พบ “เชื้อราลึกลับสีดำ” ที่เชอร์โนบิล คาดว่าช่วยกินกัมมันตภาพรังสีได้

ที่มาของภาพ : Getty Images

Article Data
    • Creator, อเล็กซ์ ไรลีย์
    • Blueprint, บีบีซี ฟิวเจอร์

ในเดือนเมษายน ปี 1997 ทีมสำรวจของดร.เนลลี ซดาโนวา เข้าไปยังสถานที่ซึ่งมีกัมมันตภาพรังสีระดับสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก นั่นก็คือซากปรักหักพังที่ถูกทิ้งร้างของโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์เชอร์โนบิล ในขณะนั้นเธอเห็นได้ในทันทีว่า ตัวเองไม่ได้อยู่ตามลำพัง ในฐานะสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวในซากปรักหักพังแห่งนี้

ทั่วผนัง, เพดาน, และภายในท่อโลหะที่หุ้มปกป้องสายไฟ ล้วนเต็มไปด้วยเชื้อราที่เจริญเติบโตอย่างเต็มที่ ภายในบริเวณที่เคยคิดกันว่ามีสภาพที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตมากที่สุด

ส่วนทุ่งหญ้าและผืนป่าด้านนอกของโรงไฟฟ้านั้น สิ่งมีชีวิตบางชนิดอย่างหมูป่าและหมาป่าในธรรมชาติ กลับเพิ่มจำนวนประชากรขึ้นอีกครั้ง หลังจากไม่มีมนุษย์ย่างกรายเข้ามาในสถานที่แห่งนี้นานหลายสิบปี แต่ถึงกระนั้น ยังคงมีจุดอันตรายบางจุดที่พบกัมมันตภาพรังสีในระดับสูงมาก ซึ่งแผ่ออกมาจากวัสดุต่าง ๆ ที่ถูกเหวี่ยงกระเด็นออกมาจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในตอนที่มันsะเบิดขึ้น

คราบเชื้อราสีดำที่แผ่กว้างไปทั่วนั้น ก่อตัวขึ้นจากเชื้อราสองสามสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน พวกมันมีพฤติกรรมที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง โดยดูเหมือนว่าเชื้อราเหล่านี้จะไม่ได้เข้ามาเติบโตภายในซากของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เพียงเพราะไม่มีคนคอยดูแลทำความสะอาดเท่านั้น

ผลการศึกษาวิจัยของดร.ซดาโนวา ซึ่งตรวจสอบเนื้อดินในเขตพื้นที่โดยรอบของเชอร์โนบิลกลับพบว่า แท้จริงแล้วเชื้อราเหล่านี้เจริญเติบโตมาจากรอบนอก แล้วค่อย ๆ แผ่ขยายตัวคืบคลานเข้าหาอนุภาคกัมมันตรังสีที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณ จนในที่สุดก็แผ่เข้าไปถึงศูนย์กลางของการsะเบิด ภายในอาคารที่บรรจุเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์นั่นเอง

หลังจากที่ได้ติดตามศึกษาทิศทางการเจริญเติบโตของเชื้อราสีดำหลายครั้ง ผลวิจัยของดร.ซดาโนวาได้ปฏิวัติความเชื่อดั้งเดิม เกี่ยวกับผลกระทบของกัมมันตภาพรังสีต่อสรรพชีวิตบนโลก ซ้ำยังให้ความหวังต่อการทำความสะอาดสถานที่ปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสี และยังอาจนำไปประยุกต์ใช้เพื่อหาทางป้องกันมนุษย์อวกาศจากรังสีคอสมิกที่เป็นอันตราย เมื่อพวกเขาต้องออกเดินทางท่องไปในห้วงอวกาศลึกอีกด้วย

เมื่อ 11 ปีก่อน ในตอนที่ทีมของดร.ซดาโนวายังไม่ได้เข้าไปสำรวจซากปรักหักพังของเชอร์โนบิล การทดสอบความปลอดภัยของเตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 ที่มีขึ้นเป็นประจำ ได้กลับกลายเป็นอุบัติภัยทางนิวเคลียร์ครั้งร้ายแรงที่สุดของโลก ข้อผิดพลาดหลายอย่างที่เกิดจากการออกแบบและการควบคุมเตาปฏิกรณ์ ทำให้เกิดการsะเบิดครั้งใหญ่ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 26 เม.ย. ปี 1986

ผลที่ตามมาก็คือ การปะทุปลดปล่อยไอโอดีนกัมมันตรังสีปริมาณมหาศาลในครั้งเดียวจากใจกลางเตาปฏิกรณ์ ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยเสียชีวิตทันทีในวันแรก ๆ และยังส่งผลให้คนจำนวนมากต้องเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง ในช่วงหลายปีหลังจากนั้น

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

End of ได้รับความนิยมสูงสุด

เพื่อเร่งลดความเสี่ยงต่อการได้รับพิษจากกัมมันตภาพรังสี ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ในระยะยาว ทางการได้ประกาศให้รอบโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลในรัศมี 30 กิโลเมตร เป็นเขตหวงห้าม (exclusion zone) ที่ผู้ใดก็ไม่อาจเหยียบย่างเข้าไปได้ แต่ถึงกระนั้น มาตรการดังกล่าวกลับเปิดทางให้เชื้อราสีดำ แผ่ขยายตัวเข้าครอบครองพื้นที่ดังกล่าวอย่างเงียบ ๆ

งานวิจัยของดร.ซดาโนวา ค้นพบว่าเส้นใยของเชื้อราสีดำแห่งเชอร์โนบิลนั้น ถูกกัมมันตภาพรังสีที่มีประจุไฟฟ้าดึงดูดให้เข้าไปหา (radiotropism) ไม่ต่างจากการเติบโตของพืชหรือไม้เลื้อย ที่มักจะขยายกิ่งก้านสาขาเข้าหาแสงอาทิตย์เสมอ ทว่าอนุภาคของสารกัมมันตรังสีนั้น ทรงพลังเหนือกว่าแสงอาทิตย์หลายเท่า จนสามารถทำลายดีเอ็นเอและโปรตีนในเซลล์ร่างกาย เหมือนกับกระสุนที่เจาะทะลุทะลวงเนื้อคน ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดการกลายพันธุ์ จนเซลล์ต่าง ๆ และสิ่งมีชีวิตนั้นต้องเสียชีวิตในที่สุด

ที่มาของภาพ : Germán Orizaola/Pablo Burraco

กัมมันตภาพรังสีที่มีประจุไฟฟ้า อาจทำให้กบต้นไม้ภายในเขตหวงห้ามของเชอร์โนบิลมีผิวสีดำคล้ำขึ้น (ซ้าย) เมื่อเทียบกับกบสายพันธุ์เดียวกันที่อยู่ด้านนอก (ขวา)

นอกจากเชื้อราสีดำที่ชื่นชอบกัมมันตภาพรังสีแล้ว ทีมวิจัยของดร.ซดาโนวา ยังค้นพบเชื้อราธรรมดาอีก 36 ชนิด ที่เป็นญาติห่าง ๆ ของเชื้อราสีดำดังกล่าว พากันเจริญเติบโตอยู่โดยรอบโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลด้วย

ในอีก 20 ปีต่อมา งานวิจัยชิ้นบุกเบิกของเธอได้ส่งผลกระทบสำคัญที่แผ่ขยายออกไปถึงนอกประเทศยูเครน เนื่องจากสามารถบ่งชี้ถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตแบบใหม่บนโลก ซึ่งดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยกัมมันตภาพรังสีแทนที่จะเป็นแสงอาทิตย์ ผลวิจัยของเธอยังก่อกำเนิดแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซา ในการหาหนทางใช้ประโยชน์จากเชื้อราพิเศษชนิดนี้ โดยคาดว่าจะนำไปทำเป็นเกราะห่อหุ้มนักบินอวกาศ เพื่อป้องกันไม่ให้ได้รับอันตรายจากรังสีคอสมิกในระยะยาว

เชื้อราหลายชนิดที่พบในเขตหวงห้ามของเชอร์โนบิล มีสีดำคล้ำเข้มเพราะผนังเซลล์ของมันเต็มไปด้วย “เมลานิน” (melanin) ซึ่งก็คือเม็ดสีที่ทำให้คนเรามีสีผิวและสีผมแตกต่างกัน โมเลกุลของเมลานินพบได้ในสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก ทั้งยังมีสีอ่อนแก่ได้ต่างกัน ตั้งแต่สีดำเข้มไปจนถึงสีน้ำตาลแดง

คนผิวคล้ำหรือผิวดำที่มีเมลานินอยู่มาก ผิวของพวกเขาจะมีเม็ดสีที่เป็นเกราะป้องกันรังสีอัลตราไวโอเล็ตหรือยูวี (UV) อยู่มากกว่าคนผิวขาว ส่วนเชื้อราสีดำที่ชอบกินกัมมันตภาพรังสีนั้น ดร.ซดาโนวาตั้งข้อสันนิษฐานว่า พวกมันอาจใช้เมลานินที่มีอยู่มากในตัว เป็นเกราะป้องกันอันตรายจากกัมมันตภาพรังสีที่มีประจุไฟฟ้าด้วย

ไม่ใช่แค่เชื้อราที่ใช้ประโยชน์จากการปกป้องของเมลานิน เพื่อเอาชีวิตให้รอดจากภาวะสุดขั้วในเขตอันตราย กบสีดำหรือสีคล้ำที่เซลล์ผิวของมันมีความเข้มข้นของเมลานินในระดับสูง สามารถจะดำรงชีวิตและสืบพันธุ์ในบริเวณโดยรอบโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลได้ดีกว่า จนปัจจุบันประชากรกบส่วนใหญ่ในแถบนั้น ได้กลายเป็นกบผิวสีดำคล้ำไปทั้งหมดแล้ว

อย่างไรก็ตาม เมลานินไม่ได้ปกป้องผิวด้วยกลไกแบบเดียวกับเกราะกันกระสุนของทหาร ซึ่งใช้พื้นผิวที่เรียบแข็งสะท้อนลูกกระสุนให้แฉลบออกไป ในทางตรงกันข้าม อนุภาคกัมมันตรังสีและยูวีจะถูกโครงสร้างที่ไม่เป็นระเบียบของเมลานินดูดกลืน จนพลังงานของรังสีอันตรายเกิดการกระจายตัวออกห่างจากสิ่งมีชีวิต นอกจากนี้เมลานินยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยทำให้อนุภาคมีประจุไฟฟ้าในร่างกายของสิ่งมีชีวิต ซึ่งมักเกิดจากการได้รับกัมมันตภาพรังสี กลับคืนสู่สถานะปกติที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพด้วย

เมื่อปี 2007 ดร.เอคาเทอรีนา ดาดาโชวา นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่นครนิวยอร์กของสหรัฐฯ ค้นพบว่าเชื้อราสีดำที่ดร.ซดาโนวาเคยทำการศึกษา ไม่เพียงแต่จะเติบโตในทิศทางที่เข้าหาแหล่งกัมมันตภาพรังสีเท่านั้น ยังเจริญเติบโตได้ดีขึ้นในภาวะที่มีกัมมันตภาพรังสีเข้มข้นขึ้นอีกด้วย โดยพบว่าเชื้อราสีดำแบบเดียวกับที่พบในโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล จะโตเร็วขึ้นถึง 10% ในสภาพแวดล้อมที่มีไอโซโทปกัมมันตรังสีของธาตุซีเซียม (Cs) ปะปนอยู่ด้วย

ดร.ดาดาโชวา ให้คำอธิบายต่อปรากฏการณ์นี้ว่า เชื้อราสีดำที่ได้รับกัมมันตภาพรังสี อาจใช้พลังงานจากการแผ่รังสีของธาตุซีเซียมดังกล่าวเพื่อสนับสนุนระบบเผาผลาญ (เมตาบอลิซึม) ซึ่งก็คือการใช้พลังงานจากกัมมันตภาพรังสีในการเจริญเติบโตนั่นเอง

ที่มาของภาพ : Elsevier/ Zhdanova et al. 2000

จานเพาะเชื้อราสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่นำมาจากหน่วยที่ 4 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล ซึ่งรวมถึง Cladosporium sphaerospermum จะเห็นได้ชัดว่าจานเพาะเชื้อที่มุมขวาบนมีสีดำคล้ำมากที่สุด

ผลการค้นพบของดร.ดาดาโชวา สอดคล้องกับข้อสันนิษฐานของดร.ซดาโนวา ที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า เชื้อราสีดำใช้ประโยชน์จากพลังงานของกัมมันตภาพรังสีในการดำรงชีวิต แต่สิ่งที่ดร.ดาดาโชวาค้นพบได้พิสูจน์ว่า เชื้อราสีดำไม่ได้แผ่ขยายเส้นใยเข้าหากัมมันตภาพรังสีเพียงเพื่อจะหาความอบอุ่น หรือต้องการผลของปฏิกิริยาบางอย่างระหว่างกัมมันตภาพรังสีกับสิ่งแวดล้อม ทว่าใช้พลังงานของกัมมันตภาพรังสีในการผลิตอาหารโดยตรง

ดร.ดาดาโชวาเรียกกระบวนการนี้ว่า “การสังเคราะห์ด้วยกัมมันตภาพรังสี” (radiosynthesis) โดยเชื้อราสีดำใช้เมลานินเป็นสารสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนกระบวนการนี้ ไม่ต่างไปจากพืชที่ใช้คลอโรฟิลล์ทำการสังเคราะห์ด้วยแสง “พลังงานที่ได้จากกัมมันตภาพรังสีที่มีประจุไฟฟ้า สูงกว่าพลังงานจากแสงสีขาวหรือแสงอาทิตย์ถึงหนึ่งล้านเท่า ดังนั้นเชื้อราสีดำจึงต้องการตัวแปลงพลังงาน (transducer) ที่ทรงประสิทธิภาพสูงกว่าคลอโรฟิลล์ในพืช ซึ่งเราเห็นว่าเมลานินสามารถทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่า โดยแปลงพลังงานระดับสูงยิ่งยวด ให้กลายมาเป็นพลังงานในระดับที่เชื้อราใช้งานได้” ดร.ดาดาโชวากล่าว

อย่างไรก็ตาม “การสังเคราะห์ด้วยกัมมันตภาพรังสี” ยังคงเป็นเพียงสมมติฐานที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ เมื่อใดที่นักวิทยาศาสตร์สามารถทำซ้ำกระบวนการดังกล่าวได้อีกครั้ง เมื่อนั้นก็จะพิสูจน์ได้ว่า กลไกทางพลังงานระหว่างเมลานินและกัมมันตภาพรังสีมีอยู่จริง นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังต้องค้นหาตัวรับ (receptor) ในโครงสร้างอันซับซ้อนของเมลานินให้ได้ด้วย เพื่อที่จะบ่งชี้ตัวการซึ่งสามารถเปลี่ยนกัมมันตภาพรังสีให้เป็นพลังงาน เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตของเชื้อราสีดำได้

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดร.ดาดาโชวาและคณะ เริ่มค้นพบเส้นทางของกระบวนการทางเคมี (pathway) และโปรตีนบางชนิด ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้กัมมันตภาพรังสีเป็นพลังงานของเชื้อราสีดำแล้ว อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าเชื้อราสีคล้ำทุกชนิดที่มีเมลานินในระดับสูง จะชื่นชอบกัมมันตภาพรังสีและเติบโตได้ดีในภาวะที่เป็นอันตรายดังกล่าว โดยผลการศึกษาของดร.ซดาโนวาในปี 2006 พบว่ามีเชื้อราสีดำคล้ำที่เชอร์โนบิลเพียง 9 ชนิด จากที่สำรวจพบทั้งหมด 47 ชนิด ซึ่งแสดงพฤติกรรมแผ่ขยายเส้นใยเข้าหาซีเซียม-137 ที่เป็นธาตุกัมมันตรังสี

ต่อมาในปี 2022 ทีมนักวิจัยจากห้องปฏิบัติการแห่งชาติแซนเดีย ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐนิวเม็กซิโกของสหรัฐฯ ทำการทดลองให้เชื้อราสองชนิดทั้งที่มีเมลานินสูงและแทบไม่มีเมลานิน ได้รับการฉายแสงยูวีและได้รับกัมมันตภาพรังสีจากซีเซียม-137 ซึ่งผลปรากฏว่าไม่พบความแตกต่างในอัตราการเจริญเติบโตแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามในปีเดียวกัน นาซาได้เผยผลการทดลองส่งเชื้อราสีดำสายพันธุ์ “คลาโดสปอเรียม สเฟียโรสเปอร์มัม” (Cladosporium sphaerospermum) ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกับที่ดร.ซดาโนวาพบที่เชอร์โนบิลไปยังห้วงอวกาศ โดยถูกเพาะเลี้ยงอยู่ที่สถานีอวกาศนานาชาติมาตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งผลปรากฏว่ามันสามารถเติบโตได้ดีเป็นพิเศษท่ามกลางรังสีคอสมิกที่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง

ที่มาของภาพ : Nils Averesch/ Aaron Berliner

เชื้อรา Cladosporium sphaerospermum ซึ่งผ่านการสกัดแยกมาจากเชื้อราชนิดต่าง ๆ ในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล แล้วนำมาเลี้ยงในจานเพาะเชื้อด้วยวุ้นน้ำตาลเดกซ์โทรสจากมันฝรั่ง มีการเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำในระดับสูงมาก

รังสีคอสมิกในห้วงอวกาศแตกต่างจากกัมมันตภาพรังสีทั่วไป เพราะมันคือพายุที่มองไม่เห็นของอนุภาคโปรตอน ซึ่งพัดด้วยความเร็วสูงเกือบเท่ากับความเร็วแสง โดยรังสีนี้แผ่มาจากการsะเบิดซูเปอร์โนวาของดวงดาวนอกระบบสุริยะ มันสามารถเจาะทะลุผ่านตะกั่ว และร่างของนักบินอวกาศที่อยู่นอกโลกได้อย่างง่ายดาย ทำให้นักบินอวกาศมีความเสี่ยงที่สุขภาพจะทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว แต่มนุษย์บนโลกนั้นปลอดภัยจากรังสีคอสมิก เพราะมีชั้นบรรยากาศและสนามแม่เหล็กโลกคอยปกป้องเอาไว้

นีลส์ อาเวอเรสซ์ นักชีวเคมีจากมหาวิทยาลัยฟลอริดา ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมวิจัยของนาซาบอกว่า “ผลการทดลองของเราพิสูจน์ให้เห็นว่า เชื้อราชนิดนี้เจริญเติบโตได้ดีกว่ามากในห้วงอวกาศ” ทีมผู้วิจัยยังระบุว่า เชื้อราสีดำที่อยู่ในห้วงอวกาศและได้รับรังสีคอสมิกเป็นเวลา 26 วัน เติบโตได้เร็วกว่าเชื้อราสายพันธุ์เดียวกันบนโลกโดยเฉลี่ย 1.21 เท่า

แต่ถึงกระนั้น ทีมผู้วิจัยก็ยังไม่เชื่อมั่นเต็มร้อยว่า รังสีคอสมิกคือปัจจัยหลักที่ทำให้เชื้อราคลาโดสปอเรียม สเฟียโรสเปอร์มัม ได้รับพลังงานเพื่อใช้ในการเจริญเติบโตมากขึ้น อาเวอเรสซ์ยังสงสัยว่า สภาวะไร้แรงโน้มถ่วงในห้วงอวกาศต่างหาก ที่อาจทำให้เชื้อราสีดำเจริญเติบโตได้ดีกว่าญาติสายพันธุ์เดียวกันบนโลก ในตอนนี้เขาและเพื่อนร่วมทีมวิจัยจึงทำการทดลองเพิ่มเติม โดยใช้เครื่องจักรปรับตำแหน่งแบบสุ่มสร้างสภาวะไร้น้ำหนักบนโลก เพื่อไขคำตอบให้กับข้อสงสัยดังกล่าว

ยิ่งไปกว่านั้น อาเวอเรสซ์และคณะยังทำการพิสูจน์เพิ่มเติมถึงคุณสมบัติของเมลานินในการป้องกันรังสีอันตราย โดยวางเซนเซอร์ตรวจจับกัมมันตภาพรังสีไว้ใต้จานเพาะเชื้อราคลาโดสปอเรียม สเฟียโรสเปอร์มัม ซึ่งอยู่ในสถานีอวกาศนานาชาติ ทำให้พบว่าจานที่เชื้อราสีดำดังกล่าวเจริญเติบโตได้ดี สามารถป้องกันรังสีคอสมิกได้สูงกว่า เมื่อเทียบกับจานเพาะเชื้อที่ไม่มีเชื้อราชนิดนี้อยู่ แม้แต่การทดลองป้ายเชื้อรานิดหน่อยลงบนจานเพาะเชื้อเป็นแผ่นบาง ๆ ก็สามารถป้องกันรังสีคอสมิกได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว

ทีมผู้วิจัยข้างต้นกล่าวสรุปว่า “เมื่อพิจารณาถึงกรณีที่เราป้ายชีวมวลของเชื้อราในปริมาณที่ค่อนข้างเบาบาง นี่อาจเป็นการพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพอันล้ำลึกของคลาโดสปอเรียม สเฟียโรสเปอร์มัม ในการดูดซับรังสีอันตรายในห้วงอวกาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรังสีในช่วงสเปกตรัมที่เราได้ทำการตรวจวัด”

อย่างไรก็ตามอาเวอเรสซ์กล่าวเตือนว่า ยังคงเป็นไปได้ที่สารซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของชีวิตอย่างเช่นน้ำ คือตัวการที่ช่วยปกป้องรังสีคอสมิกในกรณีนี้ เพราะโมเลกุลของสารอินทรีย์ที่มีอนุภาคโปรตอนอยู่ในโครงสร้างเป็นจำนวนมาก (ออกซิเจนมีโปรตอน 8 ตัว และอะตอมไฮโดรเจนแต่ละตัวในโมเลกุลน้ำ มีโปรตอน 1 ตัว) จะช่วยต้านทานและป้องกันพายุโปรตอนในรังสีคอสมิกไม่ให้กระหน่ำโจมตีเราได้ ไม่ต่างจากการใช้ไฟเข้าดับเพลิงที่กำลังไหม้ลาม

การใช้เชื้อราสีดำปกป้องมนุษย์จากรังสีคอสมิกนั้น เป็นเรื่องที่สร้างกระแสความสนใจอย่างสูงไปทั่วโลก เพราะหลายชาติรวมถึงจีนและสหรัฐฯ กำลังดำเนินแผนเตรียมสร้างฐานที่มั่นเพื่อการอยู่อาศัยระยะยาวในห้วงอวกาศ โดยตั้งเป้าจะทำให้สำเร็จภายในไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า มนุษย์อวกาศที่จะไปอาศัยอยู่ในอาณานิคมนอกโลกเหล่านี้ จึงต้องการเกราะคุ้มกันร่างกายจากรังสีอวกาศเป็นอย่างยิ่ง แต่การจะใช้น้ำหรือวัสดุอย่างโพลีเอทิลีนห่อหุ้มฐานที่มั่นบนดาวดวงอื่นนั้น ทำได้ยากยิ่งเพราะวัสดุเหล่านี้มีน้ำหนักมากจนไม่อาจขนย้ายไปจากโลกได้

ปัญหาดังกล่าวยิ่งทำให้วัสดุหนักอึ้งอย่างโลหะหรือกระจก ไม่สามารถเป็นตัวเลือกสำหรับการก่อสร้างฐานที่มั่นนอกโลกได้เลย ซึ่งดร.ลินน์ เจ. รอธส์ไชลด์ นักชีวดาราศาสตร์จากศูนย์วิจัยเอเมสของนาซา ได้กล่าวเปรียบเปรยการขนวัสดุเหล่านี้ไปยังดาวดวงอื่นว่า ไม่ต่างจาก “เต่าที่แบกกระดองของมันไปด้วยทุกหนทุกแห่ง”

งานวิจัยของดร.รอธส์ไชลด์ ได้นำไปสู่ความพยายามคิดค้นเครื่องเรือนและผนังที่ทำจากเส้นใยเชื้อรา ซึ่งมนุษย์สามารถเพาะเลี้ยงบนดวงจันทร์หรือดาวอังคารได้ ซึ่งจะทำให้เกิดสถาปัตยกรรมชนิดใหม่ที่มีน้ำหนักเบา ทั้งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งอวกาศ และหากผลการวิจัยของดร.ดาดาโชวาและอาเวอเรสซ์ ได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องเป็นจริงในอนาคต เราก็จะสามารถใช้เส้นใยเชื้อราเป็นเกราะป้องกันรังสีอันตรายในห้วงอวกาศ โดยเกราะนี้จะเติบโตและซ่อมแซมตัวเองได้โดยอัตโนมัติด้วย