อะไรคือแต้มต่อของกัมพูชา กรณีนำ 4 พื้นที่พิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชาขึ้นศาลโลก

ที่มาของภาพ : กองทัพบก

เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ไทยและกัมพูชาตกลงปรับกำลังพลให้กลับไปสู่แนวเดิมเมื่อปี 2567 เพื่อลดการเผชิญหน้า พร้อมกับกลบคูติดต่อ (คูเลต) กลับไปสู่สภาพเดิม

ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เห็นตรงกันว่า ลัทธิชาตินิยมที่กำลังขับเคลื่อนการเมืองภายในกัมพูชาส่งผลให้เกิดความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ที่ยังดำเนินอยู่จนถึงตอนนี้

ทาง ศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิจัยประจำศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต มองว่าสายสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฮุนและตระกูลชินวัตร อาจเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งที่ปะทุขึ้น

ขณะที่ รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นว่าไม่อาจตัดอิทธิพลของจีนที่มีผลต่อความมั่นใจในแต้มต่อของกัมพูชาได้

ทั้งคู่ให้ความเห็นในงานเสวนาวิเคราะห์สถานการณ์ เรื่อง “ช่องบก-ตาเมือน: ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา บนกระดานการเมืองและเวทีศาลโลก” จัดขึ้นโดยสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโครงการศิลป์เสวนา คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ วันนี้ (9 มิ.ย.)

.รวบรวมบางส่วนของเนื้อหางานเสวนา เพื่อหาคำตอบว่าเหตุใดกัมพูชาจึงมั่นใจว่าตนเองจะได้เปรียบในศาลโลก และภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังส่งผลต่อความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาในครั้งนี้อย่างไร

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด

Demolish of ได้รับความนิยมสูงสุด

กัมพูชามั่นใจในแต้มต่ออะไร จึงต้องการพึ่งศาลโลก ?

รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าวว่าคำตัดสินของศาลโลกกรณีปราสาทเขาพระวิหารในอดีต มีหลายอย่างที่เป็นคุณแก่กัมพูชา เขาจึงเชื่อว่าทางกัมพูชาจะยื่นหลักฐานบางอย่างเพื่อให้ศาลพิจารณาขยายอาณาเขตที่ต่อเนื่องไปจากตัวปราสาทเขาพระวิหารซึ่งศาลโลกตัดสินแล้วว่าเป็นของกัมพูชา “โดยขึงแนวให้ไปถึงปราสาทตาเมือน ช่องบก และสามเหลี่ยมมรกตด้วย”

“จากประสบการณ์ของกัมพูชา ศาลโลกก็เป็นแพลตฟอร์ม (platform) อย่างหนึ่งที่เต็มไปด้วยคอนเน็คชัน (connection) หรือคณะบุคคลที่เขาสบายใจ หรือมีเกณฑ์การตีความหลักฐานที่ทางกัมพูชาดูสบายใจ” อาจารย์จากคณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าว

สาเหตุที่ รศ.ดร.ดุลยภาค มองว่ากัมพูชาเตรียมการในเรื่องนี้มานานแล้ว ก็เพราะว่าหลังเกิดเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาเมื่อวันที่ 28 พ.ค. ที่ผ่านมา การโต้ตอบกลับของนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เกิดขึ้นในหลายมิติพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นปฏิบัติการทางทหาร ปฏิบัติการทางการทูต ไปจนถึงปฏิบัติการทางการเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจคิดได้ในเวลาฉับพลัน

“กัมพูชาพยายามใช้ยุทธศาสตร์กดดันประเทศไทยในหลายมิติ เช่น การมีปฏิบัติการทางวัฒนธรรม ส่งคนขึ้นมาร้องเพลงที่ปราสาทตาเมือนธม ออกมิวสิควิดีโอเกี่ยวกับตาเมืองที่รัก…อะไรทำนองนี้ มีนักบวชเข้ามาตั้งถิ่นฐานหรือแสดงกิจกรรมในพื้นที่ที่ทางไทยก็คิดว่าเป็นของไทย…อะไรแบบนี้ แถวชายแดนอีสานใต้ก็มีการตรวจพบครอบครัวทหารกัมพูชาเข้ามาสร้างหมู่บ้านยุทธศาสตร์ชายแดนเป็นจำนวนมาก ซึ่งเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว แต่ของทหารไทยไม่ได้ใช้ระบบครอบครัวทหารเช่นนี้ เวลาส่งคนไปประจำการแนวหน้า” อาจารย์จาก มธ. อธิบาย

ดังนั้น เขาจึงเห็นว่านายฮุน มาเนต จะเอาของเก่าหลาย ๆ อย่างเข้ามาต่อยอด ประกอบกับแนวคิดอัตลักษณ์อาณาเขต (Territorial Identities) ของผู้นำกัมพูชาที่มองว่าดินแดนใดที่เขมรมีอิทธิพลมาก่อนในอดีตก็ย่อมเป็นดินแดนของตน ก็ยิ่งทำให้รัฐบาลพนมเปญมีความมั่นใจว่ากัมพูชามีความได้เปรียบมากกว่า หากนำพื้นที่พิพาทเข้าสู่ศาลโลก

ที่มาของภาพ : Getty Photos

ปราสาทตาเมือนธมคือ 1 ใน 4 พื้นที่พิพาทที่ทางกัมพูชาจะนำขึ้นศาลโลก แม้ไทยยืนยันว่าไม่ยอมรับในอำนาจของศาลโลกมาหลายทศวรรษแล้วก็ตาม

ด้าน ศ.ดร.ปวิน มองว่าการที่กัมพูชาเป็นประเทศเล็ก ๆ สามารถเรียกความเห็นอกเห็นใจ (sympathy) จากประเทศต่าง ๆ ได้พอสมควร โดยเฉพาะเมื่อถูกเปรียบเทียบกับไทยซึ่งเป็นประเทศใหญ่กว่า ส่งผลให้กัมพูชาจะได้เปรียบกว่าในเวทีศาลโลก

เขายังชี้ให้เห็นว่ากัมพูชาพยายามสื่อสารว่าเรื่องกรณีพิพาทไม่อาจแก้ปัญหาด้วยกลไกทวิภาคีซึ่งเป็นโต๊ะเจรจาระหว่างสองประเทศ แต่ในเวลาเดียวกัน กัมพูชาก็ไม่เลือกใช้กลไกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน (ASEAN) เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา แต่กลับข้ามไปยังศาลโลกเลย ซึ่งสะท้อนเป็นนัยว่า “กัมพูชาเห็นว่าไทยมีเสียงดังในองค์กรอาเซียนมากกว่า เมื่อเทียบกับกัมพูชาซึ่งเป็นประเทศเล็ก ไม่นับรวมว่าไทยมียังมีอิทธิพลอยู่ในมากในฐานะหนึ่งในประเทศผู้ก่อตั้งองค์กรอาเซียน”

นักวิชาการจาก ม.เกียวโต ยังเชื่อว่าความมั่นใจของกัมพูชาน่าจะได้รับอิทธิพลจากประเทศมหาอำนาจอย่างจีนด้วย เนื่องจากปัจจุบันจีนเป็นผู้ลงทุนหลักในกัมพูชาและมีผลประโยชน์ร่วมกันอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในสีหนุวิลล์ ท่าเรือเรียม ไปจนถึงคลองฟูนันเตโชที่กำลังก่อสร้างอยู่ในขณะนี้

ที่มาของภาพ : FACEBOOK/Samdech Hun Sen

สมเด็จฮุน เซน โพสต์ภาพถ่ายคู่กับ ทักษิณ ชินวัตร โดยระบุว่า “แม้ว่าท่านจะเจ็บป่วย แต่ยังมีความเป็นพี่น้อง” หลังมาเยี่ยมอดีตนายกฯ ไทยที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เมื่อ 21 ก.พ.

นอกจากนี้ ศ.ดร.ปวิน ยังชี้ให้เห็นว่าพลวัตความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฮุนของกัมพูชาและตระกูลชินวัตรของไทยอยู่ในจุดที่ “ฮุน เซน มองว่าอยู่ในจุดที่จะเรียกร้องอะไรจากทักษิณได้” ซึ่งช่วยเสริมความมั่นใจให้กับสองพ่อลูกตระกูลฮุนด้วย

“ความขัดแย้งมันเกิดขึ้นในยุค peak (จุดสูงสุด) ของความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา ซึ่งเป็นจุด peak ในแง่บวกที่ว่า คนในรัฐบาลของทั้งสองฝ่ายเป็นมิตรกัน ซึ่งไม่ใช่แค่เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเท่านั้น แต่เป็นมิตรในแง่ของความผูกพันระหว่างตัวผู้นำของทั้งสองประเทศ” รศ.ดร.ปวิน หมายถึงความแนบชิดระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย และสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผู้ดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาของกัมพูชาในปัจจุบัน

เขามองว่าปกติคนจะเข้าใจว่าความขัดแย้งระหว่างสองประเทศมักเกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลของแต่ละฝ่ายไม่เป็นมิตรกัน แต่สถานการณ์ในตอนนี้กลับตรงกันข้าม

“มันทำให้เราตั้งคำถามว่าความสัมพันธ์ในเชิงตัวบุคคลที่ทั้งสองฝ่ายเอ่ยถึงบ่อย ๆ มันอยู่ตรงไหนในความขัดแย้งนี้ มันไม่ช่วยเลยใช่ไหม หรือมันทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งแย่ลง” ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นตั้งคำถาม

ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ?

ศ.ดร.ปวิน มองว่าข้อพิพาทเรื่องเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาในตอนนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากประเด็นทางการเมืองมากกว่าปัญหาด้านกฎหมายและเทคนิคการปักหลักเขตแดน (Demarcation of Boundary) โดยเขามองว่าผู้นำตระกูลฮุนรุ่นสองประสบปัญหาการเมืองภายในมากมาย จึงจำเป็นต้องใช้ลัทธิชาตินิยมเข้ามาเบี่ยงเบนความสนใจประชาชน

ขณะที่ รศ.ดร.ดุลยภาค เห็นพ้องกันในประเด็นนี้ และอธิบายเพิ่มเติมว่ารัฐบาลกัมพูชาอาศัยลัทธิชาตินิยมเพื่อทำให้คนในชาติมองประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ไทยและเวียดนาม ให้เป็นศัตรูร่วมของชาติ และสื่อว่ากัมพูชาจะไปชิงดินแดนคืน โดยหวังว่าจะได้อาณาเขตหรือดินแดนเพิ่มเติม ซึ่งหากทำได้ รัฐบาลพนมเปญจะได้ประโยชน์ทางการเมืองไปในตัว

ขณะเดียวกัน ฝ่ายค้านของกัมพูชาก็อาศัยกลยุทธ์นี้เช่นกัน แต่เน้นทวงคืนดินแดนจากฝั่งพรมแดนเวียดนาม-กัมพูชา เป็นหลัก และโจมตีสองพ่อลูกตระกูลฮุนว่าไม่กล้าทำอะไรกับชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะมีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างสองตระกูล

“ในห้วงนี้ฝ่ายค้านก็ได้แฟนคลับ ขณะที่ฝั่งรัฐบาลก็เปิดข้อพิพาทชายแดนกับฝั่งไทย เพื่อแย่งชิงฐานเสียงและคะแนนความนิยม” รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าว และบอกด้วยว่าหากสองพ่อลูกตระกูลฮุนสามารถอ้างสิทธิอาณาเขตบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาได้เพิ่มเติม จะส่งผลให้ระบอบฮุนเซนแข็งแกร่งมากขึ้นในอนาคต

ด้าน ศ.ดร.ปวิน เสริมว่าบาดแผลทางประวัติศาสตร์ระหว่างไทย-กัมพูชา นั้นลึกกว่าหากเทียบกับเวียดนาม ขณะเดียวกันชนชั้นนำกัมพูชาก็มีความสนิทสนมกับชนชั้นนำของเวียดนามมากกว่า ส่งผลให้การกระทบกระทั่งระหว่างไทย-กัมพูชานั้นปะทุขึ้นได้ง่าย

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ชุมนุมประท้วงหน้าสถานทูตราชอาณาจักรกัมพูชาประจำประเทศไทย กรณีข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.

ในงานเสวนาครั้งนี้ อาจารย์จาก ม.ธรรมศาสตร์ หยิบยกคำพูดของนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาที่ระบุในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 29 พ.ค. ว่า “ขอสงวนสิทธิ์ใช้ทุกวิถีทางเพื่อปกป้อง ‘อัตลักษณ์อาณาเขต (Territorial Identity)'” ซึ่งเป็นคำที่เขาบอกว่าไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก

รศ.ดร.ดุลยภาค อธิบายว่า “อัตลักษณ์อาณาเขต” เป็นแนวคิดที่ชุมชน สังคม หรือรัฐหนึ่ง ๆ ใช้ความรู้สึกหรือความนึกคิดของตนไปผูกติดกับเขตดินแดนเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ซึ่งเป็นแนวคิดความเป็นชาติของฝ่ายตน แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นบ่อเกิดความขัดแย้งและสงครามระหว่างประเทศ เพราะบ่มเพาะลัทธิเกลียดชังและระแวงชาวต่างชาติในเวลาเดียวกัน

เขากล่าวต่อว่าเห็นกัมพูชาปฏิบัติการทางวัฒนธรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังอำนาจเชิงอัตลักษณ์อาณาเขตโดยตลอด โดยคิดว่าพื้นที่ใดมีวัฒนธรรมเขมร ก็ไปอ้างสิทธิ์ในปราสาทหิน ศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ ด้วยความรู้สึกว่าที่ตรงนั้นเป็นของกัมพูชา โดยไม่ได้คำนึงว่าพื้นที่นั้นอาจอยู่นอกเขตอธิปไตยแห่งรัฐกัมพูชาก็ได้ ซึ่งเขาอ้างว่ากลยุทธนี้ดำเนินมาตั้งแต่สมัยอดีตนายกรัฐมนตรีสมเด็จฮุน เซน ผู้พ่อ ต่อเนื่องมาจนถึงผู้นำจากตระกูลฮุนรุ่นสอง และสามารถสร้างฐานเสียงสนับสนุนจากชาวกัมพูชาได้จำนวนหนึ่งด้วย หากติดตามการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ลัทธิชาตินิยมเช่นนี้เป็นผลดีต่อกัมพูชาในการหลอมรวมผู้คนภายในประเทศ แต่เป็นอันตรายกับสันติภาพของภูมิภาค” เขากล่าว และตั้งข้อสังเกตด้วยว่าในสมัยการปกครองของยุคนายฮุน มาเนต ดูเหมือนว่ารุ่นสองของตระกูลฮุนพยายามทำให้ประเทศเล็ก ๆ อย่างกัมพูชาขึ้นมามีอิทธิพลในภูมิภาคนี้มากขึ้น และการเคลื่อนไหวกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนกับไทยก็เป็นหนึ่งในเกมรุกของผู้นำรายนี้

“การปะทะในครั้งนี้เป็นความบังเอิญหรือเปล่า ?” รศ.ดร.ดุลยภาค ตั้งคำถามเกี่ยวกับการปะทะที่เกิดขึ้นแถวช่องบก จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ที่ผ่านมา และมีทหารกัมพูชาเสียชีวิตหนึ่งราย แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีรายงานการสอบสวนข้อเท็จจริงว่าใครเป็นผู้เริ่มก่อน โดยต่างฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มยิvในช่วงเช้ามืดของวันเกิดเหตุ

รศ.ดร.ดุลยภาค วิเคราะห์ว่า หากการปะทะเป็นเรื่องบังเอิญ ป่านนี้คงสามารถตกลงกันได้และจบลงแล้ว เพราะหน่วยทหารในพื้นที่มีความรู้จักกันดี แต่จนถึงตอนนี้เห็นได้ชัดว่าทางกัมพูชามีกระบวนการทำงานรับลูกกันอย่างต่อเนื่องเพื่อชิงความได้เปรียบ ซึ่งสะท้อนว่ารัฐบาลพนมเปญเตรียมการเรื่องนี้ไว้เป็นอย่างดี จึงสามารถเปิดเกมรุกได้เร็ว ขณะที่ฝั่งไทยยังมึนงงในตอนแรก ส่งผลให้การตอบสนองของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร เกิดขึ้นช้ากว่าที่ควรจะเป็น

เขายังชี้ให้เห็นว่าระบอบการปกครองของตระกูลฮุนจะอยู่ไปอีกนาน และยาวนานกว่ารัฐบาลแพทองธารอย่างแน่นอน จึงเป็นโจทย์ฝ่ายความมั่นคงของไทยว่าจะจัดการบริหารความขัดแย้งเรื่องนี้ในระยะยาวอย่างไร โดยพร้อมกันนี้ เขาเรียกร้องให้อาเซียนแสดงท่าทีห้ามปรามตระกูลฮุนไม่ให้ใช้ลัทธิชาตินิยมอย่างหนักมืออีกทางด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้กระทบต่อสันติภาพในภูมิภาค

ที่มาของภาพ : กองทัพบก

แนวคูเลตที่ทางกัมพูชากลบให้กลับไปอยู่สภาพเดิม

วานนี้ (8 มิ.ย.) กองทัพบกเปิดเผยว่าจากการเจรจาระหว่าง พล.ท.สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ของกัมพูชา กับ พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี พร้อมด้วย พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 พบว่าทั้งสองฝ่ายเห็นชอบการปรับวางกำลังพลให้กลับไปสู่แนวเดิมเมื่อปี 2567 เพื่อลดการเผชิญหน้า พร้อมกับกลบคูติดต่อ (คูเลต) กลับไปสู่สภาพเดิม เพื่อให้เกิดบรรยากาศที่เอื้อต่อการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา หรือ เจบีซี (Joint Boundary Commission – JBC) ซึ่งจะจัดขึ้นในกรุงพนมเปญวันที่ 14 มิ.ย. นี้

รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าวว่า “ขุดเอง กลบเอง มันก็ฟ้องแล้วว่าทางกัมพูชาละเมิด MOU43” ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างไทยกับกัมพูชาว่าจะไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพใด ๆ ในพื้นที่ที่ยังตกลงปักหลักเขตแดนด้วยกันไม่ได้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจาก ม.ธรรมศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่านี่เป็นหนึ่งในหลักฐานว่ากัมพูชามีการวางแผนอ้างสิทธิในเขตแดนตามการตีความของตนอย่างเป็นระบบ

อิทธิพลของพญามังกรในประเด็นความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าวว่าต้องจับตามองการซ้อมรบของกองทัพเรือกัมพูชาซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 11-13 มิ.ย. ซึ่งจะเป็นการซ้อมยิvกระสุนจริงและคาดว่าจะมีเรือรบของจีนเข้ามาร่วมฝึกซ้อมด้วย

ทั้งนี้ พื้นที่ซ้อมรบอยู่บริเวณเกาะปูลูไว เกาะตัง ในพื้นที่เกาะพระสีหนุ ห่างจากเกาะกูด จ.ตราด มากกว่า 150 กิโลเมตร

“ต้องมาดูกันว่าการซ้อมรบครั้งนี้จะเป็นการยั่วยุทางการทหารหรือเป็นการบั่นทอนบรรยากาศการเจรจาวง JBC หรือไม่” อาจารย์จาก ม.ธรรมศาสตร์ กล่าว

เขากล่าวต่อว่าอาเซียนพยายามสร้างภูมิภาคนี้ให้มีความเป็นกลาง เสรีภาพ และสันติภาพ แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอาเซียนถูกมองว่าห่างไกลจากภาพนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเขาหยิบยกเหตุการณ์ปี 2555 ที่ทางกัมพูชาถูกชาติสมาชิกอาเซียนมองว่าเอนเอียงไปหาจีนอย่างเห็นได้ชัด โดยกัมพูชาซึ่งดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในขณะนั้น พยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงปัญหาทะเลจีนใต้ในการประชุม ซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างจีนกับหลายประเทศในอาเซียน เช่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย บรูไน และเวียดนาม

ในห้วงเวลานั้น ฟิลิปปินส์ยังเป็นผู้นำผลักดันนำร่างระเบียบปฏิบัติทางทะเล เพื่อเจรจากับจีนในลักษณะพหุภาคีสมาชิกอาเซียน แม้จีนต้องการให้เจรจาแบบทวิภาคีเป็นราย ๆ ไป โดยทาง รศ.ดร.ดุลยภาคกล่าวว่าทางจีนใช้ความสนิทสนมกับกัมพูชา ทำให้กลไกแบบพหุภาคีเพื่อต่อรองกับจีนไม่เกิดขึ้น

“เราจึงต้องมาดูว่าในวันนี้กัมพูชาละเมิดหลักการอาเซียนในฐานะเขตสันติภาพ เสรีภาพ และความเป็นกลางหรือเปล่า หากจะซ้อมรบกับจีนใกล้กับเกาะกูด ทั้งสองฝ่ายต้องพิจารณาด้วยว่ากำลังทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเป็นกลางอยู่หรือไม่” รศ.ดร.ดุลยภาพ กล่าว

เขาเสริมด้วยว่าไทยควรสื่อสารให้จีนเข้าใจด้วยว่าไม่ควรสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ในช่วงนี้ เพราะมันจะทำลายบรรยากาศสันติภาพในภูมิภาค และทำให้ไทยต้องพร้อมป้องกันตัวโดยคำนึงว่า “มีสัดส่วนของอาวุธจีนเข้าไปในอำนาจกำลังรบเชิงเปรียบเทียบของทหารเขมรกี่เปอร์เซ็นต์”

“นั่นแสดงว่าเราจะไม่ได้ซัดกับทหารเขมรโดด ๆ แต่ซัดกับยุทโธปกรณ์ของจีน หรือมีแนวโน้มว่าจีนจะช่วยเหลือกัมพูชาก็เป็นได้ หากไทยเปิดการรุกรานโดยใช้กำลังรบขนาดใหญ่” ผู้เชี่ยวชาญจากธรรมศาสตร์วิเคราะห์

ที่มาของภาพ : Getty Photos

นายฮุน มาเนต (กลาง) นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในงานพิธีเปิดคลองขุดฟูนันเตโชความยาว 180 กิโลเมตร ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจากจีน

ด้าน ศ.ดร.ปวิน กล่าวเสริมว่าต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์เพิ่มเติม หากจะมองว่าจีนจะยืนอยู่จุดไหนหากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา บานปลาย

“เราอาจจะคิดว่าเรา (หมายถึงไทย) มีความสำคัญกับจีนมากกว่ากัมพูชา เพราะเราเป็นประเทศที่ใหญ่กว่า มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่า แต่อย่าลืมว่าจีนสามารถ retain watch over (ควบคุม) กัมพูชาได้มากกว่า retain watch over ไทย เพราะจริง ๆ แล้วไทยยังมีผู้เล่นอื่น ๆ ที่เราสามารถเอนหลังไปได้ เช่น สหรัฐอเมริกา” อาจารย์จาก ม.เกียวโต กล่าว

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมา สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย แถลงว่าจีนยึดมั่นในหลักการแก้ไขข้อพิพาทโดยผ่านการเจรจาและปรึกษาหารือกัน เพื่อรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค ไทยและกัมพูชาล้วนเป็นมิตรประเทศที่บ้านใกล้เรือนเคียงของจีน จีนหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะใช้ความยับยั้งชั่งใจ ส่งเสริมการพูดคุยสื่อสารและเจรจากัน เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายลงโดยเร็ว

ทั้งนี้ จีนยินดีที่จะประสานกับทั้งไทยและกัมพูชาต่อไป และจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค

เราจะคาดหวังอะไรได้ในจากการประชุม JBC ที่จะถึงนี้

ศ.ดร.ปวิน ซึ่งเคยเป็นอดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศของไทย กล่าวในงานเสวนาว่าสุดท้ายแล้วการเจรจา JBC ในวันที่ 14 มิ.ย. นี้น่าจะเป็นช่องทางที่รอมชอมมากที่สุดของทั้งสองฝ่าย และ “ช่วย fetch (จำกัดวง) ความขัดแย้งได้ดีที่สุด” ในเวลานี้

ทว่า หากถึงจุดหนึ่งที่กลไกทวิภาคีเช่นนี้ไปถึงทางตันซึ่งหาทางออกไม่ได้ อาจารย์จาก ม.เกียวโต ก็มองว่าอาเซียนเข้ามาเกี่ยวข้องก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่เลวร้ายนัก

ศ.ดร.ปวินยังเน้นย้ำด้วยว่ากรณีข้อพิพาทเกี่ยวกับเส้นเขตแดนที่เกิดขึ้น ต้องไม่ลืมว่าปัญหามาจากการปักหลักเขตแดนที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้

“บางทีการที่สองฝ่ายรู้อยู่แล้วว่าการจะต้องมานั่งแล้วลากเส้น เขตแดน กัน ในที่สุดแล้วมันจะต้องมีใครยอม-ใครไม่ยอม ใครได้-ใครเสีย มันเป็นเรื่องลำบากมาก ดังนั้นการปล่อยให้มันเบลอ คลุมเครือแบบนั้นเนี่ย แล้วได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย มันอาจจะเป็นทางออกที่ดีเสียกว่า” เขากล่าว

ด้าน รศ.ดร.ดุลยภาค บอกว่า กรณีที่กัมพูชาจะไม่นำ 4 พื้นที่พิพาท ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม (Ta Moan Thom), ตาเมือนโต๊ด (Ta Moan Toch), ปราสาทตาควาย (Ta Kro Bei temples) และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต (Mombei fetch 22 situation) มาคุยในการประชุมที่จะถึงนี้ ก็ไม่เป็นไร เพราะสุดท้ายแล้วกัมพูชาก็คงต้องพยายามทำตามความประสงค์ของตัวเอง

อาจารย์จากธรรมศาสตร์แนะนำว่า อย่างไรก็ตามไทยต้องหนักแน่นในหลักการจัดการความขัดแย้ง และแสดงให้เห็นว่ามีความอดทนอดกลั้นจนถึงที่สุด รวมถึงสอบสวนหาข้อเท็จจริงเหตุยิvปะทะวันที่ 28 พ.ค. เพื่อคลี่คลายเหตุการณ์ที่นำไปสู่ปมขัดแย้งระหว่างสองประเทศ