“ใช้ชีวิตลำบาก-ขาดรายได้-ย้ายที่หลบภัยซ้ำ ๆ” ผู้อพยพฝั่งกัมพูชาหวังสองประเทศเจรจายุติความขัดแย้ง

ที่มาของภาพ : Narin Sun/ BBC Thai

“ฉันเพิ่งวิ่งหนีมาเมื่อเดือน ก.ค. เอง และตอนนี้ฉันต้องวิ่งอีกแล้ว ครั้งนี้มีการยิvที่หนักขึ้น และพวกเขาทิ้งsะเบิดเยอะมาก แรงsะเบิดมันรุนแรงมาก ๆ” วงศ์ โซริน ชาวกัมพูชาวัย 20 ปีบอกกับนริน ซุน ผู้สื่อข่าวพิเศษ.

นี่เป็นครั้งที่สองที่พนักงานร้านขายเครื่องสำอางในเมืองสำโรง จ.อุดรมีชัย รายนี้ ต้องลี้ภัยจากการปะทะที่อยู่ห่างจากที่ทำงานของเธอราว 40 กม.

เธออพยพออกจากบ้านเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. โดยเริ่มแรกเธอไปอยู่ที่ค่ายผู้อพยพที่เจดีย์พนมเดย์ (Phnom Dey pagoda) ซึ่งอยู่ห่างจากจุดปะทะราว 70 กม. แต่หลังจากนั้นเธอก็ต้องย้ายจุดอพยพอีกครั้งหลังมีการทิ้งsะเบิด 2 ครั้งในพื้นที่ใกล้เคียงใน อ.จงกาล จ.อุดรมีชัย ซึ่งเป็นดินแดนของกัมพูชาตรงข้ามกับทางตอนใต้ของภาคอีสานของไทย ในวันที่ 15 ธ.ค.

ตอนนี้โซรินย้ายมาอยู่ที่ชุมชนเซนศก (Sensok) อ.กระลัญ จ.เสียมราฐ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดปะทะราว 100 กม.

“sะเบิดมันรุนแรงมาก คนพากันแตกตื่น ฉันร้องไห้และฉันเองก็แตกตื่นด้วยเหมือนกัน” เธอย้อนเล่า “ฉันกลัวมาก ๆ ตอนที่ได้ยินและได้เห็นsะเบิดลงใกล้ ๆ นั่นคือเหตุผลที่ฉันตัดสินใจย้ายออก จากที่นั่น”

เมื่อเดือน ก.ค. ที่การปะทะชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาปะทุขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ โซรินต้องพักอาศัยที่ค่ายผู้อพยพเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แต่รอบนี้เธอคิดว่ามันอาจจะนานกว่านั้น

“ฉันไม่คิดว่าความขัดแย้งนี้จะจบอย่างรวดเร็วตามที่ฉันคาดหวัง พวกเขาตกลงหยุดยิv แต่แล้วก็กลับมาต่อสู้กันใหม่ และครั้งนี้มันจริงจังยิ่งกว่าครั้งก่อน ฉันไม่คิดว่าเราจะได้กลับบ้านได้เร็ว ๆ นี้ มันอาจจะใช้เวลา 2-3 เดือน หรืออาจจะนานกว่านั้น” พนักงานร้านขายเครื่องสำอางรายนี้ระบุ

ที่มาของภาพ : Narin Sun/ BBC Thai

วงศ์ โซริน ผู้อพยพจากเมืองสำโรง จ.อุดรมีชัย ไม่คิดว่าความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาจะ “จบลงอย่างรวดเร็ว” ตามที่เธอคาดหวัง

ไม่เพียงแต่โซรินที่ต้องลี้ภัยซ้ำ ๆ เนียน ยอม ชาวนากัมพูชาวัย 46 ปีก็ตกอยู่ในสถานะเดียวกัน เขาเคยต้องใช้ชีวิตอยู่ที่ศูนย์อพยพเป็นเวลาสองสัปดาห์ในช่วงเดือน ก.ค. เช่นกัน และการปะทะรอบนี้ที่รุนแรงขึ้นทำให้เขาต้องอพยพซ้ำ ๆ จากบ้านใน จ.อุดรมีชัย มายังค่ายผู้อพยพ และตอนนี้เขากำลังหาที่อยู่ใหม่เมื่อรู้สึกว่าค่ายผู้อพยพก็ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed studyingได้รับความนิยมสูงสุด

End of ได้รับความนิยมสูงสุด

“ที่หมู่บ้านของผมมีการทิ้งsะเบิด ทำให้ผมหนีออกมาอยู่ที่ค่ายผู้อพยพ” พ่อของลูก 3 คนที่ลี้ภัยกันมาด้วยรถแทรกเตอร์สามล้อ ระบุ

“สงครามครั้งนี้ยิ่งทำให้ผมกลัวขึ้นกว่าเดิม… ในอดีตกัมพูชาเคยเจอสงคราม แต่พวกเขาใช้แค่ปืน ตอนนี้พวกเขากำลังใช้ทั้งเครื่องบินและโดรน มันน่ากลัวมาก ๆ”

“ผมลนลานมากตอนที่มีการทิ้งsะเบิด 2 ลูกในพื้นที่ใกล้ ๆ sะเบิดมันรุนแรงมาก ผมวิ่งอีกครั้ง ออกห่างจากค่าย ผู้อพยพ ผมพักอยู่ข้างถนนเมื่อคืนนี้ (15 ธ.ค.) และตอนนี้ผมกำลังมองหาที่อยู่ถาวรใน จ.เสียมราฐ แต่มันไม่มีที่ปลอดภัยเลยนับตั้งแต่ที่มีเครื่องบินบินใกล้ ๆ ค่าย” ชาวนารายนี้ระบุ

ที่มาของภาพ : Narin Sun/ BBC Thai

เนียน ยอม บอกว่าตอนนี้เขารู้สึกว่า “ไม่มีที่ปลอดภัยเลย” หลังพบเครื่องบินรบและโดรนบินใกล้กับค่ายผู้อพยพ”

ด้าน ซก ทา ชาวนาวัย 60 ปีจาก อ.สวายเจก จ.บันเตียเมียนเจย เล่าให้ฟังว่าเขาอพยพจากบ้านของตัวเอง หลังมีการทิ้งsะเบิดในหมู่บ้านของเขาซึ่งอยู่ใกล้จุดปะทะที่เขตบึงตระกวน ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนกัมพูชา ด้านที่อยู่ใกล้กับภาคตะวันออกของประเทศไทย

“ผมเห็นเครื่องบินมุ่งหน้าเข้ามา และทิ้งsะเบิดลงในพื้นที่ที่อยู่ห่างจากบ้านของผมไปประมาณ 3 กม.” ชาวนาผู้เป็นพ่อของลูก 4 คนและมีภาวะพิการที่ขาขวา ระบุ

ในวันแรกของการปะทะเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ซก ทา ตัดสินใจอยู่ที่บ้านและสังเกตสถานการณ์ “แต่เมื่อsะเบิดเริ่มลงใกล้บ้านผมขึ้นเรื่อย ๆ ผมตัดสินใจทิ้งบ้านในวันที่ 10 ธ.ค.” ชาวนาผู้นี้อธิบาย ตอนนี้เขาพักอยู่ที่ค่ายผู้อพยพที่เจดีย์ปอร์เบยเดิร์ม (Por Bey Derm) ใน จ.บันเตียเมียนเจย

ซก ทา ไม่ได้ต้องอพยพในรอบการปะทะเมื่อเดือน ก.ค. เพราะขณะนั้นหมู่บ้านของเขาไม่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบ แต่เขามองว่า “การสู้รบครั้งนี้มันรุนแรงขึ้น และพวกเขาใช้เครื่องบินทิ้งsะเบิดมากขึ้น ผมคิดว่ามันจะนานกว่าเดิม”

ที่มาของภาพ : Narin Sun/ BBC Thai

ซก ทา อยากให้การสู้รบสิ้นสุดโดยเร็ว เพื่อที่เขาจะได้กลับบ้านและกลับไปทำนา

ใช้ชีวิตลำบาก ขาดแคลนน้ำ อาหาร ผลกระทบผู้อพยพชาวกัมพูชา

จากตัวเลขเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. กระทรวงมหาดไทยของกัมพูชารายงานความเสียหายจากการปะทะกับไทย มีพลเรือนเสียชีวิตแล้ว 15 คน และบาดเจ็บอีก 74 คน นอกจากนี้ มีผู้ต้องอพยพมากกว่า 420,000 คน

ผู้อพยพส่วนหนึ่งเล่าว่าพวกเขานอนหลับไม่ค่อยลงในขณะพักอาศัยที่ค่ายอพยพ และกำลังประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำและอาหาร

“การอยู่ที่ค่าย ผู้อพยพ มันยากลำบากมาก เราไม่มีน้ำหรืออาหาร และมันก็ยากที่นอนหลับได้ ผมมีเป็ดและไก่อยู่ประมาณ 30 ตัวที่บ้าน ตอนนี้พวกมันอาจจะเสียชีวิตหรือถูกขโมยไปแล้วเมื่อไม่มีใครไปดูแลมันเลย หากสงครามยืดเยื้อ คนที่ค่าย ผู้อพยพ จะเดือนร้อน และมันจะยากมาก ๆ สำหรับพวกเขา” เนียน ยอม สะท้อน

โซริน หญิงชาวกัมพูชาวัย 20 ปี บอกด้วยว่า การที่ต้องมาอยู่ศูนย์อพยพทำให้เธอขาดรายได้ไปเลย และไม่สามารถช่วยจ่ายหนี้ให้กับครอบครัวได้เหมือนกับก่อนที่การสู้รบครั้งนี้จะปะทุขึ้น

“ฉันอยากให้สงครามนี้มันจบลงเร็ว ๆ เพราะมันยากมากนะ สำหรับคนจน” เธอกล่าว

“หากมันไม่จบ คนที่อยู่ในค่าย ผู้อพยพ จะต้องเจอกับความยากลำบากมากมาย ทั้งสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี การขาดแคลนน้ำและอาหาร และมันก็ยากที่จะนอนหลับลง ฉันเคยมีรายได้เดือนละ 100 ดอลลาร์ (ราว 3,100 บาท) แต่ฉันต้องส่งเงินให้พ่อแม่ 50 ดอลลาร์ (ราว 1,600 บาท) เพื่อจ่ายหนี้ ซึ่งตอนนี้ฉันช่วยที่บ้านจ่ายไม่ได้เลย” เธอตัดพ้อ

ขณะที่ซก ทา ผู้ซึ่งมีลูก 4 คน บอกว่าลูก ๆ ของเขาไม่สามารถไปโรงเรียนได้ตามปกติ เมื่อเกิดเหตุปะทะบริเวณชายแดน

“ความขัดแย้งนี้ทำให้ผู้คนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมาก ลูก ๆ ผมยังเล็ก และพวกเขาไม่สามารถไปโรงเรียนได้” เขาบอก

“ที่ค่าย อพยพ เราก็เจอกับการขาดแคลนน้ำดื่มอาหาร และเราไม่ได้นอนหลับอย่างเหมาะสม” ซก ทา สะท้อน “หากสงครามดำเนินต่อไปนานกว่านี้ เราจะอยู่ที่ค่าย ผู้อพยพ นานกว่านี้ได้ยังไง ไม่มีอาหารให้เรากินนะ”

ที่มาของภาพ : Reuters

กระทรวงมหาดไทยของกัมพูชารายงานจากการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้มีชาวกัมพูชาต้องอพยพแล้วกว่า 420,000 คน (ข้อมูลวันที่ 16 ธ.ค.)

“มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย”

ผู้อพยพทั้งสามคนที่ผู้สื่อข่าวพิเศษของ.ได้พูดคุยสะท้อนตรงกันว่า พวกเขาอยากให้การสู้รบครั้งนี้สิ้นสุดลงโดยเร็ว

“ผมอยากกลับสู่สถานการณ์สงบที่ไม่มีการยิvปะทะใด สงครามครั้งนี้คือหายนะของทั้งสองประเทศและไม่ได้ช่วยให้พวกเขาก้าวหน้าขึ้นเลย แต่ผมคิดว่ามันยากสำหรับทั้งสองประเทศที่จะประนีประนอมและต่อรองกัน” เนียน ยอม บอก

เขาคาดการณ์ว่าการสู้รบครั้งนี้จะทำให้ “คนอาจจะต้องอยู่ที่ค่ายผู้อพยพอีกหลายวัน” เพราะมีการปะทะรุนแรงกว่าในรอบเดือน ก.ค.

“หากรัฐบาลของสองประเทศสามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยตัวของพวกเขาเองโดยที่ไม่มีประเทศอื่น ๆ มาเกี่ยวข้อง พวกเขาก็ควรทำ ผมไม่ต้องการเห็นสงครามแบบนี้ ทั้งสองประเทศควรจะเจรจาต่อรองและประนีประนอมกัน ประเทศอื่น ๆ ก็ช่วยไม่ได้หรอกถ้ากัมพูชาและไทยไม่แก้ปัญหานี้ด้วยตัวเอง เพราะพวกเขาคือผู้ที่กำลังสู้รบกันอยู่ตอนนี้” เขากล่าวเสริม

ที่มาของภาพ : Getty Pictures

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของไทย (ซ้าย) และนายฮุน มาเนต (กลาง) นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ลงนามในถ้อยแถลงร่วมเมื่อ 26 ต.ค. ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ (ขวา) เป็นสักขีพยาน

ขณะที่โซริน มองว่า “ตอนนี้ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยแล้ว แม้แต่ที่ที่ฉันอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้ปลอดภัยทั้งหมด”

“ฉันไม่คิดว่าความขัดแย้งนี้จะจบลงโดยเร็ว แม้จะมีการหยุดยิv แต่พวกเขาก็เข้ากันไม่ได้” เธอกล่าว “รัฐบาลสองประเทศควรจะพบหน้าและเจรจากัน และประเทศนานาชาติอื่น ๆ ก็เข้ามาช่วยด้วยได้… แต่ฉันคิดว่าประเทศไทยไม่ได้เคารพข้อตกลงหยุดยิvและต้องการจะรุกรานประเทศของเรา”

เช่นเดียวกับ ซก ทา ที่มองว่า “การสู้รบครั้งนี้มันรุนแรงขึ้น และพวกเขาใช้เครื่องบินทิ้งsะเบิดมากขึ้น ผมคิดว่ามันจะนานกว่าเดิม”

“ผมต้องการสันติภาพเพื่อที่ผมจะได้กลับบ้านและกลับไปทำนา… ผมหวังว่ารัฐบาลทั้งสองประเทศจะเจรจาต่อรองเพื่อจบสงครามนี้ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยในการก่อสงครามนี้ มีคนต้องทนทุกข์จำนวนมาก” เขากล่าว