
‘สภาผู้บริโภค’ จี้ ‘อนุทิน’ เร่งเดินหน้านโยบาย ‘โซลาร์รูฟประชาชน’ ตามที่เคยให้คำมั่นไว้ก่อนเลือกตั้ง ต้องทำให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ย้ำ ‘พูดแล้วต้องทำ’ ชี้ ช่วยประชาชนลดภาระค่าไฟฟ้าได้จริง ชง กระทรวงพลังงาน-ครม. 4 ข้อเสนอเร่งด่วน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranew.org) รายงานว่า วันที่ 22 พฤศจิกายน 2568 สภาผู้บริโภค ส่งข่าวเพื่อเผยแพร่ โดยระบุว่า กรณีที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เร่งรัดดำเนินการโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชน (RE Mountainous Lot) และโซลาร์ฟาร์มชุมชน รวมกว่า 3,500 เมกะวัตต์ ทั้งที่ประเทศไทยมีไฟฟ้าล้นระบบ เสี่ยงทำให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าแพงขึ้นในระยะยาว
สภาผู้บริโภคเสนอให้รัฐบาลเร่งเดินหน้าโครงการติดตั้งโซลาร์รูฟให้ประชาชนตามที่รัฐบาลเคยหาเสียงไว้จะดีกว่า เพราะช่วยลดภาระค่าไฟ และเพิ่มรายได้ในครัวเรือนได้จริง
@ โซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ ‘ประชาชนไม่ได้ประโยชน์’
น.ส.รสนา โตสิตระกูล ประธานอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชนที่ภาครัฐผลักดันจำนวน 1,500 เมกะวัตต์ แม้จะมีชื่อว่า ‘ชุมชน’ แต่ในความเป็นจริง ประชาชนมีส่วนร่วมเพียง 10% อีก 90% เป็นเงินลงทุนจากคนนอกพื้นที่ หรือ กลุ่มทุนภายนอก ส่งผลให้ผลประโยชน์ไม่ตกกลับสู่ชุมชนตามเจตนารมณ์ของนโยบาย
“ชุมชนต้องไปขออนุญาตยุ่งยาก กว่าจะเริ่มโครงการได้ก็ช้า ส่วนผลตอบแทนประชาชนได้แค่ 10% แทบไม่ได้อะไรเลย นี่ไม่ใช่การสร้างพลังงานให้ชุมชนอย่างแท้จริง”น.ส.รสนากล่าว
น.ส.รสนากล่าวว่า รัฐควรหันมาหนุนการติดตั้งโซลาร์รูฟบนหลังคาบ้านเรือนทั่วประเทศ โดยให้ประชาชน ผลิตไฟฟ้าใช้เอง และขายไฟส่วนเกินให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ผ่านระบบ เน็ตบิลลิ่ง ( Billing) คือเมื่อประชาชนผลิตไฟฟ้าเหลือใช้แล้ว สามารถจำหน่ายไฟฟ้าส่วนเกินให้กับกฟภ.ได้ โดยหักลบจากค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายทุกเดือน หรือหากเป็นไปได้ควรใช้ระบบ เน็ตมิเตอร์ริ่ง ( Metering) ที่ประชาชนสามารถนำไฟฟ้าที่ผลิตได้มาหักลบกับจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่นำมาใช้ได้
“ถ้าประชาชนผลิตไฟได้ 150 หน่วย ใช้ไป 300 หน่วย ก็จ่ายแค่ส่วนต่าง นี่คือการลดรายจ่ายที่จับต้องได้เลย ในยุคที่เศรษฐกิจย่ำแย่ รายได้ไม่พอ รายจ่ายเพิ่ม การให้ประชาชนผลิตไฟเองคือการสร้างรายได้ทางอ้อม และที่สำคัญนโยบายติดตั้งโซลาร์รูฟที่บ้านประชาชน เป็นนโยบายที่พรรคภูมิใจหาเสียงไว้ และควรทำให้สำเร็จใน 4 เดือนนี้ ไม่งั้นจะเป็นการย้ำว่าพูดแล้วไม่ทำ และประชาชนจะไม่เชื่อถืออีกต่อไป”น.ส.รสนากล่าว
@ นโยบายพลังงาน ประชาชนต้องมีทางเลือก
น.ส.รสนา กล่าวว่า จากสถานการณ์ค่าไฟที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นโยบายโซลาร์รูฟภาคประชาชนคือ ‘คำตอบที่รัฐยังไม่ให้’ ทั้งที่เป็นมาตรการที่ประชาชนได้ประโยชน์ เช่น ช่วยลดค่าไฟฟ้ารายเดือน เพิ่มรายได้หากขายไฟส่วนเกิน ลดความสูญเสียในระบบไฟฟ้า เพราะมีแหล่งผลิตอยู่ในพื้นที่ คือบ้านเรือนประชาชน ลดโอกาสไฟตกไฟดับ เนื่องจากกระจายแหล่งผลิตใกล้ผู้ใช้
“ถ้ารัฐจะเปิดให้เอกชนรายใหญ่ขายไฟให้โรงงานได้ ทำไมประชาชนถึงขายไฟให้รัฐไม่ได้ การซื้อไฟจากโซลาร์รูฟในพื้นที่จะช่วยลดการสูญเสียในระบบการส่งไฟฟ้าด้วยซ้ำ รัฐควรเปิดทางให้ประชาชนมีส่วนร่วม ไม่ใช่เปิดประตูให้แต่กลุ่มทุนรายใหญ่”น.ส.รสนากล่าว

น.ส.รสนากล่าวว่า สำหรับโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชน 2.70 บาทต่อหน่วยที่กำลังถูกผลักดัน ซึ่งมีลักษณะเอื้อให้การซื้อไฟฟ้าระหว่างกลุ่มทุนรายใหญ่ (RE Mountainous Lot) มากกว่าประชาชนทั่วไป โดยเตือนว่า ถ้ารัฐเปิดโอกาสให้ทุนใหญ่ขายไฟฟ้าได้ตามต้องการ แต่ไม่เปิดให้ประชาชนขายไฟเลย ประชาชนจะไม่มีวันลุกขึ้นมาพึ่งตัวเองได้ สภาผู้บริโภคเตรียมยื่นข้อเสนอเร่งด่วนต่อกระทรวงพลังงานและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้แก่
1. เปิดรับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟภาคประชาชนในระดับพื้นที่
2. ใช้ระบบเน็ตมิเตอร์ริ่งเพื่อลดค่าใช้จ่ายครัวเรือน
3. ทบทวนอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่เอื้อทุนใหญ่
4. จัดกลไกสนับสนุนเงินกู้ เงินสมทบสำหรับครัวเรือนรายได้น้อยที่ต้องการติดตั้งโซลาร์รูฟ
“ประเทศไทยต้องให้ประชาชนเป็นเจ้าของพลังงาน ไม่ใช่มีแค่กลุ่มทุนรายใหญ่ที่ได้ประโยชน์ การเปิดทางให้ประชาชนผลิตไฟ ขายไฟ และลดค่าใช้จ่ายของตัวเอง คือการสร้างความมั่นคงทางพลังงานที่แท้จริง”น.ส.รสนากล่าว













