
ศาลรัฐธรรมนูญตีตก 2 คำร้อง กรณีณฐพร โตประยูร เอาผิดกกต.ปล่อยฮั้ว สว. และคำร้องเอาผิด ‘ประยุทธ์’ กรณีตั้ง ‘ธรรมนัส’ เป็นรัฐมนตรี ชี้คนร้องไม่มีสิทธิ์ยื่น ส่วนกรณีสว.ร้อง ‘ภูมิธรรม-ทวี’ ใช้ DSI บี้คดี รอความเห็นอยู่
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า วานนี้ (5 มิ.ย. 68) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่ นายณฐพร โตประยูร และคณะ ยื่นขอคัดค้านคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ 36/2568 ลงวันที่ 9 เม.ย.2568 ที่สั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ‘กรณีร้องขอให้เอาผิดสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เนื่องจากปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบปล่อยให้มีการฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.)
โดยศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องต่อเนื่องและเอกสารประกอบ มีลักษณะเป็นการขออุทธรณ์คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 ไม่มีบทบัญญัติใหบุคคลมีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยหรือคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ร้องไม่อาจอุทธรณคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำรองดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำรองไว้พิจารณาวินิจฉัย
ขณะเดียวกันกรณีที่นายพีรพงษ์ ทรัพยกิจธนากุล ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของพลเอก ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) หรือไม่ ผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทรโอชา (ผู้ถูกร้อง) นำชื่อของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ขึ้นทูลเกล้า ฯ เพื่อแต่งตั้งใหดำรงตำแหนงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งที่รู้หรือควรรู้ว่าบุคคลดังกลาวรับว่า ตนได้กระทำผิดตามคำพิพากษาของศาลออสเตรเลีย มีประเด็นข้อกังขาเกี่ยวกับจริยธรรมและความซื่อสัตยสุจริตเป็นที่ประจักษซึ่งไมสมควรไดรับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องเป็นผู้ไม่มีความซื่อสัตยสุจริตเป็นที่ประจักษ์ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4)
ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงตามคำรองและเอกสารประกอบคำร้องปรากฏว่า ผู้ร้องมิได้เป็นผู้มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ที่จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในคดีนี้ได้ กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 ประกอบมาตรา 82 ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจารณาวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำรองไว้พิจารณาวินิจฉัย
นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญคำร้องของประธานวุฒิสภา ส่งให้ศาลวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่านายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ(5) หรือไม่
คดีนี้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้เข้าชื่อเสนอคำร้องต่อประธาน สว. โดยกล่าวว่านายภูมิธรรมและพันตำรวจเอกทวี มีมติให้กระทำความผิดทางอาญาอื่นเป็นพิเศษ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 51 วรรคหนึ่ง (2) เป็นการแทรกแซงหรือครอบงำหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
โดยใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือก สว. อันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำสว. ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม จึงถือได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัวหรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญอภิปราย เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย และเพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาคดีจึงให้รอความเห็นและเอกสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเรียกไปก่อนหน้านี้
ที่มาภาพ: สยามรัฐ
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )