ครบรอบ 5 ปี การล็อกดาวน์เมืองอูฮั่น บาดแผลอันเงียบงันของจีน
Article knowledge
- Author, มาร์ติน ยิป
- Role, บีบีซีแผนกภาษาจีน
“การระบาดครั้งใหญ่ของโรคโควิด-19 ทิ้งความชอกช้ำขั้นทุติยภูมิไว้กับผู้คน แต่ยังไม่มีใครมองเห็น” กั่ว จิง นักสังคมสงเคราะห์วัย 34 ปี และนักกิจกรรม กล่าว “มันสร้างความหงุดหงิดให้ฉันอย่างมาก”
วันที่ 23 ม.ค. 2020 อู่ฮั่นกลายเป็นเมืองแรกของโลกที่เข้าสู่การล็อกดาวน์จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ผู้คน 11 ล้านคนในเมืองใหญ่ของจีนแห่งนี้ถูกกักตัวอยู่ในบ้าน รวมถึงกั่วด้วย
เธอพบเห็นธุรกิจที่พังทลายลง ความทุกข์ทรมานอันท่วมท้นมหาศาล และการใช้อำนาจที่ผิดอย่างกว้างขวาง “สิ่งเหล่านี้ไม่เคยถูกพูดถึงหลังสิ้นสุดการล็อกดาวน์ ผู้คนต้องกล้ำกลืนมันลงไป”
การปิดเมืองเป็นเวลา 76 วัน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการกักตัวเพื่อควบคุมการระบาดครั้งใหญ่ แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ในอู่ฮั่น มันได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่หล่อหลอมชีวิตพวกเขามาจนถึงทุกวันนี้
“มันเป็นเพียง 5 ปีสั้น ๆ ในประวัติศาสตร์ แต่มันสำคัญอย่างมากสำหรับคนรุ่นใหม่” ศาตราจารย์ ต้าหลี่ หยาง จากมหาวิทยาลัยชิคาโก กล่าว “เนื่องจากมันเป็นจุดกำเนิดของการระบาดครั้งใหญ่ หลายคนในอู่ฮั่นจึงยังคงมีความหวาดกลัวอยู่”
Skip เรื่องแนะนำ and proceed readingเรื่องแนะนำ
Stop of เรื่องแนะนำ
พายุที่ไม่คาดคิด
เรื่องราวทั้งหมดนี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงส่งท้ายปีเก่าของปี 2019 เมื่อคณะกรรมการสาธารณสุขของเมืองอู่ฮั่นประกาศรายชื่อ 27 คนแรกที่ป่วยจากไวรัสที่ไม่มีใครรู้จัก
แม้มีหลักฐานการแพร่เชื้อในมนุษย์เพิ่มขึ้นและโรงพยาบาลเต็มไปด้วยผู้ป่วยจำนวนล้นหลาม แต่หน่วยงานท้องถิ่นกลับอ้างว่าสถานการณ์ “ยังสามารถควบคุมและป้องกันได้” พร้อมกับเดินหน้าจัดงานเลี้ยงในชุมชนที่มีราว 10,000 ครัวเรือน ส่วนแพทย์ที่พยายามส่งสัญญาณเตือนภัยกลับถูกปิดปาก
ข้อความจากทางการที่พยายามทำให้สถานการณ์ดูเหมือนสงบปกติ ได้ปกปิดความอันตรายที่ก่อตัวมากขึ้น กั่ว จิง แทบไม่ได้สนใจเลยเมื่อเห็นยาแก้ไข้หวัดใหญ่อันตรธานไปจากชั้นสินค้า
“ฉันไม่คิดว่าสิ่งต่าง ๆ จะไปไกลถึงเพียงนี้” เธอกล่าว
ผู้อยู่อาศัยยังคงเตรียมจัดงานเทศกาลตรุษจีนโดยไม่ตระหนักเลยว่า วิกฤตที่กำลังมาถึงนี้
“ฉันได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับการล็อกดาวน์ แต่ฉันก็ออกไปรับประทานหม้อไฟมื้อค่ำกับเพื่อน ๆ อยู่ดี” เกาลัด (นามสมมติ) วัย 24 ปี กล่าว “ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่”
“และแม่ของฉันก็เกือบไปตลาดหัวหนานเพื่อซื้ออาหารทะเล แต่คนขับแท็กซี่บอกว่าเหมือนเกิดอะไรบางอย่างขึ้น เธอจึงไปที่อื่น”
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขติดตามเส้นทางของผู้ป่วยรายแรกจนสืบไปถึงตลาดค้าส่งอาหารทะเลหัวหนาน ซึ่งมีรายงานว่ามีสัตว์ป่าถูกขายเพื่อการบริโภคที่นี่
จากนั้นในเวลา 02.30 น. ของวันที่ 23 ม.ค. (ตามเวลาท้องถิ่น) หรือเพียง 2 วันก่อนเทศกาลตรุษจีนเท่านั้น รัฐบาลจีนก็สั่งล็อกดาวน์เมืองอู่ฮั่น โดยพบว่าภายในระยะเวลา 3 เดือน มีรายงานว่าเมืองนี้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,900 ราย แต่หลายคนเชื่อว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจริง ๆ สูงกว่าที่รายงานมาก
ทริสตัน หลิว ชาวไต้หวันวัย 33 ปีที่ทำงานอยู่ในอู่ฮั่น เป็นอีกคนหนึ่งพบเห็นหายนะที่เกิดขึ้นต่อมนุษย์ในครั้งนี้
“ศพล้นเตาเผาและไม่มีรถพยาบาล ร่างผู้เสียชีวิตถูกทิ้งไว้ที่บ้านเป็นเวลาหลายวัน” เธอรำลึกความหลัง “ในที่สุดก็มีคนมาเก็บศพ ไม่มีใครในครอบครัวติดตามไปที่สถานที่ประกอบการฌาปนกิจได้” พวกเขาต้องตายไปอย่างโดดเดี่ยวเช่นคนอื่น ๆ
เมื่อวิกฤตทวีความรุนแรงขึ้น หลิวก็เผชิญกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยตนเอง เธอไม่สามารถพาคู่ครองชาวจีนแผ่นดินใหญ่เดินทางกลับไปไต้หวันกับเธอได้ เนื่องจากกฎหมายการแต่งงานเพศเดียวกันของไต้หวันยังไม่ครอบคลุมถึงพลเมืองชาวจีนแผ่นดินใหญ่ในเวลานั้น
“ฉันทิ้งแฟนสาวไว้ข้างหลังไม่ได้” หลิวบอกกับบีบีซีนิวส์แผนกภาษาจีน
สถานการณ์ของพวกเขาดำเนินไปสู่ความสิ้นหวัง เจ้าหน้าที่ปิดผนึกอพาร์ทเมนต์ของพวกเขาด้วยสัญญาณเตือนตรงประตู ตามมาด้วยแผ่นโลหะปิดทางเข้าอาคาร เหลือเพียงช่องเล็ก ๆ สำหรับส่งอาหารเท่านั้น
การถูกกักขังทำให้ทุกอย่างแย่ลง หยางพบเห็นการประท้วงของชุมชนใกล้เคียงที่กลายเป็นความรุนแรง แต่การถูกกักกันยังคงดำเนินไปอย่างไม่สิ้นสุดหลังจากนั้น และมันทำให้เธอสิ้นหวัง จนกระทั่งหยางพยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเพื่อมุดช่องส่งอาหารออกมา แต่มันกลับทำให้เธอได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าอย่างรุนแรง
“เราไปโรงพยาบาล แต่ไม่มีใครมีเวลาดูแลเธอเลย” หลิวบอก “ดังนั้นพวกเราเลยทำแผลด้วยตัวเอง”
“ไม่มีมนุษยธรรม”
ข้อจำกัดที่รุนแรงทำให้หลายคนตื่นสู่ความเป็นจริงทางการเมือง เกาลัดซึ่งใช้เครือข่ายส่วนตัวเสมือนหรือวีพีเอ็น (Digital Personal Networks-VPNs) ด้วยจุดประสงค์ด้านความบันเทิงเท่านั้น เริ่มค้นพบพฤติกรรมที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่บางคน
“เจ้าหน้าที่รัฐบางคนประพฤติตัวเหมือนพวกอันธพาล” เขากล่าว และอธิบายว่าเจ้าหน้าที่บังคับให้ผู้คนกลับเข้าไปในบ้าน บางคนทุบตีผู้อยู่อาศัยสูงอายุ และระงับการส่งเสบียงอาหาร
“คนที่สนับสนุนรัฐบาลบอกว่ามาตรการต่าง ๆ เหล่านี้จำเป็นเพื่อความปลอดภัยของสาธารณะ แต่ฉันไม่เห็นความมนุษยธรรมอยู่ในนั้น”
ความตึงเครียดระหว่างอำนาจรัฐกับสิทธิส่วนบุคคลได้ปรากฏให้เห็นมากที่สุดในกรณีโศกนาฏกรรมของ ดร.หลี่ เหวินเหลียง ผู้ออกมาเปิดโปงเกี่ยวกับโรคโควิด-19 เป็นคนแรก ๆ
ดร.หลี่พยายามเตือนเพื่อนแพทย์ด้วยกันว่ามีไวรัสคล้ายกับซาร์ส (SARS) ซึ่งเคยระบาดเมื่อช่วงปลายปี 2019 แต่เขากลับถูกตำรวจปิดปากด้วยข้อหาว่า “แพร่กระจายข่าวลือ” ส่งผลให้เขาเสียชีวิตจากไวรัสดังกล่าวในเวลาต่อมาขณะมีอายุเพียง 34 ปี และมันกลายเป็นจุดเปลี่ยนในความนึกรู้ของสาธารณชน
“ฉันจำได้ว่ารู้สึกโกรธและเสียใจมาก” เกาลัดบอก “เขาพยายามแสดงความรับผิดชอบในหน้าที่ของเขา แต่กลับถูกเพิกเฉย และถูกลงโทษด้วยซ้ำ”
“นี่เป็นระบบราชการที่ทำตัวเหนือผู้อื่น และนั่นทำให้ฉันโกรธ”
ขณะที่ความโกรธของเกาลัดลุกโชน คนอื่น ๆ เช่น ซ่ง หนิง (นามสมมติ) พนักงานด้านเทคโนโลยีวัย 30 ปี กลับมองสิ่งคุ้นชินเช่นนี้ด้วยความเหนื่อยล้า
“ผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้นเป็นเรื่องปกติที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว” เขาบอกกับบีบีซี แผนกภาษาจีน “มันเป็นเรื่องปกติในจีนที่พวกเขาจะพยายามควบคุมความเห็นของสาธารณชนก่อนเป็นสิ่งแรก”
โพสต์สุดท้ายบนสื่อสังคมออนไลน์ของ ดร.หลี่ เหวินเหลียง กลายเป็น “กำแพงจารึกคำคร่ำครวญของจีน” เนื่องจากมีคนเข้าแสดงความโศกเศร้าและความไม่พอใจมากกว่า 1 ล้านความเห็น
“ฉันคิดว่าการล็อกดาวน์เมืองนี้เป็นการทดลองของรัฐบาลจีนว่าจะกระชับมาตรการให้เข้มข้นขึ้นได้อย่างไร” กั่ว จิง กล่าว “ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า”
กั่วพบวิธีขัดขืนภายใต้การเฝ้าระวังที่หนาแน่น เธอจัดวิดีโอคอลกับเพื่อน ๆ เพื่อเปิดตัวแคมเปญรณรงค์ต่อต้านความรุนแรงในครอบครัวช่วงล็อกดาวน์ สิ่งนี้นำมาซึ่ง “การคุกคามจากตำรวจ” ในภายหลัง แต่เธอไม่ต้องการเปิดเผยรายละเอียด
“การล็อกดาวน์โดยตัวมันเองไม่ได้ทำอันตรายต่อฉัน” เธอกล่าว “การใช้อำนาจสาธารณะในทางที่ผิดต่างหาก”
ผลกระทบที่ยาวนาน
การล็อกดาวน์ในเมืองอู่ฮั่นจบลงในวันที่ 8 เม.ย. 2020 แต่โมเดลนี้ถูกนำไปใช้ในหลายแห่งทั่วประเทศจีน เนื่องจากประเทศยังคงนโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” อย่างเข้มงวดต่อเนื่องเกือบ 3 ปี
“ไม่มีใครจะจินตนาการได้ว่า จะดำเนินมาเป็นแบบนี้ พวกเราทั้งหมดก็รู้สึกตกใจเช่นกัน” ทริสตัน หลิว กล่าว
นโยบายนี้ไม่ได้ไปต่อเมื่อเกิดการประท้วงทั่วประเทศซึ่งรู้จักกันในชื่อว่า “การชุมนุมกระดาษเปล่า” ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเดือน ธ.ค. 2022 โดยชื่อการชุมนุมถูกตั้งตามกระดาษเปล่าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเซ็นเซอร์ การชุมนุมของพวกเขาปะทุขึ้นหลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ร้ายแรงในซินเจียงซึ่งหลายคนเชื่อว่าด้วยข้อจำกัดช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้เสียชีวิตติดอยู่ในอาคารและออกมาไม่ได้
ขณะที่รัฐบาลจีนยืนยันว่า “ให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นอันดับแรก” แต่ผลพวงหลังจากนั้นกลับยังสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวจีนรุ่นใหม่บางคน เช่น เพื่อนนักกิจกรรมของกั่วคนอื่น ๆ ซึ่งพวกเขาเลือกลี้ภัยเพื่อหลบหนี “การคุกคามจากตำรวจอย่างต่อเนื่อง”
คนอื่น ๆ ที่ยังอยู่ในจีนก็พบกับความท้าทายใหม่ เนื่องจากเกิดการเลิกจ้างงานเป็นวงกว้าง จนทำให้อัตราการว่างงานของคนรุ่นใหม่ในปี 2023 สูงสุดเป็นประวัติการณ์
“ตอนนี้ทุกอย่างถูกลงมาก แต่ไม่มีใครมีกำลังจ่ายเลย” เกาลัด บอก “รากฐานบางอย่างได้เปลี่ยนแปลงไป และเราไม่สามารถย้อนมันกลับคืนมาได้”
ศ.ต้าหลี่ หยาง จากมหาวิทยาลัยชิคาโกของสหรัฐฯ เห็นผลกระทบต่อคนในยุคโควิดหรือโควิด เจเนอเรชัน (Covid generation) ที่ส่งผลยาวนานมาจนถึงตอนนี้ เนื่องจากการถูกโดดเดี่ยวตัวเองเป็นระยะเวลานานทำให้ทักษะทางสังคมและทักษะทางอาชีพของพวกเขาได้รับผลกระทบ โดยผู้จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยจำนวนมากต้องหันขับรถแท็กซี่ เป็นต้น
“ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการหางานเท่านั้น แต่อาจส่งผลไปตลอดชีวิตด้วย” เขากล่าว “พวกเขาไม่ได้สร้างทักษะทางวิชาชีพ และอาชีพการงานของพวกเขาก็จะหยุดชะงักลง”
“ท้ายที่สุดแล้วมันอาจส่งผลต่อการตัดสินใจสำคัญ ๆ ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งงานหรือการวางแผนครอบครัว”
แม้เวลาผ่านไป 5 ปีนับตั้งแต่เกิดการระบาดครั้งใหญ่ ศาสตราจารย์หยางยังโต้แย้งว่ามีเพียงความโปร่งใสเท่านั้นที่จะช่วยเยียวยาความบอบช้ำโดยรวมได้ โดยเขาตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลจีนพยายามทำให้การอภิปรายเกี่ยวกับประสบการณ์ของชาวอู่ฮั่นนั้นเงียบงันลงอย่างเป็นระบบ
องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังคงกดดันจีนให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัส โดยรัฐบาลจีนระบุว่า ได้ปฏิบัติตามแล้ว “โดยเร็วที่สุด” ในขณะนั้น และยังปฏิเสธในประเด็น “การบิดเบือนทางการเมือง”
ความพยายามควบคุมเรื่องเล่ายังดำเนินต่อเนื่องในพรมแดนของจีน จาง จ้าน ผู้สื่อข่าว ถูกจำคุก 4 ปี เนื่องจากพยายามบันทึกเหตุการณ์การระบาดในอู่ฮั่น ขณะที่ภาพยนตร์เกี่ยวข้องกับการล็อกดาวน์ของผู้กำกับชื่อว่า ลู่ เย่ ก็ถูกจำกัดการเข้าถึงจากจีนแผ่นดินใหญ่ พร้อมด้วยการเซ็นเซอร์บทสนทนาเกี่ยวกับประเด็นนี้ในสื่อสังคมออนไลน์
“รัฐบาลปราบปรามผู้เห็นต่างด้วยวิธีการซับซ้อนมากขึ้น” เกาลัดบอก “และผู้คนก็รู้ด้านชากับความอยุติธรรมในสังคม”
ซ่ง หนิง ยกย่องว่าการล็อกดาวน์ช่วยป้องกันไม่ให้โรงพยาบาลพังลง แต่เขายังคงขมขืนกับการปกปิดความจริงที่เกิดขึ้นในตอนแรก จนถึงตอนนี้เขาเลิกคาดหวังคำตอบแล้ว
“ที่นี่เราไม่มีความจริง” เขากล่าว “ไม่ใช่ภายใต้ระบอบการปกครองนี้ [ต่อผู้มีอำนาจ] ประชาชนไม่สมควรได้รับรู้ความจริง”
ที่มา BBC.co.uk