหาดังกล่าวได้ เนื่องจากทั้งสองโจทย์มีขนาดใหญ่กว่ากลไกที่ตั้งเอาไว้ ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่รัฐบาลต้องกำหนด คือ “ชุดความคิดใหม่ที่ต้องรู้ว่าอะไรอยู่ในระดับไหนของการพูดคุย”
เขามองว่าบุคคลสำคัญในการกำหนดแนวทาง คือ 4 หัวหลัก ๆ ได้แก่ นายกรัฐมนตรี, รมว.ต่างประเทศ, รมว.กลาโหม และ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งต้องลุ้นต่อว่าจะเป็นใคร และส่วนตัวยังเห็นว่าโจทย์ความมั่นคงชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชานั้น มีความซับซ้อนเกินกว่าจะตอบด้วยชุดความคิดง่าย ๆ
“โจทย์มันขยายตัวไปหมดแล้ว และมีความซับซ้อนในหลายเรื่องที่กลับมาสู่ประเด็นอ่อนไหว นั่นคือมันทับซ้อนด้วยเรื่องผลประโยชน์ ทั้งผลประโยชน์ของตัวผู้นำและผลประโยชน์ของกลุ่มอิทธิพลการเมืองของทั้งสองฝั่ง และสิ่งที่เลวร้ายที่สุด คือ มีการทับซ้อนของผลประโยชน์กลุ่มอิทธิพลสีเทาที่เข้ามามีกิจกรรมในพื้นที่ของทั้งสองฝั่ง
สำหรับผม ปัญหาความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ใช่เรื่องปัญหาเขตแดนล้วน ๆ แต่มันมีผลประโยชน์ของหลายกลุ่ม หลายฝ่าย และหลายระดับ ซ้อนกันอยู่ในพื้นที่ชายแดน แล้วข้ามมาเป็นผลประโยชน์ระดับชาติ” ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ กล่าว
นักวิชาการจากจุฬาฯ ยังเสริมด้วยว่าความสัมพันธ์เชิงญาติระหว่างกลุ่มผู้นำไทยและกลุ่มผู้นำในกัมพูชา เช่น “ตระกูลฮุนและตระกูลชินวัตร” ก็เป็นอีกคำถามหนึ่งที่ควรนำมาพิจารณากันต่อว่า “สุดท้ายแล้วตระกูลฮุนจะอยู่ตรงไหนในการเมืองไทย” เพราะสุดท้ายแล้วตระกูลฮุนจะยังคงเป็นผู้ปกครองของกัมพูชาไปอีกนาน

ที่มาของภาพ : Getty Photos
ในเวลาเดียวกัน นายสุภลักษณ์ ให้ความเห็นกับ.ว่านโยบายความมั่นคงของไทยต่อกัมพูชาควรดำเนินไปในลักษณะ “balance technique (ยุทธศาสตร์แบบสมดุล)” โดยมีสองอย่างที่ต้องทำควบคู่กัน คือ การเข้าไปป้องปราม (deterrent) และการเข้าไปพัวพัน (engagement)
เขากล่าวต่อว่า การป้องปรามในที่นี้ไม่ใช่การเสริมขีดความสามารถทางการทหาร แต่ควรให้ความสำคัญกับงานข่าวกรองมากขึ้น รวมถึงสร้างพันธมิตรกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค รวมถึงพันธมิตรระดับโลกเช่น จีน และสหรัฐฯ โดยไทยควรหาคำตอบให้ได้ว่า “จริง ๆ แล้วทั้งจีน สหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน มองไทยกับกัมพูชาอย่างไร” เพื่อให้เราวางตำแหน่งของตนเองได้อย่างถูกต้อง
ส่วนการเข้าไปพัวพันหรือมีความสัมพันธ์กับกัมพูชานั้น เป็นสิ่งที่ไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และส่วนตัวเขาเห็นว่านี่คือนโยบายที่ไทยควรให้ความสำคัญมากที่สุด เพราะทั้งสองประเทศมีช่องทางการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกันมานานหลายสิบปี ซึ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน
ขณะเดียวกันภาคแรงงานของไทยก็ยังต้องพึ่งพิงแรงงานจากกัมพูชา การค้านับแสนล้านบาทระหว่างสองประเทศก็เป็นอีกเครื่องยนต์หนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ไม่นับรวมภาคการลงทุนของไทยในกัมพูชา
“เพราะฉะนั้น เราละเลยการ interact กับตระกูลฮุนไม่ได้ เพราะว่าเขามีเครือข่ายทางธุรกิจผสมผสานอยู่ในนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะลงทุนอะไรก็ต้องไปผ่าน crony (พวกพ้อง) ตรงนี้ ไม่มากก็น้อย หรือบางทีอาจจะแข่งกันด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นการเข้าไป interact ในเชิงเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องจำเป็น ไทยต้องมองยุทธศาสตร์ความมั่นคงในลักษณะสอดคล้องกันเป็นองค์รวม ต้องผสมผสานกันให้ได้ดุลระหว่างการป้องปรามและการ interact” นายสุภลักษณ์ กล่าว

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
เช่นเดียวกัน ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ ก็มีความเห็นพ้องในเรื่องนี้ โดยกล่าวเสริมกับ.ว่า ผู้คนมักจะลืมไปว่าท่ามกลางกรณีข้อพิพาทเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ยังมีชีวิตผู้คนจำนวนมากจากทั้งสองฝั่งที่ผูกผันกันอยู่ และชีพจรของพวกเขาก็พึ่งพาการหมุนเวียนทางด้านเศรษฐกิจที่ผูกร้อยอยู่กับด่านชายแดน ดังนั้นย่อมถึงเวลาพิจารณาแล้วว่ามาตรการปิดด่านชายแดนที่กำลังดำเนินอยู่นั้น ส่งผลกระทบกับผู้คนเหล่านี้อย่างไร
“มันก็ชวนสังคมไทยคิดเหมือนกันว่าเราจะสุดโต่งกับกระแสชาตินิยมขนาดไหน เราจะสุดโต่งไปกับกระแสที่เชื่อว่าต้องปิดแนวชายแดนทั้งหมดหรือเปล่า”
“ผมคิดว่าจริง ๆ แล้วผู้คนตามแนวชายแดน เขาก้าวพ้น historical fable ไปหมดแล้ว คุณไปดูสภาพที่ตลาดโรงเกลือก็ได้”
“เส้นเขตแดนมันซ่อนเรื่องที่เป็นประวัติศาสตร์ ซ่อนเรื่องความขัดแย้งไว้ก็จริง แต่ต้องไม่ลืมว่าเส้นเขตแดนก็ซ่อนชีวิตคนไว้ด้วย” นักวิชาการจากจุฬาฯ กล่าว
ที่มา BBC.co.uk