เกิดอะไรขึ้นกับคดีทางการเมือง หลังมีคำพิพากษา 16 คดีภายใน ส.ค. เพียงเดือนเดียว

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

เมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา นายทักษิณ ชินวัตร รอดจากคดี ม.112 แต่ปัจจุบันเขาถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (อม.) มีคำสั่งบังคับโทษจำคุกเป็นเวลา 1 ปี เนื่องจากไม่ถือว่าการรักษาตัวอยู่ที่ รพ. ตำรวจ เป็นระยะเวลาในการคุมขัง

Article Knowledge

    • Creator, จิราภรณ์ ศรีแจ่ม
    • Characteristic, ผู้สื่อข่าว.

จากข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่าตลอดเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ศาลชั้นต่าง ๆ มีคำพิพากษาคดีทางการเมืองอย่างน้อย 16 คดี ซึ่งถือว่ามากที่สุดในปีนี้ที่เฉลี่ยแล้วมีคำพิพากษาประมาณ 2-6 คดีต่อเดือน

สำหรับคดีที่ศาลชั้นต่าง ๆ มีคำพิพากษาออกมา ทางศูนย์ทนายฯ แบ่งเป็นคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 รวม 6 คดี และเป็นคดีอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์การชุมนุมและการแสดงความเห็นทางการเมืองอีก 10 คดี

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของคดี ม.112 พบว่ามีคดีที่มีคำพิพากษายกฟ้อง ได้แก่ คดีของนายปิยรัฐ จงเทพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เขต 23 (พระโขนง-บางนา) พรรคประชาชน กรณีโพสต์ข้อความวิจารณ์สลายการชุมนุม-พาดพิงการใช้ภาษีของสถาบันกษัตริย์ในปี 2563 โดยเขาถูกตั้งข้อหาละเมิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้องพร้อมกับคดี ม.112 ด้วย

อีกคดีหนึ่ง คือกรณีที่ศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้องคดี ม. 112 ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

นั่นแปลว่าในเดือน ส.ค. มีคดี ม.112 ที่ยกฟ้อง 2 คดี ส่วนอีก 4 คดีที่เหลือศาลชั้นต่าง ๆ มีคำพิพากษาว่ามีความผิดตาม ม.112

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Terminate of ได้รับความนิยมสูงสุด

สำหรับคดีที่เกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์การชุมนุมและการแสดงความเห็นทางการเมือง พบว่ามีคำพิพากษายกฟ้อง 5 คดีด้วยกัน ขณะที่อีก 5 คดี ศาลมีคำพิพากษาว่ามีความผิดจริง

จากรายงานของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ระบุด้วยว่าหลังศาลมีคำพิพากษาและไม่ให้ประกันตัว ส่งผลให้มีผู้ต้องขังรายใหม่เพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 4 รายด้วยกัน

ทั้งนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 9 ก.ย. 2568 พบว่ามีผู้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจากคดีทางการเมืองแล้วอย่างน้อย 54 ราย

พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน บอกกับ.ว่า จำนวนคดีที่มีคำพิพากษาช่วงเดือน ส.ค. ซึ่งมากถึง 16 คดีด้วยกันนั้น เป็นเรื่องของ “จังหวะเวลา” มากกว่า เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วเป็นคดีความที่ถูกตั้งข้อหาตั้งแต่ช่วงที่มีการชุมนุมใหญ่ในปี 2563-2564 และมองว่าจะเห็นคดีที่มีคำพิพากษามากขึ้นในช่วงปีนี้และปีหน้า

3 แนวโน้มคดีทางการเมืองในปีนี้

พูนสุขกล่าวว่านับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา มีคดีทางการเมืองที่มีคำพิพากษาแล้วอย่างน้อย 196 คดี โดยในจำนวนนี้มี 103 คดีที่จำเลยต่อสู้และมีคำพิพากษายกฟ้องหรือตัดสินมีความผิดจริง ส่วนจำนวนที่เหลือเป็นคดีที่จำเลยยอมรับสารภาพ ซึ่งบางครั้งศาลอาจให้รอลงอาญาหรือไม่ก็ได้

เธอกล่าวต่อว่าแนวโน้มที่เห็นมากขึ้นในปีนี้คือ บางคดีที่เคยยกฟ้องในศาลชั้นต้น กลับมาถูกลงโทษในศาลอุทธรณ์ ยกตัวอย่างในวันที่ 14 ส.ค. ที่ผ่านมา สุปรียา ใจแก้ว อดีตนักกิจกรรมใน จ.เชียงราย ปัจจุบันเป็นทีมงานพรรคเพื่อไทย ถูกศาลอุทธรณ์ภาค 5 กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่ามีความผิดตาม ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากกรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้วางป้ายผ้าที่มีข้อความว่า “งบสถาบันฯ > งบเยียวยาประชาชน” บริเวณห้าแยกพ่อขุนเม็งราย อ.เมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2564

ข้อมูลจากเว็บไซต์ของศูนย์ทนายความฯ ระบุว่า ศาลอุทธรณ์ให้ความเห็นว่ามีความผิดตามฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าข้อความบนป้ายมีลักษณะเปรียบเทียบลดทอนคุณค่า-ความน่าเชื่อถือสถาบันกษัตริย์ ลงโทษจำคุกรวม 5 ปี ไม่รอลงอาญา แต่ขณะนี้สุปรียาได้ประกันตัวระหว่างฎีกาแล้ว

ที่มาของภาพ : FACEBOOK/ทิวากร วิถีตน

ทิวากร วิถีตน ปัจจุบันถูกคุมขังระหว่างต่อสู้คดีในชั้นฎีกา

อีกกรณีหนึ่งที่ทนายพูนสุขยกตัวอย่างคือ คดีของ ทิวากร วิถีตน เกษตรกรชาวขอนแก่น ที่พบว่าในปี 2565 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องกรณีโพสต์ภาพสวมเสื้อที่มีข้อความว่า “เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว” รวมถึงโพสต์เรียกร้องให้สถาบันกษัตริย์ยุติการใช้ ม.112 และปล่อย 4 แกนนำกลุ่มที่เรียกตนเองว่า “คณะราษฎร” ในช่วงเดือน ก.พ. 2564

ทว่า ในปี 2567 ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ส่งผลให้ทิวากรมีความผิดตาม ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และปัจจุบันเขาถูกคุมขังระหว่างต่อสู้คดีในชั้นฎีกา เนื่องจากถูกปฏิเสธคำขอประกันตัว

“พอคดีขึ้นไปที่ศาลสูงหรือศาลอุทธรณ์ ก็จะมีแนวโน้มเป็น conservative (อนุรักษนิยม) มากขึ้น” พูนสุข กล่าวกับ. แต่เธอก็ย้ำว่าในตอนนี้ยังไม่สามารถหาคำอธิบายอย่างเจาะจงได้ว่าเหตุใดศาลอุทธรณ์และศาลฎีกามีความอนุรักษนิยมมากกว่าศาลชั้นต้น แต่เป็นไปได้ว่าส่วนหนึ่งอาจมาจากวัย ประสบการณ์ รวมถึงคุณวุฒิของผู้พิพากษาในแต่ละระดับที่แตกต่างกัน

อีกแนวโน้มหนึ่งของคดีการเมืองที่เธอเห็น คือการตีความกฎหมายของศาลที่ครอบคลุม “กว้างเกิน” จากตัวบทกฎหมาย ซึ่งทนายพูนสุขมองว่าทำให้เห็น “ทัศนคติ” ของผู้พิพากษาที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินด้วย

เธอยกตัวอย่างคดีล่าสุดซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาออกมาเมื่อวันที่ 3 ก.ย. ที่ผ่านมา ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นว่า จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า “ไผ่ ดาวดิน” และ อรรถพล บัวพัฒน์ ซึ่งรู้จักในอีกชื่อว่า “ครูใหญ่” นักกิจกรรมจากภาคอีสาน มีความผิดตาม ม.112 จากการปราศรัยประเด็นปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ในการชุมนุมหน้าโรงเรียนภูเขียวและสถานีตำรวจภูธร (สภ.) ภูเขียว จ.ชัยภูมิ เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 โดยจตุภัทร์ต้องโทษจำคุก 2 ปี 12 เดือน ส่วนอรรถพลต้องโทษจำคุก 2 ปี

“ข้อความของ ไผ่ จตุภัทร์ พูดถึงสถาบันกษัตริย์ ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงกษัตริย์พระองค์ใด ไม่ได้กล่าวถึงอดีตกษัตริย์หรือกษัตริย์องค์ปัจจุบันด้วยซ้ำ เป็นการพูดถึง ‘สถาบันกษัตริย์' แต่ศาลตีความว่าจำเลยเกิดในรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 ดังนั้นสิ่งที่จำเลยปราศรัยก็ย่อมหมายถึงรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 ซึ่งอันนี้เป็นการให้เหตุผลที่ผิด เราไม่สามารถตีความคำว่า ‘สถาบันกษัตริย์' ของจำเลยว่าหมายถึงรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 เพียงเพราะจำเลยเกิดในรัชกาลที่ 9 และอยู่ต่อมาจนถึงรัชกาลที่ 10 นี่คือเรื่องร้ายแรง” พูนสุขให้เหตุผลกับ.

ทั้งนี้ ตัวกฎหมาย ม.112 ระบุให้ความคุ้มครองพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

ปัจจุบัน ทั้งจตุภัทร์และอรรถพลขอต่อสู้คดีนี้ต่อในชั้นฎีกา และศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวทั้งคู่

ที่มาของภาพ : FACEBOOK/Pai Jatupat

จากซ้ายไปขวา อรรถพล บัวพัฒน์ และ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา

พูนสุขยังกล่าวต่อว่า อีกหนึ่งแนวโน้มคดีทางการเมืองที่เธอเพิ่งสังเกตเห็นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาคือ การมีคำสั่งให้ประกันหรือไม่ให้ประกันตัวของศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นเคยมีคำสั่งให้ประกันตัวจำเลยมาก่อนแล้ว

“มีข้อสังเกตว่าคดีที่ส่งศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณา ก็จะมีแนวโน้มที่อาจจะไม่ได้ประกันมากกว่า” เธอกล่าว

พูนสุขอธิบายว่าสำหรับเหตุผลทางกฎหมายที่ศาลระบุเวลาไม่ให้ประกันตัว มักจะมี 5 ข้อหลัก ๆ ด้วยกัน นั่นคือ เกรงว่าจะหลบหนี เกรงว่าจะยุ่งเหยิvกับพยานหลักฐาน เกรงว่าจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น หลักประกันไม่น่าเชื่อถือ ไปจนถึงเป็นอุปสรรคกับการสอบสวน

“เหตุผลที่เรามักจะเจอในศาลสูง คือมักจะให้เหตุผลว่าเนื่องจากศาลอุทธรณ์หรือศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ คดีมีอัตราโทษสูง จึงเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี ตรงนี้ก็มีข้อสังเกตเหมือนกันว่าศาลให้เหตุผลว่า ‘เกรงว่าจะหลบหนี' แต่ไม่ได้ดูพฤติการณ์ของจำเลยว่าเขาได้ประกันตัวมาตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนถึงชั้นอุทธรณ์ ศาลจะบอกว่าศาลให้เหตุผลทางกฎหมายแล้ว แต่ว่าศาลเอาข้อเท็จจริงอะไรที่นำไปสู่ข้อกฎหมายว่าเกรงจะหลบหนี อันนี้คือปัญหาของคำสั่งประกันตัวที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน” เธอกล่าวกับ.

ความหวังในกฎหมายนิรโทษกรรม โดยเฉพาะผู้ต้องหาคดี ม.112 และ ม.110

พูนสุขยอมรับกับ.ว่า คดีทางการเมืองยังมีความยากลำบากมากกว่าคดีทั่วไปในแง่ของกระบวนการ รวมถึงคำพิพากษาที่เธอมองว่าไม่ได้อยู่บนบรรทัดฐานของกฎหมายที่ควรจะเป็น ด้วยเหตุนี้เธอจึงยืนยันว่าคดี ม.112 และคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 110 (ความผิดว่าด้วยการประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์) จึงควรถูกนำไปรวมอยู่ในร่างกฎหมายนิรโทษกรรมด้วย

ปัจจุบัน ร่างกฎหมายฉบับนี้อยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ…. สภาผู้แทนราษฎร

ล่าสุด เมื่อวันที่ 28 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุม กมธ.วิสามัญฯ มีวาระพิจารณาเนื้อหามาตรา 3 ของร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ซึ่งว่าด้วยข้อยกเว้นของการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำความผิดฐานทุจริตประพฤติมิชอบ, ทำผิดตาม ม.112, และความผิดที่ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความเสียชีวิต หรือเป็นความผิดต่อส่วนตัวหรือการกระทำที่ต้องรับผิดต่อบุคคลที่ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐเป็นเฉพาะรายหรือกลุ่ม

ที่มาของภาพ : Getty Images

เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2568 ประชาชนรวมตัวกันที่หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร เพื่อจัดกิจกรรมรณรงค์ “นิรโทษกรรมประชาชน”

สำนักข่าวประชาไทรายงานว่าในการการประชุมดังกล่าวต้องลงมติที่ต้องเลือกระหว่าง 2 ญัตติที่มีเนื้อหาแตกต่างกัน ได้แก่

  • ญัตติของ วิชัย สุดสวาสดิ์ สส.ชุมพร พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ซึ่งเสนอให้คงตามร่างเดิมที่รับหลักการมา อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ที่ประชุมมีมติให้แก้ไขถ้อยคำสำคัญในมาตรานี้ไปแล้ว อย่าง “มิให้บังคับใช้” เปลี่ยนเป็น “มิให้มีผลนิรโทษกรรม” มาตรา 112
  • ญัตติของ ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน (ปชน.) ที่เสนอให้มีการนิรโทษกรรมผู้ที่กระทำความผิดมาตรา 112 ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เพิ่มเติมเข้าไปในมาตรานี้ด้วย

ผลปรากฏว่าที่ประชุมเห็นด้วยกับญัตติของวิชัย 15 เสียง เห็นด้วยกับศศินันท์ 8 เสียง โดยกรรมาธิการส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่าเกรงจะไม่ผ่านมติของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพราะมีการบรรจุเนื้อหาเลยจากหลักการที่สภารับร่างในวาระ 1 ส่งผลให้การรวมคดี ม.112 ให้ได้รับการนิรโทษกรรมถูกปิดไปแล้วหนึ่งบาน และต้องไปลุ้นต่อในการพิจารณามาตรา 6 ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับคำขยายของการนิรโทษกรรม

พูนสุขให้ความเห็นกับ.ว่า ต้องตั้งหลักก่อนว่าแนวคิดเรื่องการนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองนั้น เป็นหนึ่งในความพยายามแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองซึ่งเกิดขึ้นมาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพบการเคลื่อนไหวและการชุมนุมของกลุ่มคนหลากหลายกลุ่ม หลากหลายแนวคิด แต่ลักษณะเด่นที่เกิดขึ้นในช่วงการชุมนุมเยาวชนช่วงปี 2563 เป็นต้นมา ทางศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเก็บสถิติได้ว่าเกิดการดำเนินคดี ม.112 มากที่สุดในห้วงเวลาดังกล่าว อย่างน้อยรวมกันราว 317 คดี

“คดี ม.112 มันสัมพันธ์กับสถานการณ์การเมืองในขณะนั้น ซึ่งมีการพูดถึงปัญหาของการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ในช่วงปี 2560 หลาย ๆ ฉบับ รวมถึงมีการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ซึ่งสัมพันธ์กับข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม นี่คือหนึ่งในปัญหาที่ประชาชนมองเห็นว่าเป็นหนึ่งในปัญหาทางการเมือง แต่กลับกลายเป็นว่าปัญหาใหญ่ปัญหานี้ไม่ได้ถูกนับรวมกับการนิรโทษกรรม” เธอกล่าว

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

พูนสุขยืนยันว่าหากพิจารณาจากจำนวน จะพบว่าคดีทางการเมืองอื่น ๆ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับ ม.112 และ ม.110 มีจำนวนมากกว่าก็จริง แต่เมื่อพิจารณาจำนวนผู้ที่อยู่ในเรือนจำก็พบว่าส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องหาคดี ม.112 ดังนั้นการรวมผู้ต้องหาคดีดังกล่าวเข้าไปในการนิรโทษกรรมย่อมช่วยเหลือผู้ต้องขังจากคดีทางการเมืองได้มากกว่า

“หากดูแค่ปี 2563 เป็นต้นมา สถิติที่ศูนย์ทนายฯ เก็บไว้พบว่ามีผู้ถูกดำเนินคดีกว่า 1,900 คน เป็นคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ประมาณ 1,400 คดี แต่ว่าสถิติรองลงมาคือคดี ม.112 และปัญหาคือคดี ม.112 เป็นประเภทคดีที่มีผู้ถูกขังมากที่สุด” เธอกล่าวกับ. และเสริมว่าส่วนใหญ่แล้วหากถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานละเมิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยไม่มีการใช้อาวุธหรือกระทำการร้ายแรงใด ๆ ศาลมักจะยกฟ้อง หรือให้รอลงอาญา ซึ่งหมายความว่าไม่ติดคุกจริง

ข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ณ วันที่ 9 ก.ย. ระบุว่าในปี 2568 มีผู้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจากการแสดงออกทางการเมืองหรือมีมูลเหตุเกี่ยวข้องกับทางการเมืองอย่างน้อย 54 ราย และมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นผู้ต้องหาคดี ม.112 ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • ผู้ต้องขังที่ไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างการต่อสู้คดี 35 ราย (เป็นคดี ม.112 จำนวน 18 ราย และ ม.110 จำนวน 5 ราย)
  • เยาวชน 1 ราย ถูกคุมขังในสถานพินิจฯ ตามคำพิพากษาของศาลเยาวชน
  • ผู้ต้องขังที่คดีถึงที่สุดแล้วและถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำอย่างน้อย 18 ราย (เป็นคดี ม.112 จำนวน 11 ราย)

พูนสุขกล่าวทิ้งท้ายกับ.ว่า ในท้ายที่สุดแล้วการไม่ยอมให้คดี ม.112 และ ม.110 รวมอยู่ในการนิรโทษกรรม จะยิ่งทำให้ความขัดแย้งในประเด็นนี้สะสมในสังคมมากขึ้นเรื่อย ๆ และที่น่ากังวลคือภายใต้สถานการณ์ที่ดู “ซาลงไปได้ระยะหนึ่งในช่วงนี้” ไม่ได้การันตีเลยว่าความขัดแย้งในประเด็นดังกล่าวจะไม่ “ทะลุ” ขึ้นมาในอนาคตอันใกล้ ซึ่งยังไม่มีใครมองออกว่า “มันจะใหญ่มากขึ้นจากเดิมหรือเปล่า”