หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมาประเด็นการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภาร่วมกันพิจารณาถึงโมเดลการหาตัวคนมาเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่(กมธ.ยกร่างฯ) ที่ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังจะออกมาจาก กมธ.ของสภาประชาชนจะไม่ได้เข้ามามีส่วนในการเลือกเลย แม้ว่าจะเป็นการให้สมาชิกรัฐสภามาคัดจากคนที่ประชาชนเลือกอีกที
อีกทั้งสภาที่ปรึกษาฯ ที่เป็นส่วนที่จะให้ประชาชนเลือกตั้งโดยตรงได้เพราะว่าไม่ได้เข้าไปเป็นคนร่างโดยตรงเพียงแต่เป็นสภาที่ให้คำปรึกษาแก่ กมธ.ยกร่างก็ยังถูกเปลี่ยนเป็นรูปแบบเป็น กมธ.รับฟังความเห็นซึ่งมีแนวโน้มว่าจะใช้สูตรให้สมาชิกรัฐสภาเลือกด้วยสูตรสมาชิกสภา 20 คนรวมกลุ่มกันเลือก กมธ.ได้ 1 คนเหมือน กมธ.ยกร่าง ซึ่งต้องรอดูความชัดเจนในการประชุมในสัปดาห์นี้
ณัชปกร นามเมือง ตัวแทนจากกลุ่มรณรงค์รัฐธรรมนูญ หรือ CALL มองปัญหาของสถานการณ์ที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญกำลังจะไม่เหลือช่องทางให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกทั้งผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ และอาจรวมไปถึง กมธ.รับฟังความเห็นอยู่ตอนนี้ ที่ กมธ.ไปกังวลกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นความกลัวเกินกว่าเหตุ
ตัวแทนจาก CALL อธิบายที่เขามองเรื่องว่านี้เป็นความกลัวเกินกว่าเหตุของ กมธ. เพราะเห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็ระบุชัดว่า ไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู็ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงแต่ ในกรณีที่เพ่ิงมีการลงมติกันไปคือ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นการเลือก 70 แล้วคัดออกเหลือ 35 ก็ไม่ใช่การเลือกตั้งโดยตรงอยู่แล้ว นอกจากนั้นสภาที่ปรึกษาก็ไม่ใช่ผู็ร่างรัฐธรรมนูญเพราะเขาเป็นแค่ผู้ที่รับฟังความเห็นกับการอธิบายตัวร่างรัฐธรรมนูญไม่ใช่ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ถ้ายึดเฉพาะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นเกณฑ์เป็นการกังวลเกินกว่าไปล่วงหน้า
แต่เมื่อถามณัชปกรให้ประเมินว่ายังมีเหตุปัจจัยอื่นหรือไม่ที่ กมธ.ไม่ให้มีการเลือกตั้งแม้ว่าจะเป็นการเลือกตั้งทางอ้อมให้มาจบที่สภาเป็นคนเลือกหรือกระทั่งสภาที่ปรึกษาที่ก็ไม่ได้มีอำนาจยกร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง เรื่องนี้ณัชปกรบอกว่าประเมินไม่ได้เช่นกันว่าเหตุผลคืออะไร
“การเลือกตั้งทางอ้อมไม่ใช่ว่าพรรคเพื่อไทยไม่เสนอ พรรคเพื่อไทยก็เสนอให้เลือกตั้งก่อน 300 แล้วคัดเหลือ 150 ถ้าบอกว่าไม่สู้เรื่องคูหาเพราะว่ากลัวจะถูกค้าน แต่คุณก็เสนอในวาระหนึ่งก็หลักการเดียวกัน”
นอกจากนั้นเขายังเห็นว่า ถ้าเป็นเรื่องกลัวร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไปตกในวาระ 2 วาระ 3 คนที่น่าจะกลัวเรื่องนี้มากกว่าคือพรรคประชาชนไม่ใช่พรรคเพื่อไทย เพราะว่าถ้าเกิดร่างไม่ผ่านก็มีเหตุผลมากพอที่จะบอกว่าพรรคภูมิใจไทยไม่ดำเนินการตาม MOA แต่ก็จะเป็นเหตุผลให้เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ด้วย
ณัชปกรตั้งข้อสังเกตว่า เพราะส่วนหนึ่งโมเดลของพรรคประชาชนชนะในส่วนที่เป็น กมธ.ยกร่างแล้ว และโมเดลที่ให้รัฐสภาเป็นคนตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญของภูมิใจไทยตกไปแล้ว เหตุใด กมธ.ของเพื่อไทยถึงไม่เอาสภาที่ปรึกษาฯ ที่มีอยู่ในร่างของพรรคประชาชนมาด้วยเพื่อให้ร่างสมบูรณ์ แต่กลายเป็นว่านอกจากจะไปเอาร่างของพรรคภูมิใจไทยมาเป็นข้อเสนอหลัก แล้วก็ยังไม่โหวตให้โมเดลเลือกตั้งสภาที่ปรึกษาฯ ด้วย
“ในการลงมติ 256/2 จากที่พรรคเพื่อไทยเคยเสนอให้มีการเลือกตั้ง สสร.มาก่อนแล้วให้สภาคัดออกครึ่งหนึ่ง ก็เป็นหลักการเดียวกันกับมาตรา 256/2 ของพรรคประชาชน แล้วทำไมเพื่อไทยถึงงดออกเสียง?” ณัชปกรตั้งคำถาม
ถ้าสภาเป็นคนตั้งทั้ง กมธ. ยกร่าง – กมธ.รับฟัง จะถ่วงดุลกันได้อย่างไร
ณัชปกรมองว่าความสำคัญของสภาที่ปรึกษาฯ ที่มาจากการเลือกตั้งในโมเดลของพรรคประชาชนจะเป็นเหมือนเสียงที่ถ่วงดุลกับ กมธ.ยกร่าง แม้ว่าอำนาจที่แท้จริงของสภาที่ปรึกษาฯ จะไม่ใช่การไปแก้ไขเนื้อหา แต่เป็นการทำให้ประชาชนเข้าใจว่าร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่ออกมาจาก กมธ.ยกร่างนั้นดีหรือไม่ดี แล้วประชาชนจะเป็นคนตัดสินใจผ่านกลไกออกเสียงประชามติว่าจะรับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่ออกมาหรือไม่ และทำให้บรรยากาศในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ดี อีกทั้งสภาที่ปรึกษาฯ ก็จะต้องมีหน้าที่ไปรับฟังความเห็นเพราะได้รับความเห็นชอบจากประชาชนให้เข้ามาทำหน้าที่นี้ แล้วก็จะทำความเข้าใจกับประชาชนด้วยว่าร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะออกมานั้นดีหรือไม่ดีอย่างไร ก่อนนำไปสู่การอภิปรายใน กมธ.ยกร่าง
ตัวแทน CALL กล่าวต่อว่า ถ้าสภาที่ปรึกษาฯ ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญที่ออกมาจาก กมธ.ยกร่าง เพราะรับฟังเสียงจากประชาชนมาแล้วว่าไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ โดยหลักการ กมธ.ยกร่างก็ต้องแก้ไขตาม แต่ถ้าไม่แก้ตามที่สภาที่ปรึกษาฯ ไปสะท้อนเสียงประชาชนไว้ก็คาดหมายได้เลยว่าร่างรัฐธรรมนูญก็จะไม่ผ่านประชามติด้วย
“พอสภาที่ปรึกษาไปรับฟังความเห็นของประชาชนมา ก็ต้องมาสะท้อนแล้วถ้ามีประเด็น สมมติร่างรัฐธรรมนูญใหม่นี้ถูกส่งไปที่สภา สภาก็จะต้องรับฟัง แต่ถ้าไม่รับฟังประชาชนก็อาจจะไปลงมติให้ร่างไม่ให้ผ่าน”
อย่างไรก็ตาม ณัชปกรบอกว่า เขายอมรับตรงๆ ว่าการสภาที่ปรึกษาฯ ไม่ได้มีอำนาจไปแก้ไขเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงเพราะไม่เช่นนั้นก็จะไปขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็ทำให้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญดีขึ้นเพราะว่าอย่างน้อยก็เป็นผู้ที่เข้ามาโดยประชาชนให้ความไว้วางใจในการทำหน้าที่ตรวจสอบย กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้เขาอธิบายต่อว่า เมื่อเปลี่ยนจากสภาที่ปรึกษาฯ มาเป็น กมธ.รับฟังแล้วโดยการออกแบบก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวเพราะว่า เดิมสภาที่ปรึกษาฯ จะเป็นตัวแทนเชิงพื้นที่ของพี่น้องประชาชนจากทุกจังหวัดตามสัดส่วนประชาชกร แต่เมื่อกลายเป็น กมธ.รับฟังความเห็นฯ แล้วก็เหลือแค่ 35 ที่นั่ง ในความเห็นเขาอย่างน้อยก็ต้องมีตัวแทนจากจังหวัดละคน ก็เป็นความล้มเหลวที่หนึ่ง
ตัวแทน CALL กล่าวว่า นอกจากนั้นตามที่มีการเปรยกันออกมาแล้วก็คือจะให้รัฐสภาเป็นคนคัดเลือก ก็ไปซ้ำซ้อนกับ กมธ.ยกร่างฯ เพราะว่ามีที่มาเดียวกันคือให้สมาชิกรัฐสภาเป็นคนเลือกเหมือนกันถ้าจะต้องมาทำหน้าที่ถ่วงดุลกันก็เป็นเรื่องแปลกมาก ก็เลยรู้สึกว่าสภาที่ปรึกษาฯ ที่ได้มาจากการเลือกตั้งเท่ากับมีที่มาต่างกัน ก็มีแนวโน้มที่จะถ่วงดุลกันได้เพราะความชอบธรรมเท่ากัน และเมื่อ กมธ.รับฟังความเห็นมีที่มาจากรัฐสภาก็จะกลายเป็นกลไกของรัฐสภา ไม่ใช่กลไกรับฟังความเห็นที่สะท้อนเสียงหรือความต้องการของประชาชนจริงๆ
ณัชปกรมองว่า หากที่มาของ กมธ.รับฟังความเห็นฯ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าจะทำให้เป็นกลไกที่ดีกว่านี้ได้อย่างไร เพราะว่าคนที่เข้ามาเป็น กมธ.ก็ต้องได้รับการยอมรับในเรื่องการรับฟังความเห็น แต่เขาก็ยังไม่เห็นตัวคนว่าจะเป็นใครที่ได้รับการยอมรับแบบนั้น
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขายังไม่แน่ใจนักว่าสุดท้ายแล้ว กมธ.รับฟังความเห็นจะมีที่มาจากอะไร หรือจะเป็นแบบเดียวกับ กมธ.ยกร่างหรือไม่ แต่จำนวนคนใน กมธ.รับฟังความเห็นที่ตอนนี้มีการเสนอมาจากกรวีย์ ปริศนานันทกุล กมธ.พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ของพรรคภูมิใจไทยเสนอเข้ามาตอนนี้มีอยู่ 35 คนแต่ตอนนี้ตัวเลขที่แท้จริงเป็นอย่างไรยังไม่รู้ แต่ถึงอย่างไร กมธ.รับฟังความเห็นกับสภาที่ปรึกษาฯ ถูกออกแบบมาต่างกันเพราะคนที่จะมานั่งในสภาที่ปรึกษาฯ ต้องยึดโยงกับประชาชนมากที่สุดแล้วเข้าไปใช้อำนาจต่อรองในการอภิปราย
“แต่ตอนนี้เป็นน้ำบ่อเดียวกันนะ ต่อให้ใช้สูตร 20 หยิบ 1 ก็จะมีสัดส่วนเท่ากันทั้ง กมธ.รับฟังความเห็นทั้ง กมธ.ยกร่างจะถ่วงดุลกันยังไง สมมติว่า 35 คนนี้ได้เป็นบอร์ดใหญ่แล้วไปตั้งอนุ กมธ.ทุกจังหวัดเลย ผมถามว่าอนุ กมธ.ทุกจังหวัดที่เกิดขึ้นนี้จะทำงานเพื่อใครระหว่าง กมธ.รับฟังความเห็นหรือประชาชนในพื้นที่ มันถึงเป็นปัญหาว่าการออกแบบมันมีปัญหา ถ้าเราเลือกตั้งมันจะเป็นจากล่างขึ้นบน แต่แบบนี้เป็นจากบนลงล่าง”
หน้าตา รธน.จะเป็นอย่างไร?
ทั้งนี้เมื่อถามว่าถ้าสถานการณ์เรื่อง กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญกับ กมธ.รับฟังความเห็นเดินหน้าไปโดยไม่มีส่วนไหนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเลยแบบนี้ รัฐธรรมนูญใหม่ที่จะได้ออกมาน่าจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
“อย่างดีที่สุดที่จะเป็นไปได้ ผมมองว่าจะได้รัฐธรรมนูญแบบ 2540 ก็พอรับได้แม้จะมีช่องโหว่อยู่ แต่ก็ยังมีแนวโน้มที่จะออกมาแย่กว่านั้นเพราะตอนนี้ยังไม่เห็นการเตรียมโจทย์ การมีส่วนร่วม ข้อเสนอของนักวิชาการและเรายังไม่เห็นบรรยากาศที่ประชาชนเห็นปัญหาหรือโจทย์ร่วมกัน ทุกคนเห็นว่ารับธรรมนูญ 2560 มีปัญหา แต่ว่าบรรยากาศมันงงๆ ที่เกิดจากตลอดกระบวนการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ถูกทำให้ซับซ้อนวุ่นวาย เดี๋ยวต้องไปทำประชามติ มีคำถามนู่นนั่นนี่ เดี๋ยวไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ มันไม่ตรงไปตรงมา แล้วชนชั้นนำทำให้บรรยากาศซบเซาด้วย” ณัชปกรตอบ
ณัชปกรอธิบาย โดยดูจากบทเรียนการร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่นอกจากจะสำเร็จในแง่ของการมีส่วนร่วมของประชาชนแล้วยังมีโจทย์ที่ชัดว่าจะแก้ปัญหาเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน เสถียรภาพการเมือง และให้มีการเลือกตั้งแบบคู่ขนานคือมีการเลือกตั้ง สส.และ สว.เพื่อไม่ให้รัฐบาลแข็งแกร่งมากเกินไป และยังให้มีศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระขึ้นมาด้วย คือมีโจทย์ที่ตั้งมาชัดว่าต้องการแก้ปัญหาอะไร มีการทำข้อเสนอเบื้องต้นไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องทำอะไรบ้าง อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากภาคประชาชนในการจะเขียนรัฐธรรมนูญใหม่
“มันเลยเป็นเครื่องมือแห่งความหวังทุกคนอยากเข้าไปมีส่วนร่วม รัฐธรรมนญู 40 มันจึงประสบความสำเร็จระดับหนึ่งและได้รับการยอมรับว่าเป็นรัฐญธรรมนูญฉบับประชาชน”
ทั้งนี้แม้ว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังจัดทำกันอยู่ตอนนี้ก็มีกลไกคล้ายกับตอนจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ 2540 แต่ว่าก็มีส่วนที่ขาดหายไปเยอะเพราะว่า เพราะจากที่จะมี สสร.แบบแม่น้ำ 2 สาย แล้วค่อยให้ สสร.มาตั้ง กมธ.ยกร่าง แต่ตอนนี้เหลือแค่ กมธ.ยกร่างที่ให้สมาชิกรัฐสภาเป็นคนเลือกส่วนสภาที่ปรึกษาฯ ก็ไม่มีแล้ว ทำให้ตอนนี้การเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนมีช่องทางจำกัดมากเพราะทุกอย่างรวมศูนย์อยู่ที่รัฐสภา
นอกจากนั้น ณัชปกรยังไม่เห็นว่า การพูดคุยกันในสภาตอนนี้ยังไม่ได้ตั้งโจทย์ว่าจะแก้ปัญหาการเมืองอะไรบ้าง เช่น จะแก้ปัญหาสิทธิเสรีภาพอย่างไร แก้ปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง แก้ปัญหาเรื่องบทบาทองค์กรอิสระหรือศาลรัฐธรรมนูญอย่างไร ซึ่งรัฐธรรมนูญที่ออกมาอาจจะดีก็ได้ถ้าตั้งโจทย์ให้ชัดว่าจะเขียนอะไรลงไปในรัฐธรรมนูญบ้างให้สอดคล้องกับปัญหา อีกทั้งตอนนี้บรรยากาศที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องรัฐธรรมนูญต่างกับตอนปี 2540 อย่างมาก
ความเสี่ยงที่จะไม่ผ่านประชามติ
ณัชปกรเห็นว่าสุดท้ายแล้วยังพอจะปรับแก้ต่อได้ในการพิจารณาของสภาในวาระที่ 2 เพราะตอนนี้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ยังอยู่ในชั้นกรรมาธิการวิสามัญ เรื่องจะมีการเลือกตั้งหรือไม่นั้นหากกลับไปดูที่ร่างหลักที่พรรคประชาชนเป็นผู้เสนอ ถ้าพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน และพรรคประชาชาติ อาจรวมถึงพรรคอื่นๆ ด้วยที่เห็นตรงกันว่าจะต้องมีการเลือกตั้งก่อนเพื่อให้เกิดการเลือกตั้งทางอ้อมแล้วร่วมกันโหวตก็อาจจะยังทัน แต่ถ้าพ้นวาระที่สองไปแล้วการจะปรับแก้ไขเนื้อหาคงไม่ทันแล้ว
“ถ้าจะปรับเนื้อหาอีกทีก็คงเป็นตอนที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ไม่ผ่านตอนให้ประชาชนทำประชามติก็จะไปแก้กันตอนนั้นเลย”
แต่เมื่อถามว่าถ้าจะต้องรอไปถึงตอนที่ให้ประชาชนมาโหวตว่ารับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่มีการเลือกตั้งนี้เลย ก็เท่ากับว่าจะต้องมีอยู่ในคำถามประชามติด้วยเลยหรือไม่ว่าอยากจะให้มีเลือกตั้งผู้ร่างรัฐธรรมนูญเลยใช่หรือไม่
ณัชปกรตอบว่าใช่ แต่ตัวเขาเองคิดว่าไม่น่ามีคำถามนี้อยู่ในคำถามประชามติ แต่เดิมเขาเคยเสนอว่าหากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ออกมาแย่มาก ที่ผ่านมาเขามองว่าการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ครั้งนี้เวลาพูดเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนเข้ามาอยู่ได้ 3 ขั้นตอน
- ขั้นตอนแรกก็คือช่วงต้นน้ำ คือ ประชาชนได้เลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่
- ขั้นที่สองคือ ขั้นตอนยกร่างมีการรับฟังเสียงจากประชาชนหรือไม่
- ขั้นสุดท้ายคือประชาชนได้ออกเสียงประชามติว่าจะรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ออกมาหรือไม่
เขาอธิบายต่อว่าในช่วงต้นน้ำก็ยังแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ สีเขียวคือได้เลือกตั้งโดยตรง สีเหลืองคือเลือกตั้งทางอ้อม และสีแดงคือแต่งตั้งผู้ร่างเข้ามา ในมุมของเขาคือตอนนี้ยังเป็นสีเหลืองตรงที่สมาชิกรัฐสภาเป็นผู้เห็นชอบเลือกผู็ร่างเข้ามา ก็ยังมีความเป็นประชาธิปไตยอยู่ในระดับหนึ่งแต่ก็ไม่ได้มากนักเพราะยังมีส่วนของ สว.ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
“การะจสู้ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในช่วงต้นน้ำนี้ทำให้มันเป็นสีเขียวได้มั้ย หยั่งเสียงประชาชนหรือทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมก่อนเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ว่า คนที่มาร่างมีนโยบายแบบนี้ มีอุดมการณ์แบบนี้ มันเกิดบรรยากาศถกเถียงกันว่าคนที่จะมาร่างรัฐธรรมนูญเสนอโจทย์อะไรไว้ มีวิธีแก้ปัญหาของโจทย์นี้อย่างไร เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มาคุยกันเรื่องนี้ก่อนก็อาจจะทำให้โดยการออกแบบ กมธ.จะเป็นเหลืองก็ยังเข้าใกล้เขียวได้มากที่สุด”
ส่วนช่วงการร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นช่วงกลางน้ำ อาจจะบอกว่า กมธ. 35 คนมาจากการร่วมศูนย์ของรัฐสภาเป็นคนเลือก แต่ถ้าเลือกคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในกระบวนการรับฟังความเห็นมากพอแล้วให้ประชาชน ภาคประชาสังคม หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในประเด็นต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญได้ก็จะทำให้เข้าใกล้สีเขียวในมุมมองของเขามากขึ้นได้เช่นกัน แต่ตอนนี้มีอย่างเดียวที่ยังทำให้เป็นสีเขียวอยู่คือ ประชาชนยังมีอำนาจในการออกเสียงประชามติว่าจะรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อยู่ แต่ที่เหลือเป็นสีเหลืองหมดแล้วในความเห็นของเขา
“แต่การทำประชามติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญสุดท้ายทำให้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ดีขึ้นได้หรือยังในข้อเสนอที่มีอยู่ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าทำได้ตอบคำถามตอนนี้กระบวนการต้นน้ำมันเป็นสีเหลืองอยู๋ คุณพยายามทำอะไรให้เข้าใกล้สีเขียวได้มากที่สุด กลางน้ำพยายามทำให้สีเหลืองเข้าใกล้สีเขียวได้มากที่สุดอย่างไร ถ้าตอบตรงนี้ชัดประชาชนก็อาจจะมีโอกาสรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ตอนออกเสียงประชามติ”
ณัฐปกรมองว่าหากเป็นสีแดงหมดตั้งแต่ต้นน้ำคือประชาชนไม่ได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมเลยตั้งแต่ต้นคือทั้งไม่ได้เลือกผู้ร่างฯ ทั้งไม่ถูกรับฟังเสียง เขาก็เห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะปล่อยให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทำกันอยู่นี้เดินหน้าไปถึงขั้นตอนการทำประชามติ เพราะเรารู้แน่ๆ ว่าประชาชนจะไปโหวตไม่รับ เขาไม่เห็นเหตุผลที่จะปล่อยให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น และมีคำถามตามมาว่าหากจะยังปล่อยให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกมาโดยที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมเลยแบบนี้ รัฐบาลอนุทินควรจะยังอยู่ต่อไปหรือเปล่า
20 หยิบ 1 การันตีที่นั่งให้ สว.เลือก 10 ที่นั่ง
เมื่อถามว่าสิ่งที่่น่ากลัวที่สุดตอนนี้คือการที่ยังต้องใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ต่อไปเรื่อยใช่หรือไม่
เรื่องนี้ณัชปกรมองว่าน่ากลัวทั้งตอนที่ประชาชนมาออกเสียงประชามติว่าไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็จะยังต้องอยู่กับรัฐธรรมนูญ 2560 ต่อ หรือในส่วนของคำถามที่สองหากกลไกการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำถูกกินรวมโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็เหมือนกลับไปสู่รัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับใหม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นทางที่ลำบากทั้ง 2 กรณี
เมื่อถามต่อไปว่าเขามีความเห็นอย่างไรกับสูตร 20 หยิบ 1 ในสถานการณ์ตอนนี้เพราะสูตรที่ให้ สส.และสว.รวมกลุ่มกัน 20 คนแล้วเลือกได้ 1 คนนี้ หากคำนวนคร่าวๆ สว.ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งก็อาจรวมกลุ่มกันเลือกทั้ง กมธ.ยกร่างฯ 10 คน และ กมธ.รับฟังความเห็นอีก 10 คน แม้ว่าประเด็นที่กำลังเป็นข่าวตอนนี้มีคำถามกันมากคือพรรคประชาชนจะได้ สส.ถึง 200 ที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ประเด็นนี้ ณัชปกรเห็นว่า สูตร 20 หยิบ 1 นี้แม้ว่าจะมีข้อดีคือทำให้ได้ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญเป็นไปตามสัดส่วนสมาชิกในรัฐสภา แต่ก็มีปัญหาที่ไปการันตีที่นั่งให้ สว.ที่มีความไม่ชอบธรรมสูงอยู่ถึง 10 ที่ สิ่งที่เขากลัวก็คือว่า พรรคภูมิใจไทยจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่เพราะหากตัดส่วนของ สว.ออกไปแล้ว กมธ.ยกร่างก็จะเหลือแค่ 25 ที่สำหรับให้ สส.เป็นคนเลือก ถ้าพรรคใดได้เป็นรัฐบาลก็จะมีโอกาสได้เลือก กมธ.ยกร่างถึง 13-14 ที่
“ถ้าพรรคภูมิใจไทยได้เป็นรัฐบาลต่อ แล้วก็มีเสียงของ สว.อยู่แล้วก็จะทำให้ฝ่ายเขาเป็นเสียงข้างมาก เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งครั้งหน้าก็จะเป็นการสู้กับเสียง สว.ไปโดยปริยาย”
ณัชปกรเล่าว่าเขาเคยเสนอโมเดลหนึ่งไว้ตอน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ เปิดรับฟังความเห็นก็คือ การให้ความเห็นชอบผู้ที่จะเข้าไปเป็น กมธ.ยกร่างฯ ว่าควรจะใช้วิธีเดียวกับการออกกฎหมายระดับพระราชบัญญัติคือ ให้ สส.เป็นคนเลือกก่อน แล้วก็ส่งไป สว.พิจารณา หาก สว.วีโต้กลับมาถ้า สส.ยืนยันให้ความเห็นชอบก็ให้ผ่านรัฐสภาไปเลย ถ้าแบบนี้ก็จะทำให้เสียงของ สส.ที่ได้รับการเลือกตั้งมาเป็นเสียงหลักในการเลือก กมธ.ยกร่างฯ แต่โมเดลที่เขาเสนอนี้ กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ก็ไม่ได้รับไปซึ่งเขาเห็นว่าทุกข้อเสนอล้วนเป็นการต่อรองกันทางการเมืองทำให้ข้อเสนอนี้ไม่เกิดขึ้น แล้วก็ยังมีความกังวลว่าการให้ สส.เห็นชอบก่อนแล้วให้ สว.มาให้ความเห็นชอบอีกทีจะไม่ใช่การพิจารณาให้ความเป็นชอบด้วยกันของสมาชิกรัฐสภา
“ต้องยอมรับว่าการใช้วิธี 20 หยิบ 1 นี้ สว.เขามีฐานที่มั่นแน่ๆ แต่เขาก็คงไม่ได้ครบทั้งหมด 10 เสียงหรอก สว.ที่เป็นเสียงมากและเป็นสีน้ำเงินเขาก็มี 160 เสียง ก็ได้ประมาณ 8 ที่แต่ก็เปิดให้ สว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ กลุ่มอิสระหรืออะไรก็ตามมี 1-2 ที่ แต่ก็ต้องมาดูฝั่ง สส.กันว่าแต่ละพรรคได้ สส.กันเท่าไร่แล้วพรรคที่เป็นรัฐบาลที่ใกล้ชิดกับภูมิใจไทยก็มีโอกาสจะเป็นเสียงข้างมากใน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ”
ทั้งนี้สุดท้ายณัชปกรมองว่าสุดท้ายแล้วหากสถานการณ์เลื่อนไหลไปจนถึงตอนรัฐบาลออกคำถามประชามติออกมาไม่ดี การร่วมมือกันระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคเพื่อไทยจะเป็นกระสุนนัดสุดท้ายที่จะสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ได้ แต่สองพรรคนี้ต้องคุยกัน











