กกต. เคาะวันเลือกตั้ง สส. 8 ก.พ. 69 ไม่พูดถึง “ประชามติ” ในปฏิทิน

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

Article Recordsdata
    • Author, หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
    • Feature, ผู้สื่อข่าว.

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติกำหนดให้ 8 ก.พ. 2569 เป็นวันเข้าคูหาเลือกตั้ง สส. ของประชาชนชาวไทย โดยถือเป็นการประกาศวันเลือกตั้งท่ามกลางสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีประชาชน 7 จังหวัดได้รับผลกระทบ

วันนี้ (12 ธ.ค.) นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เดินทางไปยังสำนักงาน กกต. ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ เพื่อหารือแนวทางการจัดให้มีการเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไป พ่วงด้วยการออกเสียงประชามติ

ภายหลังการหารือราว 2 ชม. ทั้งตัวแทนรัฐบาล และ กกต. ไม่ได้ออกมาชี้แจงว่าประชาชนจะได้เข้าคูหาในวันใด

กระทั่งเวลา 16.25 น. สำนักงาน กกต. ได้เผยแพร่เอกสารข่าว ระบุว่า ที่ประชุม กกต. มีมติเห็นชอบร่างแผนการจัดการเลือกตั้ง สส. โดยกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ. 2569 เป็นวันเลือกตั้ง ทั้งนี้การเปิดรับสมัคร สส. ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 เขต, รับสมัคร สส.แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน และเปิดรับบัญชีรายชื่อผู้เสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรี จะเกิดขึ้นในช่วง 27-31 ม.ค. (ดูรายละเอียดจากปฏิทินด้านล่าง)

อย่างไรก็ตามในเอกสารข่าวของสำนักงาน กกต. ไม่มีการระบุถึงแผนการจัดให้มีการออกเสียงประชามติแต่อย่างใด ขณะนี้จึงยังไม่มีความชัดเจนว่าการออกเสียงประชามติใน 2 ประเด็นจะเกิดขึ้นในวันเดียวกับการเลือกตั้ง สส. ตามที่แกนนำรัฐบาลออกมาเปิดเผยไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่ หรือเหตุที่ยังไม่มีปฏิทินประชามติ เพราะต้องรอมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ส่งคำถามประชามติมาให้ กกต. อย่างเป็นทางการ

ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นภายหลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ชิงประกาศ “คืนอำนาจให้ประชาชน” เร็วกว่ากำหนดการเดิมที่ตั้งใจไว้ถึง 1 เดือนครึ่ง เนื่องจากความขัดแย้งภายในรัฐสภาต่อการลงมติผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 2 โดย สส. พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ได้ “พลิกมติวิปรัฐบาล” และ “ฉีกข้อตกลง MOA” (Memorandum of Settlement – บันทึกข้อตกลงร่วม) ที่ทำไว้กับพรรคประชาชน (ปชน.) หันไปผนึกกำลังกับ สว. โหวตคว่ำเนื้อหาในมาตรา 256/28 ที่ให้ตัดอำนาจของ สว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา ในการผ่านความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทำให้ 2 พรรคใหญ่ในซีกฝ่ายค้าน “แก้เกมกลับ” ด้วยการล่ารายชื่อ สส. เตรียมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทั้งคณะ แต่ไม่ทันนายกฯ จากพรรคสีน้ำเงินที่ “เดินเกมเงียบ” ทูลเกล้าฯ ถวายร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ยุบสภาไปก่อนหน้าแล้ว

พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 ได้รับการประกาศลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 12 ธ.ค. และกำหนดให้มีการเลือกตั้ง สส. ภายใน Forty five-60 วันนับจากนั้น

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ชนวนแตกหักระหว่างพรรคสีส้มกับสีน้ำเงิน เกิดขึ้นในระหว่างการโหวต “ไม่เห็นชอบ” มาตรา 256/28 ของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตาม กมธ.เสียงข้างมาก (ให้ตัดอำนาจ สว. 1 ใน 3 ในการผ่านร่างรัฐธรรมนูญ) โดยเป็นเงื่อนไขที่ สว. ประกาศ “ยอมไม่ได้”

ภายใต้เงื่อนเวลาทางกฎหมายดังกล่าว การเลือกตั้งทั่วไปอาจเกิดขึ้นได้ในวันที่ 1 ก.พ. 2569 ซึ่งเป็นวันที่ 52 หลังยุบสภา หรือ 8 ก.พ. 2569 ซึ่งเป็นวันที่ 59 หลังยุบสภา

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด

ได้รับความนิยมสูงสุด

แม้วันเลือกตั้งมีความชัดเจน แต่ทั้ง กกต. และรัฐบาลยังไม่ได้ออกมายืนยันว่าจะจัดให้มีการออกเสียงประชามติพร้อมกันในวันที่ 8 ก.พ. 2569 หรือไม่

.ขอประมวลข้อกฎหมาย-ข้อเท็จจริง-คำชี้แจงจากปากคำผู้เกี่ยวข้องไว้ ณ ที่นี้

1. วันเลือกตั้ง ยังมีการทำประชามติหรือไม่?

สิ่งสุดท้ายที่บรรดา สส. และ สว. ทำก่อนปิดประชุมรัฐสภา สมัยวิสามัญ เมื่อ 11 ธ.ค. คือการลงมติส่ง “คำถามประชามติ” ไปยัง ครม. เพื่อให้สอบถามประชาชนว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

การประชุมรัฐสภานัดสุดท้าย ก่อนนายกฯ ยุบสภา

หากสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง จะถือเป็นการจัดให้มีการออกเสียงประชามติครั้งที่ 3 ของประเทศ แต่เป็นครั้งแรกที่ประชาชนจะได้ลงประชามติพร้อมกับใช้สิทธิเลือกตั้งทั่วไป ภายหลังมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2568 เมื่อ 22 ต.ค. ที่ผ่านมา

กฎหมายฉบับใหม่นี้ระบุว่า หากเห็นว่าวันเลือกตั้ง สส. อยู่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน อาจกำหนดให้วันออกเสียงประชามติเป็นวันเดียวกับวันเลือกตั้งได้ แต่ต้องอยู่ในช่วง 60-150 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา

ขณะที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 103 กำหนดให้การเลือกตั้ง สส. เกิดขึ้นภายใน Forty five-60 วันนับแต่วันที่ พ.ร.ฎ.ยุบสภา ใช้บังคับ วันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

เมื่อวันเลือกตั้งไม่อาจเกิดขึ้นช้ากว่าวันที่ 60 ได้ ทำให้เกิดคำถามว่าแล้วจะทำประชามติไปพร้อมกันได้หรือไม่

ก่อนเข้าหารือกับผู้จัดการเลือกตั้ง นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเพียงว่า “ต้องถาม กกต. แต่ส่วนตัวเห็นว่าทำได้”

ก่อนหน้านี้ เลขาธิการ กกต. ได้ขอเวลาอย่างน้อย 75 วัน “ถึงจะทำงานเรียบร้อย” โดยให้เหตุผลว่า กกต. ต้องเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจ และเปิดเวทีให้ฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยได้แสดงความคิดเห็นในหัวข้อที่ทำประชามติ

2. ทำประชามติกี่เรื่อง ตั้งคำถามว่าอะไร?

ภายหลังยุบสภา นายบวรศักดิ์กล่าวเมื่อ 12 ธ.ค. ว่า คำถามประชามติจะมี 2 ข้อ โดย 1 คำถามคือเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ “รัฐสภาส่งมาให้ ครม.เลือก” และอีก 1 คำถามคือเรื่อง MOU ซึ่ง “ครม. สามารถถามได้เอง”

ทว่าเมื่อถูกถามถึงความแตกต่างและผลทางกฎหมายระหว่างคำถามที่ส่งมาจากรัฐสภา กับคำถามที่รัฐบาลตั้งเอง รองนายกฯ ปฏิเสธจะให้คำตอบโดยบอกว่า เรื่องยังไม่เข้า ครม.

ประเด็นแรก การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

รัฐสภาส่งคำถามไปยังรัฐบาล 5 คำถาม (จาก สส. 4 พรรค 4 คำถาม และจาก สว. 1 คำถาม) ซึ่งที่ประชุม ครม. 16 ธ.ค. จะมีมติเลือกว่าใช้คำถามไหน จากคำถามเหล่านี้

  • เสนอโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย: “ท่านเห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใหม่หรือไม่”
  • เสนอโดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล พรรคเพื่อไทย: “ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
  • เสนอโดย พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง พรรคประชาชาติ: “ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
  • เสนอโดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ พรรคประชาชน: “ท่านเห็นชอบที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่”
  • เสนอโดย นพ.เปรมศักดิ์ เพียรยุระ สว.: “ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

อนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวว่า “การยุบสภานั้นเป็นเพราะพรรคประชาชนได้ขอให้ยุบสภา”

ประเด็นที่สอง บันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Thought – MOU) ระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชา ซึ่งมีอยู่ 2 ฉบับคือ MOU43 ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก และ MOU44 ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ด้วย

ครม. อาจใช้คำถามว่า “ท่านจะเห็นชอบ หรือยกเลิก MOU ปีไหนหรือไม่” ตามการเปิดเผยแนวคำถามของนายบวรศักดิ์

3. ภัยสู้รบชายแดน กระทบวันเลือกตั้งหรือไม่อย่างไร

อีกประเด็นสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อการจัดการเลือกตั้ง หนีไม่พ้น สถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้เกิดคำถามว่าหากการปะทะยังยืดเยื้อ จะจัดให้มีการเลือกตั้งได้หรือไม่ใน 7 จังหวัดชายแดน หรือถ้าต้องเลื่อน จะทำให้การเลือกตั้ง “เป็นโมฆะ” หรือไม่ เพราะไม่พร้อมกันทั่วราชอาณาจักร

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายแสวง บญมี เลขาธิการ กกต. ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กของเขาว่า การเลือกตั้งวันเดียวพร้อมกันทั่วราชอาณาจักรเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 102 หากจัดไม่พร้อมกัน จะยังผลให้การเลือกตั้ง “เป็นโมฆะ” คือ เสียเปล่า ไม่มีผลบังคับตามกฎหมายตั้งแต่แรก นั่นหมายความว่า เสียหาย สูญเปล่า ทั้งในแง่ผลการเลือกตั้ง เสียเวลาของผู้เกี่ยวข้อง เสียงบประมาณของหลวง เงินทอง ทรัพย์สินของเอกชน ผู้สมัคร พรรคการเมือง และเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ

อย่างไรก็ตามกรณี “เกิดเหตุจำเป็น” นายแสวงบอกว่า ในทางกฎหมายมีทางออกอยู่แล้ว เพื่อทำให้การเลือกตั้งเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

รัฐธรรมนูญ มาตรา 104 ระบุว่า ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เป็นเหตุให้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งตามที่ กกต. ประกาศกำหนดไว้ กกต. จะ กำหนดวันเลือกตั้งใหม่ก็ได้ แต่ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 30 วันนับแต่วันที่เหตุดังกล่าวสิ้นสุดลง

นายแสวงยังเปิดเผยแนวทางปฏิบัติตามกฎหมายเอาไว้ 2 แนวทาง

  • เลือกตั้งตาม “วันเดิม” ตามมาตรา 103 ของรัฐธรรมนูญ คือเลือกตั้งภายใน 60 วันหลังมีการยุบสภา (ไม่เลื่อนวันเลือกตั้งออกไป หรือไม่กำหนดวันเลือกตั้งใหม่) โดยใช้หลักการ “นำคูหา (ผู้มีสิทธิ) ไปหาหน่วย” ซึ่งเป็นการบริหารจัดการในสถานการณ์พิเศษหรือพื้นที่พิเศษ แต่ยังมีข้อจำกัดทางกฎหมายอยู่
  • เลือกตั้งตาม “วันที่กำหนดขึ้นใหม่” ตามมาตรา 104 ของรัฐธรรมนูญ กรณีมี “เหตุจำเป็น” แต่ต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 30 วันนับแต่เหตุจำเป็นนั้นสิ้นสุดลง

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ชาวสระแก้วต้องอพยพไปใช้ชีวิตในศูนย์พักพิงชั่วคราว ท่ามกลางการปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาระลอกใหม่ที่เริ่มต้นตั้งแต่ 7 ธ.ค.

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ระบุว่า ขณะนี้มีประชาชนกว่า 2.57 แสนคนในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน ต้องอพยพไปใช้ชีวิตภายในศูนย์พักพิงชั่วคราว นับจากเกิดเหตุปะทะชายแดนที่เริ่มต้นเมื่อ 7 ธ.ค.

ในพื้นที่ 7 จังหวัดนี้มี สส. รวมกัน Forty five คน แบ่งเป็น พื้นที่อีสานใต้ 4 จังหวัด รวมยอด สส. 38 คน ได้แก่ อุบลราชธานี 11 คน, บุรีรัมย์ 10 คน, ศรีสะเกษ 9 คน, สุรินทร์ 8 คน และพื้นที่ภาคตะวันออก 3 จังหวัด รวมยอด สส. 7 คน ได้แก่ สระแก้ว 3 คน, จันทบุรี 3 คน, ตราด 1 คน

ปฏิทินเข้าคูหา 69

ตามร่างแผนการจัดการเลือกตั้ง สส. ที่เผยแพร่ออกมา ในรูปแบบของปฏิทินการเลือกตั้ง สส. ไม่ปรากฏข้อมูลเรื่องการเสียงประชามติในหัวข้อใดเลย

  • 12 ธ.ค. พ.ร.ฎ.ยุบสภา มีผลใช้บังคับ
  • 15 ธ.ค. ที่ประชุม กกต. เห็นชอบร่างแผนการจัดการเลือกตั้ง สส. โดยวันเดียวกันนี้จะมีการออกประกาศ 5 ฉบับที่เกี่ยวข้อง ในจำนวนนี้คือประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง สส. วันรับสมัคร สส. 2 ระบบ และสถานที่รับสมัคร และประกาศจำนวน สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่แต่ละจังหวัดพึงมี และจำนวน สส.เขตของแต่ละจังหวัด
  • 20 ธ.ค.-5 ม.ค. 2569 ลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า (ในเขต/นอกเขต/นอกราชอาณาจักร
  • 27-31 ธ.ค. รับสมัคร สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ณ สถานที่ที่ ผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งประกาศกำหนด
  • 28-31 ธ.ค. รับสมัคร สส.แบบบัญชีรายชื่อ (เฉพาะพรรคท่าง สส.แบบเขตแล้วเท่านั้น) และให้พรรคการเมืองแจ้งรายชื่อบุคคลที่จะแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ณ รร.เซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร
  • 7 ม.ค. 2569 ประกาศบัญชีรายชื่อผู้สมัคร สส.แบบแบ่งเขต และ สส.แบบบัญชีรายชื่อ
  • 1 ก.พ. 2569 วันลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้ง และนอกเขตเลือกตั้ง
  • 8 ก.พ. 2569 วันเลือกตั้ง สส.
  • 9 เม.ย. 2569 วันสุดท้ายที่ กกต. ประกาศผลการเลือกตั้ง สส.

ที่มา: .สรุปจากร่างแผนการจัดการเลือกตั้ง สส. ซึ่ง กกต. มีมติเห็นชอบเมื่อ 15 ธ.ค.