
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติส่งหนังสือถึงอธิการบดี มสธ. ขอให้พิจารณาโทษวินัยร้ายแรง อ.นิติฯ กรณีคัดลอกงานวิชาการ 11 หน้า สั่งลงดาบใน 30 วัน ไม่ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนอีก- เจ้าตัวแจงเรื่องเก่าจบแล้ว อ้างถูกกลั่นแกล้งร้องเรียนซ้ำ
จากกรณีปรากฏข่าวในช่วงปี 2564 มีผู้ร้องเรียนกับสำนักข่าวอิศรา . โดยแจ้งข้อมูลเป็นหนังสือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) ที่ทำถึงนายกสภามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช ให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งหรือถอดถอนดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และอำนาจ กรณีกล่าวหา นายอิงครัต ดลเจิม อาจารย์ประจําคณะ นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต กรณีกระทําการคัดลอกงานเขียนของอาจารย์ปราณี เสฐจินตนิน และอาจารย์วิวิช วงศ์ทิพย์ เอกสารในชุด วิชากฎหมายอาญา 1 หน่วยที่ 14 โทษและวิธีการเพื่อความปลอดภัย เป็นจํานวน 11 หน้า โดยมีเนื้อหา ตรงกันทุกเรื่อง อันเป็นการกระทําละเมิดลิขสิทธิ์ และรับค่าตอบแทนเป็นของตนเอง

- สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จี้ มสธ.สอบ อ.นิติฯ คัดลอกงานวิชาการ 11 น.-เจ้าตัวแจงไม่มีเจตนา แค่ตกหล่นอ้างอิง
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ได้รับแจ้งข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 สำนักงาน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้ทำหนังสือ ที่ ปช 0027/38604 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2568 ถึง อธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) เพื่อขอให้พิจารณาโทษทางวินัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อิงครัตต์ ดลเจิม
หนังสือดังกล่าวระบุว่า คณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้รับเรื่องกล่าวหา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อิงครัตต์ ดลเจิม อาจารย์ประจำสาขาวิชานิติศาสตร์ สังกัด มสธ. กรณีคัดลอกผลงานทางวิชาการของผู้อื่นมาเป็นผลงานของตนเอง และได้รับค่าตอบแทนในการเขียนผลงานดังกล่าวโดยมิชอบ
จากการพิจารณารายงานการไต่สวนเบื้องต้น คณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีมติแยกเป็น 2 ส่วน ดังนี้
คดีอาญา
ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดตามที่กล่าวหา ให้ข้อกล่าวหาตกไป
คดีวินัย
การกระทำของผู้ถูกกล่าวหา มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ แบบแผนของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547
ในตอนท้ายของหนังสือ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้ระบุคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 91 และมาตรา 98 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาโทษตามฐานความผิดที่คณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้มีมติ “โดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอีก และสั่งลงโทษผู้ถูกกล่าวหาภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง” ซึ่งประทับรับหนังสือ พบว่า มสธ. ได้รับหนังสือฉบับนี้แล้วเมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2568 (ดูหนังสือประกอบ)


ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ได้ติดต่อไปยัง ผศ.ดร.อิงครัตต์ ดลเจิม เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงเรื่องนี้อีกครั้ง
ผศ.ดร.อิงครัตต์ กล่าวว่า ยังไม่เห็นหนังสือคำสั่งจาก สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ฉบับดังกล่าว แต่ทราบเรื่องว่ามีการร้องเรียน และยืนยันว่ากรณีนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว
ผศ.ดร.อิงครัตต์ กล่าวอีกว่า ในอดีตทางมหาวิทยาลัยได้ดำเนินการสอบสวนทางวินัยไปแล้ว โดยผลสอบพบว่าตนไม่มีเจตนาทุจริต เพียงแต่ขาดการอ้างอิง (Citation) และไม่ได้นำงานชิ้นนั้นไปใช้ทำผลงานทางวิชาการหรือวิทยานิพนธ์ที่เป็นรูปเล่ม ซึ่งทางมหาวิทยาลัยได้มีคำสั่งลงโทษทางวินัยขั้นภาคทัณฑ์ และได้รายงานเรื่องไปยัง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ แล้ว
“เรื่องนี้จบไปแล้ว มหาวิทยาลัยลงโทษภาคทัณฑ์ผมไปแล้ว แต่ที่มีเรื่องมาถึง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ อีกครั้ง ผมเชื่อว่าเป็นการกลั่นแกล้งจากผู้ไม่หวังดีที่นำเรื่องเดิมมาร้องเรียนซ้ำ เพื่อให้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หยิบยกขึ้นมาพิจารณาใหม่ ซึ่งผมเองก็เพิ่งทราบข่าว และเกรงว่าการนำเสนอข่าวจะสร้างความเสียหายซ้ำรอยเดิม เหมือนเมื่อครั้งที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในโซเชียลมีเดีย ทั้งที่ผมได้เข้าสู่กระบวนการและรับโทษไปแล้ว” ผศ.ดร.อิงครัตต์ ระบุ












