แชร์ลิ้งค์นี้ : https://ด่วน.com/584o | ดู : 10 ครั้ง
สำหรับคอการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา-มีเร

สำหรับคอการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา มีเรื่องให้ต้องจับตาดูกันอีกครั้ง เพราะเมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 28 พ.ค.2568 เกิดเหตุปะทะกันที่จุดพิพาทเขตแดน บริเวณ ‘ช่องบก' จ.อุบลราชธานี ระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา และผลของการแลกกระสุนจบลงที่มีทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย

ล่าสุด สถานการณ์ดูจะคลี่คลายลงไปบ้าง เพราะกองทัพบกไทยและกัมพูชาได้ตกลงร่วมกันว่าจะยึดแนวทางสันติในการแก้ไขปัญหา โดย 1.ทหารทั้ง 2 ฝ่ายจะยอมถอยออกจากจุดปะทะคนละ 200 เมตร 2.ทั้งสองฝ่ายจะอดทนอดกลั้นอย่างถึงที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น 3.ใช้แนวทางแก้ไขปัญหา โดยการหารือผ่านคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งมีคิวประชุมช่วงต้นเดือน มิ.ย.นี้

บางคนอาจมองเรื่องนี้อย่างชินชา นับตั้งแต่มีกรณีปราสาทเขาพระวิหารเมื่อปี 2554 แต่มีข้อน่าสังเกตว่า ทำไมกระแสพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา กลับมาก่อตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่พรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จเมื่อปลายปี 2566

ปีที่ผ่านมา (2567) มีการหยิบข้อพิพาทเขตแดนทางทะเล และเขตแดนบนบกขึ้นมากล่าวถึงหลายกรณี เริ่มที่เกาะกูด ตามมาด้วยศาลาตรีมุข อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี, ข้อพิพาทกลุ่มปราสาทตาเมือน จ.สุรินทร์, กรณีการขุดคูเลตที่เนิน 745 (ช่องบก) และการปะทะรอบล่าสุด

อะไรคือเบื้องหลังของกระแสข้อพิพาทเขตแดนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นความบังเอิญหรือจงใจ เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนอะไรในความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา และจะเป็นอุปสรรคต่อไปในอนาคตอย่างไร หากมีความร่วมมือร่วมกันระหว่าง 2 ประเทศนี้

เพื่อร่วมตอบคำถามดังกล่าว ประชาไทชวน ‘สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี’ อดีตสื่อมวลชนมากประสบการณ์ และนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศภูมิภาคอาเซียน มาร่วมมองเบื้องหลังปรากฏการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา และความไม่ไว้วางใจของขุนศึกศักดินา

ผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม อุปสรรคของการพัฒนาความสัมพันธ์ร่วมกับเพื่อนบ้าน และข้อเสนอเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ ซึ่งตัวเขาเองยอมรับว่า “ไม่ง่ายนักที่จะลดอารมณ์ความรู้สึกของสังคมไทยขณะนี้”

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี

กรณี ‘ช่องบก' ถือว่าผิดวิสัย ต้องตรวจสอบให้ชัด

สุภลักษณ์ มองว่า ปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาช่วงที่ผ่านมา มี 2 ปัจจัยหลัก ประกอบด้วย

1. ปัจจุบัน แผนที่เขตแดนไทย-กัมพูชายังไม่มีการชำระ และสำรวจปักปันเขตแดนร่วมกัน ทำให้มันเกิดปัญหาขึ้นได้เรื่อยๆ

2. การพยายามปลุกเร้าสถานการณ์ความหวาดระแวง และกระแสชาตินิยมของทั้ง 2 ประเทศ

สุภลักษณ์ ให้ข้อสังเกตว่า หากสังเกตช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา จะพบว่ามีความพยายามของกลุ่มคนที่จะปลุกเร้าปัญหาพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากประเด็นพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ‘เกาะกูด’ เรื่อยมาจนถึงกรณีของกลุ่มปราสาทตาเมือน จังหวัดสุรินทร์ กรณีศาลาตรีมุข อ.น้ำยืน จ.อุบลฯ การขุดคูเลตที่เนิน 745 (ช่องบก) จนมาถึงกรณีปะทะกันที่ช่องบกใกล้ๆ กันรอบล่าสุด ซึ่งข้อพิพาททางบกมีความอ่อนไหวอย่างมาก โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี เพราะใกล้กับกรณีที่เกิดข้อพิพาทด้านชายแดนเขาพระวิหาร สถานการณ์มันถูกปลุกเร้าเรื่อยมาให้มันเกิดเหตุปะทะได้

“ผมคิดว่าเขาใช้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาสั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาลมาได้ในกรณีเขาพระวิหารมาได้ เขาก็ทำอีกครั้งหนึ่ง หากเราสังเกตคือคนที่ยกประเด็นเรื่อง MOU44 เรื่อยมา มาจากพรรคพลังประชารัฐ ทั้งที่เขาเคยอยู่ในรัฐบาล และยกเรื่องนี้ขึ้นมาคัดค้าน สร้างเรื่องนี้ในหมู่ประชาชนฝ่ายขวา สื่อฝ่ายขวาก็พยายามเล่นเรื่องนี้” สุภลักษณ์ กล่าว

ปราสาทตาเมือนธม (ที่มา: สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสุรินทร์)

ส่วนในกรณีของ ‘ช่องบก' สุภลักษณ์ ตั้งข้อสังเกตว่า มันเป็นเรื่องที่ผิดวิสัย และต้องตรวจสอบให้แน่ชัด เพราะในทางการทหารถือว่าเป็นการปะทะที่ไม่จำเป็น ขัดกับสิ่งที่เรียกว่ากฎการปะทะ หรือว่า ‘Rule of Engagement' เพราะโดยปกติเวลาลาดตระเวนแล้วเจอกัน ทหารเขาจะถามกันหรือเตือนกันก่อน ให้ประกาศตัวเองว่าคุณเป็นใคร แล้วเข้ามาในเขตนี้ทำไม ถ้าไม่ฟัง ก็จะมีการยิvเตือน แต่อยู่ๆ เจอหน้ากันแล้วยิvกันเลย อันนี้แปลก

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

  • เกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี

สุภลักษณ์ เน้นย้ำว่า เหตุปะทะที่ไม่จำเป็นมาจากการที่รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศตอนนี้ตกอยู่ในวาทกรรมและกระแสความไม่ไว้วางใจที่สร้างกันทั้ง 2 ฝั่ง ไม่ใช่แค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ของไทยก็สร้างมาตั้งแต่เรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ด้วยวาทกรรมว่า “เราอาจจะเสียเกาะกูดให้กัมพูชา จากการทำ OCA ทำ MOU44” จากนั้น พรรคฝ่ายค้านของกัมพูชาก็พูดบ้างว่า ขอให้รัฐบาลของเขาแสดงสิทธิเหนือเกาะกูด ก่อนที่จะลามมาที่ปราสาทตาเมือนที่เคยมีข้อพิพาท และมีการยกที่อื่นๆ มาเป็นประเด็นเรื่อยๆ

ดังนั้น ผลของการไม่ยอมกันทั้ง 2 ฝ่าย ฮุน มาเนต ในฐานะนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา และเคยเป็นผู้บัญชาการทหารมาก่อนก็ต้องแสดงจิตวิทยาทางการเมืองว่า เขาไม่ยอมยกอธิปไตย และจะไม่เป็นลูกไล่ไทยอย่างแน่นอน เขามีอำนาจทางทหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์ ผสมโรงกับความรู้สึกของคนกัมพูชาที่มักมองว่าไทยชอบมองว่ากัมพูชาด้อยกว่า เขาก็ยอมไม่ได้ ขณะเดียวกัน ทหารไทยเองก็ชอบมองว่าตัวเองเหนือกว่ากัมพูชา ต่างฝ่ายต่างแสดงออกมา มันก็กลายเป็นเหตุปะทะที่ไม่จำเป็น

สถานการณ์ปัจจุบันหลังเหตุปะทะที่ช่องบก ตามการให้สัมภาษณ์ของ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ว่า สถานการณ์คลี่คลายลงไปบ้างแล้ว โดยทั้ง 2 ประเทศยึดมั่นหลักการไม่เผชิญหน้า และให้รอการหารือร่วมของ JBC ซึ่งจะเริ่มในสัปดาห์นี้ (2-6 มิ.ย.) ก็ต้องจับตาดูกันต่อว่าผลประชุมจะออกมาเป็นอย่างไร

ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ซับซ้อนหลายชั้น

“เวลาเรามองความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา มันไม่สามารถดูได้เพียงแค่ 2 ก้อน แต่มันมีหลายเลเยอร์ (ชั้น)” สุภลักษณ์ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่าสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา เป็นอย่างไรในปัจจุบัน

สุภลักษณ์ จำแนกความสัมพันธ์ออกมาเป็น 3 ระดับ คือ รัฐต่อรัฐ รัฐบาลต่อรัฐบาล และระดับประชาชนต่อประชาชน

ระดับ ‘รัฐต่อรัฐ’ นักวิชาการด้านความมั่นคง มองว่า ภาพรวมมันเป็นความร่วมมือมากกว่าความขัดแย้ง ความขัดแย้งมีแค่เรื่องเขตแดน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับรัฐสมัยใหม่ สังคมไทยมีภาพจำว่าตัวเองถูกเอาเปรียบเรื่องเขตแดนตั้งแต่ในอดีต คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ แต่ถูกฝรั่งเศสเอาเปรียบ ขณะเดียวกัน มองจากมุมกัมพูชาก็เคยยิ่งใหญ่มาก่อน แต่ถูกไทยเอาเปรียบเหมือนกัน มันมีความรู้สึกอยู่แบบนี้ตลอดเวลา ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐมันมีปัญหาแบบนี้อยู่

ความสนิทระหว่าง ทักษิณ-ฮุน เซน ทำให้อีลิตไม่ไว้ใจ

ความสัมพันธ์เลเยอร์ชั้นที่ 2 คือความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล ระหว่างอดีตนายกฯ ฮุน เซน และรัฐบาลชินวัตร พรรคเพื่อไทย ซึ่งเกือบจะเป็นญาติเกี่ยวดองกัน ฮุน เซน เคยอุปถัมภ์ทักษิณ และยิ่งลักษณ์ ตอนที่ต้องลี้ภัย รวมถึงช่วยเหลือคนเสื้อแดงและพันธมิตรของทักษิณเวลาที่ต้องลี้ภัย ซึ่งความสนิทนี้ก็ทำให้ฝ่ายชนชั้นนำการเมืองไทยไม่ไว้วางใจ

“ความสนิทที่เกิดขึ้นมันทำให้ ‘อีลิตไทย’ ไม่ไว้วางใจ พอไม่ไว้วางใจ เวลาทำอะไรสักอย่าง มันจะถูกตั้งคำถามตลอดเวลา รัฐบาลเศรษฐาก็ประกาศจะแก้ข้อพิพาททางทะเล สำรวจพัฒนาก๊าซธรรมชาติร่วมกัน สุดท้ายกลายเป็นเจอกระแสความไม่ไว้วางใจ มีผลประโยชน์ทับซ้อนแน่ และอื่นๆ เต็มไปหมด และก็จะยกประโยชน์ให้กัมพูชา ยกเกาะกูด ไปกันใหญ่

“มันทำให้ความสัมพันธ์ที่ดีเลิศระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล กลายเป็นสิ่งที่คนจำนวนหนึ่งในไทยหวาดระแวง และขัดกัน” สุภลักษณ์ กล่าว

อีลิตไทยในที่นี้หมายความถึงกองทัพและศักดินารวมกัน ซึ่งเขาจะสั่งสอนมาโดยตลอดว่าเขมรไว้ใจไม่ได้ เขาไม่เคยหนีจากเรื่องเล่านี้ได้เลย และเรื่องเล่าลักษณะนี้มักถูกส่งต่อในกองทัพไทย ยกตัวอย่าง ประวัติศาสตร์ของพระยาละแวก ซึ่งเป็นลูกหลานของเขมรที่ทรยศต่อไทย หรือเรื่องที่พระนเรศวรเอาเลืoดล้างพระบาท ทั้งที่เรื่องนี้ไม่เคยมีอยู่ในประวัติศาสตร์ อีลิตไทยมักมองเขมรว่าไม่ได้เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ด้วยความสงบสุข ไม่เคยรู้สึกว่ามีช่วงที่ชนชั้นนำไทยเคยผูกสัมพันธ์กับชนชั้นนำกัมพูชา

(ซ้าย) ฮุน เซน และ (ขวา) ทักษิณ ชินวัตร (ที่มา: FB Somdech Hun Sen  of Cambodia)

‘คนห่างชายแดน' ตกหล่ม ‘ชาตินิยม'

ชั้นที่ 3 คือความสัมพันธ์ระดับประชาชน-ประชาชน แบ่งเป็นคนที่อยู่ระหว่างชายแดน-ชายแดน พวกเขาไม่มีปัญหาต่อกัน บางคนเป็นเครือญาติ ชาวบ้านไปมาหาสู่กัน บางคนก็ไปทอดผ้าป่าข้ามฝั่งกัมพูชา-ไทย

“ในความเห็นของผม ประชาชนที่อยู่ไกลออกไปจากชายแดนกำลังตกอยู่ในวาทกรรมและเรื่องเล่าชาตินิยม ก็คือเอาความหวาดระแวงของอีลิตไปใส่ให้กลายเป็นความหวาดระแวงของประชาชน

“คนที่เสพหรือหมกมุ่นอยู่กับโซเชียลมีเดียจะรู้สึกเกลียดชาวกัมพูชามากๆ ดูว่ากัมพูชาจะรุกพื้นที่ไทยรึเปล่า หรือเชียร์ให้ทหารไทยรบทหารกัมพูชาอยู่ตลอดเวลา ภาพรวมประชาชนคนทั่วๆ ไปที่อยู่ห่างไกลเส้นเขตแดนจะเกลียดชัง และก็รู้สึกว่าเขมรมันไว้ใจไม่ได้ มันลอบกัดไทยตลอดเวลา สิ่งนี้มันอยู่ใน fable (เรื่องเล่า) ของคนไทย เดี๋ยวก็มีปัญหาแย่งมรดกทางวัฒนธรรมกัน ปราสาทควรเป็นของใคร มวยควรเป็นของใคร เพราะฉะนั้น ความรู้สึกนี้มันว่ายวนอยู่ในเรื่องเล่าของประชาชนที่ใช้อธิบายความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาอยู่ตลอดเวลา มันเลยทำให้ทั้งหมดกลายเป็นภาพความสัมพันธ์ทับซ้อนและเชิงซ้อน มันเลยแก้ยากในหลายประเด็น” สุภลักษณ์ กล่าว

ความร่วมมือมีแนวโน้มเดินยาก

สุภลักษณ์ มองว่า กระแสข้อพิพาทที่เกิดขึ้น มันส่งผลทางตรงให้ไทย-กัมพูชามีปัญหากัน ส่วนผลในทางอ้อม มันทำให้ไทย-กัมพูชาไม่กล้าที่จะเดินหน้าความร่วมมือที่ควรจะมีและพึงกระทำ เป็นผลเสียมากกว่าจะเป็นผลดี แม้ทำได้แต่ก็จะโดนเรื่องอื่นๆ กลบ อย่างเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เรื่องจะขุดก๊าซร่วมกันในรัฐบาลนี้ ก็เหมือนจะเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะว่าจะมีแต่คนพูดว่าจะยกทรัพยากรให้กัมพูชาอีกแล้ว เชื่อได้เลยว่ามันจะมีคนพูดแบบนี้

สุภลักษณ์ ยกตัวอย่างหลังมีกรณีพิพาทปราสาทเขาพระวิหาร (ปี 2554) ความคืบหน้าเรื่องการปักปันเขตแดนไม่มีเลย ไม่มีใครกล้าทำ แม้ว่าศาลโลกมีคำวินิจฉัยว่าตัวปราสาทเขาพระวิหารและภูเขาเป็นของกัมพูชา แต่พื้นที่รอบๆ นั้นไม่ได้ตัดสิน ศาลบอกว่าให้ไปตกลงระหว่างไทย-กัมพูชา หรือกรณีของปราสาทตาเมือน ถ้ามีการสำรวจปักปันเขตแดนแล้ว กลายเป็นว่าทหารฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องถอย จะต้องถูกกล่าวหาว่ายอมกัน

“เพราะฉะนั้น เจ้าหน้าที่ ทหาร กระทรวงการต่างประเทศ หรือคนที่หน้าที่ปักปันเขตแดน เขาไม่กล้าทำหรอก เพราะถ้าทำแล้วศาลอาจดำเนินคดีทำให้เสียดินแดน เขตแดน ใครจะเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงขนาดนั้น เป็นผม ผมก็นั่งพับเรื่องนี้จนเกษียณเลยดีกว่า” นักวิชาการอิสระ กล่าว

เสนอรัฐบาลทำเรื่องชายแดนให้โปร่งใส

สุภลักษณ์ มองว่า ทางออกของเรื่องนี้เหมือน ‘ไก่กับไข่' คือถ้าจะแก้ไขปัญหาก็ต้องปักปันเขตแดนให้เรียบร้อย แต่การปักปันเขตแดนมันไม่เคยเกิดขึ้นได้ ถ้าความสัมพันธ์มันไม่ดี มีการตั้งแง่ตลอดเวลา วิธีที่เป็นไปได้มากกว่าคือต้องพยายามทำให้ทุกอย่างที่อยู่ระหว่างไทย-กัมพูชาโปร่งใสมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราต้องทำให้เรื่องเขตแดนไม่มีความลับทางการทหาร ไม่มีความลับเรื่องความมั่นคง เขตแดนเป็นที่ๆ ทุกคนเข้าถึงได้

สุภลักษณ์ กล่าวต่อว่า ความโปร่งใสนี้ยังรวมถึงการสื่อสารของรัฐบาล 2 ฝ่าย เรื่องกรณีของช่องบก ใครยิvก่อนยังพูดไม่ตรงกันเลย ถ้าเราเคลียร์เรื่องนี้ไม่ได้ ประชาชนก็จะสงสัยรัฐบาลตลอดเวลา ไม่สามารถที่จะดำเนินการอะไรต่อไปได้ วิถีทางที่ดีที่สุดคือต้องค่อยๆ ทำให้ทุกอย่างโปร่งใส เพื่อลดอารมณ์ความรู้สึก แต่อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าเรื่องการลดอารมณ์ความรู้สึกของสังคม ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี

“ผมเป็นรัฐบาลผมก็คงปวดหัว พูดยังไงให้คนที่เขาเกลียดเขมรเข้าใจ ไม่ต้องถึงกับรักเขาหรอก แต่มองเขาอย่างเป็นมนุษย์ ไม่ได้มาจ้องฮุบดินแดนไทยตลอดเวลา

“มันจะต้องทำความเข้าใจในมุมประชาชนด้วยเหมือนกัน วัฒนธรรมของเรามันรากเหง้าเดียวกัน แชร์กันได้ แบ่งกันได้ แต่ว่าพูดแบบนี้ก็จะมีข้อโต้แย้งว่ากัมพูชาก็ไม่เห็นมองไทยดี เฟคนิวส์ฝั่งกัมพูชาเต็มไปหมด ก็ต้องอาศัยระยะเวลาและความตั้งใจที่จะทำกันมากหน่อย” สุภลักษณ์ กล่าว

นักวิชาการด้านความมั่นคง มองว่า กรณีข้อพิพาทเกิดขึ้นได้ แต่เราต้องป้องกันอย่าให้เกิดความรุนแรง ทั้งความรุนแรงทางทหาร หรือความรุนแรงของประชาชนต่อประชาชน มันจะลุกลามไปได้ง่าย ที่ผ่านมารัฐบาลรับมือดีพอสมควร แต่อย่าทำอะไรโดยพลการ เพราะว่าที่เราเห็นช่องบกตอนนี้มันแปลกๆ คือทหารแถวนั้นกินข้าวด้วยกันอยู่ไม่ใช่เหรอ อยู่กันคนละเนิน รู้จักกัน ผบ.หมู่ก็น่าจะรู้จักกัน แต่ทำไมลาดตระเวนมาเจอกันแล้วก็ยิvกันเลย คุณว่ามันแปลกไหม คิดว่าเรื่องนี้มันแปลก คงต้องสอบสวน ทั้ง 2 ฝ่ายต้องทำให้ชัดเจน ถ้าไม่ชัดเจน เรื่องนี้จะถูกพูดไปเรื่อยๆ วิธีที่จะทำในระยะสั้นคือโปร่งใสชัดเจน ฝ่ายไหนผิดต้องยอมรับ ไม่งั้นเรื่องไม่จบ และไม่ได้รับความไว้วางใจ

ศึกษาให้ดีก่อนนำเสนอ บทเรียนถึงสื่อด้วยกัน

สุภลักษณ์ กล่าวว่า สื่อกระแสหลักไม่น่าห่วง ห่วงโซเชียลมีเดียมากกว่าเพราะว่ามันค่อนข้างควบคุมดูแลยาก (preserve watch over) แต่ถ้าใครก็ตามที่สนใจเรื่องปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาไม่ว่าแง่มุมไหน ต้องศึกษาให้รอบด้านมากกว่านี้ ยกตัวอย่างเรื่องแผนที่ช่องบก มีคนบอกว่ามันเป็นของเมืองไทยชัดเจน แต่ถ้าศึกษาลึกลงไป เราจะพบว่ามันเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้รับการปักปันเขตแดนเรายังไม่ทราบ และไทย-กัมพูชาถือแผนที่คนละฉบับ

สุภลักษณ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันมีแผนที่ 3 ฉบับที่ใช้อธิบายเขตแดนไทย-กัมพูชา ได้แก่

  1. แผนที่ที่ถูกระบุในสนธิสัญญาและ MOU ปี 2543 คือแผนที่ที่ฝรั่งเศสเป็นคนจัดทำ มาตรา 1 ต่อ 200,000 เป็นแผนที่ที่คนไทยเกลียดเอามากๆ
  2. แผนที่ที่คนไทยถือและใช้เป็นแนวปฏิบัติสำหรับการรักษาอำนาจอธิปไตยของไทย คือแผนที่ L7017 ปัจจุบันอัพเดทเป็น L7018 จัดทำโดยกรมแผนที่ทหารของไทย มาตราส่วน 1 ต่อ 50,000 ละเอียดกว่า 1 ต่อ 200,000
  3. แผนที่ที่กัมพูชาใช้เป็นแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 100,000 ซึ่งหยาบกว่าของไทยอยู่

สุภลักษณ์ เชื่อว่า ถ้าเราลองเอาแผนที่ 3 แบบมาเทียบกัน เส้นเขตแดนไทยไม่มีทางตรงจนกว่ามันจะได้รับการสำรวจ วิธีการสำรวจมีขั้นตอนเยอะแยะมาก โดยเริ่มตั้งแต่การเอาแผนที่มาดู ตามด้วยการทำภาพถ่ายทางอากาศ การสำรวจทางเท้า และมีคนทำการศึกษาจำนวนมาก รวมถึงรายงานของรัฐสภาก็มี ดังนั้น อยากให้สื่อมวลชนทำการบ้านก่อนที่จะมีการรายงานต่อสาธารณะ

ไม่รายงานข่าวแบบ ‘ผู้รักชาติ'

ข้อคิดจากสุภลักษณ์ อีกประการถึงสื่อมวลชน คือ อย่าเชื่อแหล่งข่าวคุณ 100% เพราะว่าทหารไทย-เขมรมีแนวโน้มที่จะไม่พูดความจริง เพราะเขาต้องสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองเป็นฝ่ายที่ลั่นกระสุนได้ อันนี้เป็นเทคนิคทางการทหาร เราต้องเข้าใจเกมทางการทหารก่อน ปกติคนที่ลั่นไกลก่อนเป็นคนที่เสียความชอบธรรม เพราะฉะนั้น เขาจะบอกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นฝ่ายยิvก่อนเสมอ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำสงคราม หน้าที่ของสื่อเราต้องทำเรื่องนี้ให้ชัดเจน อย่าผลีผลาม ถ้าทำอะไรไม่ได้เลยให้เราฟังทั้ง 2 ฝ่าย เพราะว่าเราไม่สามารถรายงานเรื่องนี้อย่าง ‘ผู้รักชาติ' ได้ ซึ่งพูดไปอาจจะขัดกับสามัญสำนึกของคนจำนวนมาก

“ถ้าคุณรักชาติมาก คุณมีปัญหาแน่ๆ เลยในวิชาชีพของคุณ เพราะงั้นเราไม่อาจจะรายงานเรื่องความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านอย่างผู้รักชาติได้ มันต้องรายงานอย่างมืออาชีพ ฝ่ายไทยรายงานอย่างนี้ ฝ่ายกัมพูชาว่าอย่างไร มันต้องรีบรายงาน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโกหก เพราะมีคนพูดไม่ตรงกัน เราต้องหาบุคคลที่ 3 มาช่วยอธิบาย เพื่อให้คนอ่านไม่ตัดสินบนอคติ

“ผมเคยโดนผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวงการต่างประเทศ ในกองทัพ ด่าว่านักข่าวไทยภาษาอะไร รายงานข่าวเข้าข้างเขมร ผมต้องยืนยันว่า เรารายงานอย่างมืออาชีพ ในเวลาที่เราทะเลาะกับประเทศเพื่อนบ้านเราไม่อาจจะยืนอยู่ข้างประเทศของเราว่าถูกต้องเสมอไป หลักฐานมันคืออะไร เราก็ต้องรายงาน มันเป็นเรื่องสำคัญ” สุภลักษณ์ ทิ้งท้าย

ฮุน มาเนต เสนอประชุมด่วน ปักปันเขตแดนอีกครั้ง – เสนอส่งศาลโลกแก้ปัญหา

หลังจากการปะทะที่ช่องบก เมื่อ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา ฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา เผยผ่านเฟซบุ๊กเมื่อ 1 มิ.ย. 2568 ว่า เขามีคำสั่งให้คณะกรรมการ JBC ดำเนินการปักปันเขตแดนร่วมกันอีกครั้ง และเตรียมข้อมูลยื่นให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดน สามเหลี่ยมมรกต ใกล้บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด รวมถึงปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์

สำหรับ ข้อพิพาทกรณีของกลุ่มปราสาทตาเมือน อยู่บนแนวภูเขาบรรทัด กิ่งอำเภอพนมดงรัก จ.สุรินทร์ เป็นกลุ่มปราสาทหิน 3 องค์ ประกอบด้วย ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทเมืองธม และปราสาทตาเมือน ตั้งคร่อมสันปันน้ำ

ข้อมูลจากเอกสารรัฐสภาไทย ปี 2551 เปิดเผยว่า ไทยและกัมพูชาเคยมีการประชุมของเจ้าหน้าที่เทคนิค นำโดยประชา คุณะเกษม ที่ปรึกษา รมว.ต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ฝ่ายไทย และ วาร์ กิมฮง ที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาด้านกิจการชายแดน ในฐานะประธาน JBC ฝ่ายกัมพูชา ในปี 2544 โดยได้ข้อสรุปว่าจะให้จัดชุดร่วมทำการเดินตรวจสอบแนวสันปันน้ำในภูมิประเทศบริเวณปราสาท เพื่อพิสูจน์ทราบตำแหน่งประสาททั้ง 3 หลัง โดยยึดถือตามแนวสันปันน้ำต่อเนื่องในภูมิประเทศเป็นเส้นเขตแตน

แต่ฝ่ายกัมพูชา อ้างว่าได้เดินตรวจสอบตำแหน่งของปราสาททั้ง 2 หลัง (ตาเมือนธม, ตาเมือนโต๊ด) ประกอบกับหลักฐานบันทึกว่าจากการปักในเขตแดน หมายเลขที่ 23 ระหว่างไทย-ฝรั่งเศส ปี 2451 แสดงสัญลักษณ์ตัวปราสาท 2 หลังอยู่ในเขตกัมพูชา

ขณะที่ของประเทศไทย อ้างเช่นกันว่า แผนที่ชุด L7017 มาตราส่วน 1: 50,000 ปี 2527 ที่ฝ่ายไทยยึดถือ และแผนที่ชุด L7016 มาตราส่วน 1: 50,000 ปี 2514 จัดทำโดยสหรัฐอเมริกาที่ฝ่ายกัมพูชายึดถือ ปรากฏเส้นเขตแดนตรงกันคือ ตัวปราสาทตาเมือนธม อยู่ในเขตกัมพูชา และอีก 2 ปราสาท (ตาเมือนโต๊ด, ตาเมือน) อยู่ในเขตไทย

อย่างไรก็ตาม การสำรวจ MOU2543 ยังไม่แล้วเสร็จ พื้นที่ก็ยังถูกปล่อยไว้ สถานะปัจจุบันคือให้ทหารคงอยู่ฝ่ายละ 5 คน

ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )

เรื่องที่เกี่ยวข้อง:

เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินหรืออุบัติภัย 🌪️ การเตรียมตัวล่วงหน้า คื

จังหวัดสงขลา จับแล้วบังฝาด จับแล้วบังฝาด คดียิvถล่ม30นัด ปิดคดี 1 2025-06-04 11:21:00

ตำรวจสอบสวนกลาง ช่วยเหลือประชาชนเดินทางจากเกาะเสม็ดกลั

InnovestX ส่งโปรโมชัน 0% ฟรีค่าธรรมเนียม Front-stay Payment สำหรับทุกกองทุนต่างประเทศ

ช่วยกันรักษา ผู้ทรงศีล พระพุทธองค์ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย บุค 2025-06-05 12:47:00

โจรเด้อ… ภัยสินค้าออนไลน์ กลโกงมิจฉาชีพ . ตำรวจสอบสวนกลาง (C

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติชี้มูล อดีตรองสารวัตรสืบสวน สภ.บ้านเป้า-พวก เรียกรับเงิน 5 พัน แลกไม่จับกุม  

ทางการเยอรมนี เร่งอพยพประชาชนกว่า 2 หมื่นคน หลังพบsะเบิดอเมร 2025-06-05 13:00:00

ดวงรายวันประจำวันที่ 5 มิถุนายน 2568

ผู้เรียบเรียง

ให้คะแนนความพอใจของคุณ :

0 / 5 คะแนน 0

คุณให้คะแนน:

แชร์ลิ้งค์นี้ : https://ด่วน.com/584o | ดู : 10 ครั้ง
  1. ดวงรายวันประจำวันที่-5-มิถุนายน-2568 ดวงรายวันประจำวันที่ 5 มิถุนายน 2568
  2. นักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาวิธีการใหม่ในการต่อสู้ก นักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาวิธีการใหม่ในการต่อสู้ก
  3. ศาลรธนตีตก-2-คำร้อง-เอาผิดกกตปล่อยฮั้วสว.-คุณสมบัติประยุทธ์นั่งนายกฯ ศาลรธน.ตีตก 2 คำร้อง เอาผิดกกต.ปล่อยฮั้วสว.-คุณสมบัติประยุทธ์นั่งนายกฯ
  4. ตำรวจสอบสวนกลาง-ช่วยส่งนักเรียนไปโรงเรียน-หลังรถจักรยา ตำรวจสอบสวนกลาง ช่วยส่งนักเรียนไปโรงเรียน หลังรถจักรยา
  5. เรือบรรทุกสินค้าสัญชาติเมียนมา-ประสบเหตุรั่วและจมลงบริเวณอ่า เรือบรรทุกสินค้าสัญชาติเมียนมา ประสบเหตุรั่วและจมลงบริเวณอ่า
  6. อนุทิน-นำคณะผู้แทนไทยประชุมระดับโลกว่าด้วยการลดความเสี่ยงจ อนุทิน นำคณะผู้แทนไทยประชุมระดับโลกว่าด้วยการลดความเสี่ยงจ
  7. 5-มิย68-แยกปู่เจ้าสมิงพราย-ตอนนี้-(cr.เพจสมุทรปราการ)-(fee-|-2025-06-05-16:35:00 5 มิ.ย.68 แยกปู่เจ้าสมิงพราย ตอนนี้ (Cr.เพจสมุทรปราการ) (Fee 2025-06-05 16:35:00
  8. ทรัมป์ลงนามคำสั่ง-ห้ามพลเมือง-12-ประเทศเข้าสหรัฐฯ-:-5-มิถุนา-|-2025-06-05-13:11:00 ทรัมป์ลงนามคำสั่ง ห้ามพลเมือง 12 ประเทศเข้าสหรัฐฯ : 5 มิถุนา 2025-06-05 13:11:00
  9. 2025-06-04-07:28:00-|-ข่าวสารจากกรุมอุตุนิยมวิทยา 2025-06-04 07:28:00 | ข่าวสารจากกรุมอุตุนิยมวิทยา
  10. รังที่-5-ของปี-2568-เจ้าหน้าที่พบเต่ากระขึ้นวางไข่-158-ฟ รังที่ 5 ของปี 2568 เจ้าหน้าที่พบเต่ากระขึ้นวางไข่ 158 ฟ
  • No recent comments available.

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *


Share via
Click to Hide Advanced Floating Content
Send this to a friend