
ครม.อนุมัติงบกลาง 2.4 พันล้าน รองรับสถานการณ์ชายแดน – สมช. คุมเข้มเรือขนน้ำมัน ยุทธปัจจัย

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
กว่าหนึ่งสัปดาห์ของการสู้รบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่หลายจังหวัดตลอดแนวชายแดนของทั้งสองประเทศต้องอพยพ ขณะที่หลายประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา ที่ออกมาเรียกร้องให้มีการหยุดยิv ท่าทีของฝ่ายไทยยังคงยืนยันชัดเจนว่านี่เป็นเรื่องของสองประเทศคู่เจรจา
นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยในการแถลงข่าวช่วงเช้าที่ผ่านมา ระบุเงื่อนไข 3 ข้อที่ไทยต้องการเห็นจากกัมพูชา คือฝ่ายกัมพูชาจะต้องประกาศหยุดยิvก่อน, การหยุดยิvจะต้องเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง และฝ่ายกัมพูชาจะต้องร่วมมือเก็บกู้ทุ่นsะเบิดอย่างจริงจังและจริงใจ
ขณะที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีมติในวันนี้ (16 ธ.ค.) ให้ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ควบคุม กำกับ ดูแลปฏิบัติการในพื้นที่ โดยให้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่การแจ้งเตือนเรือไทยที่จะเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง รวมทั้งประสานกับกรมเจ้าท่าเพื่อตรวจตราเรือไทยที่อาจขนส่งสินค้าที่เอื้อต่อการสงครามไปยังกัมพูชา โดยขณะนี้ สมช. มีมติให้ควบคุมการขนส่งน้ำมันและยุทธปัจจัยทางทะเล สำหรับเรือพาณิชย์ที่ขึ้นทะเบียนสัญชาติไทย อย่างไรก็ตาม มติดังกล่าวยังไม่มีการบังคับใช้อย่างเป็นทางการ เนื่องจากมีกระบวนการที่ต้องใช้เวลาในการกลั่นกรอง นำไปสู่การออกกฎระเบียบสำหรับบังคับใช้อย่างเป็นทางการ
ช่วงเย็นที่ผ่านมา สื่อไทยหลายสำนัก รวมถึงไทยพีบีเอส รายงานอ้างอิงการให้สัมภาษณ์ของนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบงบกลางตามคำขอของกระทรวงกลาโหม รวมกว่า 2,444 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรองรับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านตะวันออก ซึ่งเป็นการขอมาจากกองทัพบกและกองทัพเรือ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่าเขาไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดของงบประมาณในส่วนนี้ได้ แต่ยืนยันว่ามันจะถูกใช้ “ในการดูแลขวัญกำลังใจกำลังพลกองทัพ เพื่อให้รองรับอริราชศัตรูในยามฉุกเฉิน”
สถานการณ์มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง .รวบรวมไว้ในรายงานชิ้นนี้
สมช. คุมเข้มเรือขนน้ำมัน-ยุทธปัจจัยเข้ากัมพูชา
ความเคลื่อนไหวสำคัญเกี่ยวกับการสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา วันนี้ (16 ธ.ค.) คือการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่นำเนียบรัฐบาล ซึ่งมีข้อสรุปเรื่องการสกัดกั้นน้ำมันและยุทธปัจจัยทางทะเลที่ผ่านทางอ่าวไทยเข้าสู่ประเทศกัมพูชา
โดยนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. แถลงข่าวยืนยันผลการประชุมเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ระบุว่าที่ประชุมมีมติมอบให้ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) เป็นหน่วยรับผิดชอบหลักในการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การแจ้งเตือนเรือไทยที่จะเข้าในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง รวมถึงประสานกรมเจ้าท่าในการตรวจเรือไทยที่อาจมีการขนส่งสินค้าที่จะเอื้อต่อการทำสงครามในกัมพูชา
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue learningได้รับความนิยมสูงสุดCease of ได้รับความนิยมสูงสุด
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมอบหมายให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการกำหนดสินค้าที่จะควบคุมในการส่งไปกัมพูชา โดยเฉพาะสินค้ายุทธภัณฑ์-ยุทธปัจจัยต่าง ๆ โดยยึดถือตามพระราชกำหนดควบคุมสินค้าชายแดน พ.ศ.2524 เป็นกรอบในการดำเนินการ
ด้าน พล.ร.อ.ธาดาวุธ ทัดพิทักษ์กุล เสนาธิการทหารเรือ ในฐานะเลขาธิการ ศรชล. เปิดเผยตั้งแต่ก่อนการประชุม ยืนยันว่ามาตรการสกัดกั้นดังกล่าวนี้ไม่ใช่การ “ปิดน่านน้ำ” เป็นเพียงการทำให้เกิดความปลอดภัยและทำให้การปฏิบัติการมีประสิทธิภาพที่สุดเท่านั้น โดยมาตรการจะบังคับเฉพาะเรือสัญชาติไทย ชักธงไทย หรือเป็นเรือสินค้าของไทย โดยจะไม่มีผลกระทบกับเรือต่างชาติ
อย่างไรก็ดี ในการแถลงข่าวของศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อเวลา 16.00 น. นั้น พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม ระบุถึงกรณีนี้ว่าเป็นเพียงมติของ สมช. ซึ่งยังไม่ได้มีผลบังคับใช้โดยทันที แต่จะต้องผ่านการออกระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
เตรียมหารือ สปป.ลาว ปมปิดช่องเม็ก
ส่วนกรณีแม่ทัพภาคที่ 2 ออกคำสั่งควบคุมการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงและยุทธภัณฑ์ผ่านจุดผ่านแดนถาวรช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ตั้งแต่ช่วง 24.00 น. ของวันที่ 14 ธ.ค. เพื่อป้องกันการลักลอบขนส่งไปยังกัมพูชา ทำให้มีรายงานรถบรรทุกน้ำมันติดค้างอยู่ที่หน้าด่านจำนวนมากนั้น นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน ยืนยันว่าการส่งน้ำมันจากไทยผ่านช่องทางดังกล่าวมีเพียงการส่งให้กับ สปป.ลาวเท่านั้น ไม่มีการส่งให้กัมพูชา
เขาเปิดเผยด้วยว่า รมว.อุตสาหกรรมและการค้าของ สปป.ลาว ได้ทำหนังสือแจ้งมาที่กระทรวงพลังงานของไทยยืนยันว่าน้ำมันที่นำมาจากไทยใช้ภายในประเทศเท่านั้น โดย สปป.ลาว เริ่มประสบปัญหาจากการที่ไทยปิดด่านช่องเม็ก ซึ่งช่วงบ่ายวันนี้กระทรวงพลังงานจะมีการหารือกับ รมว.อุตสาหกรรมฯ ของลาว ว่าจะมีกลไกยืนยันอะไรเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าน้ำมันที่ไทยส่งไปยัง สปป.ลาว นั้น ถูกใช้เฉพาะใน สปป.ลาวจริง ๆ
ปลัดกระทรวงพลังงานยังชี้แจงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการขนน้ำมันผ่านช่องเม็กปริมาณมากในช่วงนี้นั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกปีในช่วงหมดฝน คือระหว่างเดือน พ.ย. – เม.ย. ที่ทาง สปป.ลาวจะใช้น้ำมันเยอะกว่าปกติเพื่อใช้หมุนเวียนในประเทศและประกอบธุรกิจต่าง ๆ ที่อาจทำในหน้าฝนไม่ได้ เช่น การทำเหมือง ส่วนทางกัมพูชาเมื่อไม่ได้ซื้อน้ำมันจากไทย ก็ยังสามารถซื้อจากเวียดนาม จีน หรือสิงคโปร์ได้
“ทรัมป์” ประกาศยุติสงครามไทย-กัมพูชา “อนุทิน” โต้ให้ไปบอกกัมพูชา
ช่วงกลางดึกที่ผ่านมาตามเวลาไทย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้กล่าวถึงกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ในระหว่างพิธีมอบเหรียญกล้าหาญด้านการป้องกันชายแดนเม็กซิโก ซึ่งเขากล่าวอ้างถึงความสำเร็จของสหรัฐฯ ในการยุติสงครามต่าง ๆ
“อย่างที่คุณรู้ เรายุติสงครามไปแล้ว 8 ครั้ง รวมถึงสงครามหนึ่งซึ่งมีปัญหาเล็กน้อยเมื่อวานนี้ คือไทยและกัมพูชา เราสามารถคลี่คลายมันได้แล้ว” ทรัมป์กล่าวในช่วงต้นของสุนทรพจน์ “มีการฆ่-าฟันที่กำลังเกิดขึ้นอยู่บ้าง ซึ่งมันไม่ควรจะเกิดขึ้น และเรายินดีที่พวกเขากำลังหาทางแก้ไขปัญหานี้ และพวกเขาก็แก้ไขมันได้”
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ถูกถามถึงเรื่องนี้ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม สมช. ที่นำเนียบรัฐบาลว่าเขามองอย่างไรต่อกรณีที่ทรัมป์บอกว่าจะสามารถหยุดสงครามได้ นายอนุทินตอบสั้น ๆ ว่า “ไปขอให้กัมพูชาหยุดยิvไทยสิ เพราะไทยไม่เคยยิvกัมพูชาก่อน”

ที่มาของภาพ : Royal Thai Authorities
ช่วงหนึ่งนายกรัฐมนตรีถูกถามกรณีที่หลายประเทศกดดันให้มีการหยุดยิv เขาปฏิเสธทันทีว่า “ไม่มีใครกดดัน” พร้อมตั้งคำถามต่อว่า “ใครจะมากดดัน จะกดดันใคร” พร้อมบอกว่าเขา “ไม่ทราบ” ว่าสหรัฐฯ ได้ใช้มาตรการภาษีมากดดันไทย
ขณะที่ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ยืนยันที่ทำเนียบรัฐบาลในวันเดียวกัน ว่าการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ “ยังไม่มีอะไรที่เขาเปลี่ยนแปลง” โดยเธอยืนยันว่าจากที่มีการพูดคุยกับกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ครั้งล่าสุด ได้ให้ฝ่ายเทคนิคคุยกัน ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากผู้แทนการค้าสหรัฐฯ
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าผู้นำสหรัฐฯ อาจใช้มาตรการภาษีมากดดันให้ไทยหยุดการสู้รบกับกัมพูชานั้น นางศุภจีบอกว่า เรื่องยังไม่มาถึงเธอ โดยเธอเห็นจากข่าวเท่านั้น แต่ก็ได้อธิบายไปตามสิ่งที่ควรจะเป็น
สถานการณ์สู้รบชายแดน
พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยในการแถลงข่าวของศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยสรุปสถานการณ์สำคัญย้อนไปตั้งแต่ช่วงเที่ยงเมื่อวานนี้คือ
15 ธ.ค.
- 12.00 น. ฝ่ายไทยสามารถผลักดันทหารกัมพูชาออกจากตัวประสาทตาควายได้แล้ว ทว่ากองทัพบกยังคงมีปฏิบัติการทางการทหารบริเวณโดยรอบปราสาทเพื่อพยายามจะควบคุมพื้นที่ให้ได้ 100%
- 19.00 น. ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากระดมยิvอาวุธหนักเข้าใส่พื้นที่ช่องกร่าง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ทำให้กำลังพลฝ่ายไทยเสียชีวิตเพิ่ม 1 นาย โดยตอนนี้ฝ่ายไทยมีกำลังพลที่เสียชีวิตจากการปะทะรวม 16 นาย และมีกำลังพลที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่อีก 1 นาย รวมเป็น 17 นาย
16 ธ.ค.
- มีการปะทะหลายจุดโดยฝ่ายกัมพูชาได้ระดมยิv BM-21 เข้าใส่หลายพื้นที่ อาทิ เนิน 677, เนิน 350 และปราสาทตาควาย
โดยสถานการณ์ในภาพรวม พล.ร.ต.สุรสันต์ ระบุว่า กองทัพบกได้รายงานว่ายังคงมีการปะทะอย่างต่อเนื่องตลอดแนวชายแดนทั้งในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 นอกจากนี้ยังมีการปะทะในพื้นที่ของกองทัพเรือ ที่ จ.จันทบุรี และ จ.ตราด บริเวณบ้านชำรากและเกาะกง
ขณะที่ พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยถึงปฏิบัติการทางอากาศว่าฝ่ายไทยได้โจมตี “สป.5” ซึ่งเป็นคลังอาวุธและวัตถุsะเบิดของกัมพูชาเมื่อวานนี้ (15 ธ.ค.) ซึ่งได้ทำลายจรวด BM-21 ไปเป็นจำนวนมาก โดยโฆษกกองทัพอากาศยืนยันว่าการโจมตีของกองทัพเป็นการโจมตี “ด้วยอาวุธที่มีความแม่นยำสูง” ซึ่งมุ่งเป้าทางการทหารเพื่อลดทอนประสิทธิภาพในการปฏิบัติภารกิจของฝั่งกัมพูชาเท่านั้น และเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบกับประชาชนที่อยู่ในบริเวณนั้น
ด้าน พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยในการแถลงข่าวด้วยว่า เขาพบว่าฝ่ายกัมพูชาเริ่ม “มีการยิvเข้ามาในพื้นที่ฝ่ายไทยน้อยลง” ซึ่งเขามองว่าเป็นผลจากการที่กองทัพบกและกองทัพอากาศได้ลิดรอนศักยภาพในการโจมตีของฝ่ายกัมพูชา ทั้งด้านที่ตั้งอาวุธต่าง ๆ รวมไปถึงเส้นทางในการส่งกำลังพล อย่างไรก็ดี ยังพบความพยายามอย่างหนักในการจะช่วงชิงคืนพื้นที่ที่กองทัพไทยควบคุมไว้ได้
อย่างไรก็ดี โฆษกกองทัพอากาศ กล่าวเสริมในเวลาต่อมาว่า “การดำเนินการทางการทหารของไทย ไม่ได้เบาลง” โดยระบุว่าฝ่ายไทยยังคง “ดำรงขีดความสามารถในการปฎิบัติภารกิจ” เพื่อป้องปราม “ความพยายามของกัมพูชาที่จะสร้างความเสียหายให้พลเรือน” และเพื่อให้สามารถดำเนินทางการทูตประกอบด้วย คือกดดันได้ฝั่งกัมพูชาเข้าสู่การพูดคุยอย่างมีเหตุมีผล
เวลา 16.06 น. เพจเฟซบุ๊ก “สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดตราด” เผยแพร่ประกาศกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ยกเลิกคำสั่งเคอร์ฟิวในพื้นที่ 5 อำเภอของจังหวัดตราด ได้แก่ อ.คลองใหญ่, อ.บ่อไร่, อ.แหลมงอบ, อ.เขาสมิง และ อ.เมืองตราด
ร.ท.หญิง นภัสกร ทิพย์โส ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ ยืนยันในการแถลงข่าวต่อมาในช่วงเย็นว่า การยกเลิกเคอร์ฟิวดังกล่าวเนื่องจากสามารถควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ได้แล้วในเบื้องต้น และเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับไปใช้ชีวิตและประกอบอาชีพได้

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
“ฮุน เซน” ยัน ไม่ได้ใช้ทหารต่างชาติมาร่วมสู้รบกับไทย
ด้านกระทรวงกลาโหมกัมพูชา สรุปเหตุการณ์ปะทะระหว่างไทยและกัมพูชาตั้งแต่เวลา 8.00 – 11.00 น. ของวันนี้ (16 ธ.ค.) ในพื้นที่ภูมิภาคทหารที่ 4 และ 5 ของกัมพูชา ได้แก่
- พื้นที่ภูมิภาคทหารที่ 4 (จ.อุดรมีชัย และ จ.พระวิหาร) ฝ่ายไทยได้โจมตีอย่างหนักในพื้นที่ช่องอานม้า (An Ses), เคลื่อนรถถังติดปืนกลเข้าไปในพื้นที่พนมกะโมจ, ใช้รถถัง ปืนใหญ่ โดรนทิ้งsะเบิด และโดรนกามิกาเซ่ในหลายพื้นที่ อาทิ ปราสาทตาควาย, เนิน 333, โอร์เสม็ด เป็นต้น
- พื้นที่ภูมิภาคทหารที่ 5 (จ.บันเตียเมียนเจย และ จ.โพธิสัตว์) ฝ่ายไทยได้ยิvถล่มเข้ามาในหลายพื้นที่ อาทิ บึงตะกวน โอพลุกดำเรย (O' Phlok Damrei) รวมถึงหมู่บ้านโจกเจย
ขณะที่สำนักข่าวเฟรชนิวส์ของกัมพูชา รายงานอ้างอิงโพสต์ของสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา ปฏิเสธกรณีที่มีรายงานข่าวจากฝั่งไทยกล่าวหาว่า กัมพูชาได้ใช้ทหารรัสเซียและทหารต่างชาติเข้ามาช่วยสู้รบกับไทย
“ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา สื่อไทยบางสำนักได้เผยแพร่รายงานข่าวที่กล่าวอ้างว่า มีทหารรัสเซียและสัญชาติอื่น ๆ เข้าร่วมในปฏิบัติการทางการทหารของกัมพูชา” ฮุน เซน ระบุ
“เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของกัมพูชา รวมถึงรัสเซียและประเทศอื่น ๆ ที่ถูกกล่าวหา ผมต้องการประกาศให้ชัดเจนว่ากัมพูชาไม่ได้มีชาวรัสเซียหรือสัญชาติอื่น ๆ เข้าร่วมในปฏิบัติการสู้รบ หรือเข้ามาช่วยในฐานะที่ปรึกษาทางการทหารให้กับกองทัพของกัมพูชา”
เขายังเน้นย้ำด้วยว่ากัมพูชาไม่ได้มีกองกำลังทหารต่างชาติอยู่ในดินแดนนับตั้งแต่ที่องค์การบริหารชั่วคราวแห่งสหประชาชาติในกัมพูชา ได้ถอนตัวออกไปตั้งแต่ปี 1993 แล้ว โดยในอดีตที่ผ่านมา กองกำลังต่างชาติที่เข้ามายังกัมพูชา เป็นการมาเพื่อร่วมการฝึกฝนทหารตามแนวทางทวิภาคีหรือพหุภาคี ซึ่งเป็นการฝึกตามปกติในกรอบของความร่วมมือด้านกลาโหมสากล
จากการรายงานของสำนักข่าวเฟรชนิวส์ ประธานวุฒิสภาของกัมพูชายังระบุด้วยว่า แม้จะมีชาวต่างชาติจากหลากหลายประเทศอาศัยอยู่ในกัมพูชาในขณะนี้ แต่พวกเขาเข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยว นักลงทุน ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค หรือพนักงานบริษัททั้งบริษัทต่างชาติและบริษัทในประเทศ โดยบุคคลเหล่านี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ในกิจการทหารหรือปฏิบัติการสู้รบ
ไทยวาง 3 เงื่อนไขหยุดยิv ยันต้องมาจากฝั่งกัมพูชาก่อน
นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุในการแถลงข่าวช่วงเช้าที่ผ่านมาถึงกรณีที่หลายประเทศเรียกร้องให้มีการหยุดยิvระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยเธอเน้นย้ำว่าไทยยืนหยัดในหลักการที่ว่า “การหยุดยิvจะต้องขึ้นอยู่กับสองประเทศที่เป็นคู่เจรจา” และ “ต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ” โดยเธอระบุเงื่อนไข 3 ข้อที่ไทยต้องการเห็นจากกัมพูชา ได้แก่
- ฝ่ายกัมพูชาจะต้องประกาศหยุดยิvก่อน
- การหยุดยิvจะต้องเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง
- ฝ่ายกัมพูชาจะต้องร่วมมือเก็บกู้ทุ่นsะเบิดอย่างจริงจังและจริงใจ
ส่วนกรณีที่จะมีการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนนัดพิเศษในวันจันทร์ที่ 22 ธ.ค. นั้น รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่า นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ ของไทยจะเดินทางไปเข้าร่วมประชุมด้วยตนเอง ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการรอรายละเอียดว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศสมาชิกอาเซียนจะสามารถเข้าร่วมการประชุมได้ทุกประเทศหรือไม่
ด้านโฆษกกระทรวงกลาโหม ยืนยันในช่วงของการตอบคำถามด้วยว่าผลของการเจรจาพูดคุยอาจส่งผลกับปฏิบัติการทางการทหารได้ เพราะ “ท้ายที่สุดการบริหารจัดการประเทศก็ต้องเป็นการเมืองนำการทหาร”
“การทหารก็เป็นแค่กลไก เป็นเครื่องมือของทางมิติของการเมืองในเรื่องของการดำเนินการต่าง ๆ การที่จะหยุดยิvหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับทางมติหรือการตกลงใจของทางรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ” พล.ร.ต.สุรสันต์ ระบุในการแถลงข่าว
ลอบบี้ยิสต์และการข่าว
การแถลงข่าวของศูนย์แถลงข่าวร่วมฯ ฝ่ายไทยวันนี้ มีการกล่าวอ้างด้วยว่าฝ่ายกัมพูชาได้จ้างล็อบบี้ยิสต์เข้ามาดำเนินการทางการข่าว โดย พล.ร.ต.สุรสันต์ ระบุว่า ล็อบบี้ยิสต์ที่มีการว่าจ้างมักเป็นชาวตะวันตกที่เข้ามา “สร้างภาพให้ประชาคมโลกเห็นใจต่อสถานการณ์ในกัมพูชา” โดยโฆษกกระทรวงกลาโหมได้ขอให้คนไทยใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสาร
. ยังไม่สามารถตรวจสอบข้อกล่าวหานี้ได้อย่างอิสระ
ขณะที่รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศยืนยันถึงการสื่อสารกับนานาชาติว่าฝ่ายไทยเน้น “สู้ด้วยข้อเท็จจริง” โดยมีทั้งข้อมูลและหลักฐาน โดยกระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือไปยังองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ ซึ่ง “เป็นหลักฐานทั้งหมด” โดยเธอมองว่าการ “ปั่นกระแสข่าว” อาจมีผลในระยะสั้น แต่ไม่น่าจะมีผลในระยะยาวที่หนักแน่นเท่ากับข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ฝ่ายไทยมี
.ยังไม่พบรายงานจากทางฝั่งกัมพูชาที่ตอบโต้ข้อกล่าวหานี้ขณะที่รายงานข่าว ณ เวลา 18.00 น. ของวันที่ 16 ธ.ค.












