
ไทลินอล (พาราเซตามอล) เชื่อมโยงกับโรคออทิสติกจริงไหม และปลอดภัยหรือไม่หากกินขณะตั้งครรภ์ ?

ที่มาของภาพ : Getty Images
Article Knowledge
-
- Author, แอนเดร เบียร์นาธ และ ซาราห์ เบลล์
- Operate, บีบีซีแผนกภาษาบราซิล และเวิลด์เซอร์วิส โกลบอล เฮลท์ (
สื่อต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริการายงานเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (22 ก.ย.) ว่า มีการคาดการณ์ว่า ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเปิดเผยเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างยาไทลินอลในหญิงตั้งครรภ์กับโรคออทิสติก ทว่า เรื่องดังกล่าวขัดแย้งกับแนวปฏิบัติทางการแพทย์
เมื่อวันศุกร์ (19 ก.ย.) ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า เขาจะมีการประกาศ “ที่น่าทึ่ง” เกี่ยวกับภาวะการผิดปกติชนิดนี้ โดยบอกกับนักข่าวว่า “โรคออทิสติกเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้เลย ผมคิดว่าบางทีเราอาจหาเหตุผลได้แล้วว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น”
มีงานศึกษาบางชิ้นที่แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงเล็กน้อยระหว่างหญิงตั้งครรภ์ที่ใช้อะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของยายี่ห้อไทลินอล (Tylenol) แต่การค้นพบเหล่านี้มีความไม่สอดคล้องกัน รวมถึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ายาชนิดนี้ทำให้เกิดโรคออทิสติก
ไทลินอลคืออะไร ?
ไทลินอลเป็นยาแก้ปวดที่จำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป โดยมีสารออกฤทธิ์ที่ในสหรัฐฯ เรียกว่าอะเซตามิโนเฟน แต่ที่อื่น ๆ รู้จักในอีกชื่อว่า พาราเซตามอล (paracetamol)
ยาชนิดนี้วางขายภายใต้ชื่อยี่ห้อต่าง ๆ และมีทั้งในรูปแบบสำหรับทารก เด็ก และผู้ใหญ่ มันกลายเป็นยาสามัญประจำบ้านสำหรับการรักษาอาการปวดและลดไข้ในครัวเรือนต่าง ๆ ทั่วโลก
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด
of ได้รับความนิยมสูงสุด
มีความปลอดภัยในช่วงตั้งครรภ์หรือไม่ ?
กลุ่มทางการแพทย์ส่วนใหญ่และรัฐบาลทั่วโลกกล่าวว่า ยาชนิดนี้ปลอดภัยสำหรับเมื่อใช้ในหญิงตั้งครรภ์ ขณะที่วิทยาลัยสูตินรีเวชศาสตร์แห่งอเมริกา ระบุว่าแพทย์ทั่วประเทศต่างบอกว่าไทลินอลหรือที่เรียกกันในอีกชื่อว่าพาราเซตามอลนั้น เป็นหนึ่งในยาแก้ปวดที่ปลอดภัยสำหรับผู้ตั้งครรภ์ด้วย
“การศึกษาที่เคยดำเนินการในอดีต แสดงให้เห็นว่าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนที่พิสูจน์ว่า การใช้อะเซตามิโนเฟนอย่างรอบคอบในช่วงตั้งครรภ์ มีความสัมพันธ์โดยตรงกับปัญหาพัฒนาการของเด็กทารกในครรภ์” วิทยาลัยสูตินรีเวชศาสตร์แห่งอเมริกา ระบุ
ด้านแนวปฏิบัติของบริการสุขภาพแห่งชาติของสหราชอาณาจักร (NHS) ระบุว่า พาราเซตามอลนั้น “เป็นตัวเลือกแรก” ของยาแก้ปวดสำหรับสตรีมีครรภ์ “โดยทั่วไปจะใช้ในระหว่างตั้งครรภ์และไม่เป็นอันตรายต่อลูกในท้องของคุณ”
บีบีซีได้ติดต่อผู้ผลิตยาเพื่อขอความเห็น และทางเคนวิว (Kenvue) บริษัทผู้ผลิตไทลินอลออกมาปกป้องว่า สตรีมีครรภ์สามารถใช้ยาชนิดนี้ได้ และว่า ตัวยาดังกล่าวยังเป็นตัวเลือกยาแก้ปวดที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้คนอื่น ๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม ทั้งบริษัทและแพทย์ในสหรัฐฯ ยังแนะนำให้สตรีมีครรภ์พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ก่อนจะรับประทานยาชนิดนี้
สื่อในสหรัฐฯ รายงานว่าฝ่ายบริหารของทรัมป์จะแนะนำให้สตรีมีครรภ์กินยาแก้ปวดก็ต่อเมื่อมีไข้สูงเท่านั้น
ทั้งนี้ ไข้สูงที่ไม่ได้รับการรักษา อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อทั้งมารดาและทารกที่กำลังพัฒนาอยู่ในครรภ์

ที่มาของภาพ : Getty Images
ไทลินอลเป็นสาเหตุของโรคออทิสติกจริงหรือ ?
เดือน เม.ย. ที่ผ่านมา โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี จูเนียร์ รมว.สาธารณสุขและบริการมนุษย์ของสหรัฐฯ ให้คำมั่นว่าจะ “ทำการทดสอบและทำการวิจัยครั้งใหญ่” เพื่อหาสาเหตุของโรคออทิสติกใน 5 เดือน
ทว่า ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการค้นหาสาเหตุของโรคออทิสติกซึ่งเป็นกลุ่มอาการที่ซับซ้อนและถูกศึกษาวิจัยมานานหลายสิบปีนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย
นักวิจัยส่วนใหญ่มีมุมมองว่า โรคออทิซึมไม่ได้มีสาเหตุเดียว แต่เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมและปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนร่วมกัน
เมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา การทบทวนงานศึกษาวิจัยที่นำโดยคณบดีคณะสาธารณสุขฯ ของ ม.ฮาร์วาร์ด พบว่าเด็กอาจมีแนวโน้มที่จะพัฒนาเป็นโรคออทิสติกและความผิดปกติของพัฒนาการทางระบบประสาทอื่น ๆ เมื่อสัมผัสกับไทลินอลระหว่างการตั้งครรภ์
นักวิจัยโต้แย้งว่าควรดำเนินการตามขั้นตอนบางอย่างเพื่อจำกัดการใช้ยาชนิดนี้ แต่ก็บอกด้วยว่ายาแก้ปวดยังคงมีความสำคัญต่อการรักษามารดา เมื่อพวกเธอมีไข้หรือมีอาการปวด
อย่างไรก็ตาม งานศึกษาอีกชิ้นหนึ่งที่เผยแพร่ในปี 2024 ระบุว่า ไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างการสัมผัสไทลินอลกับโรคออทิสติก
“ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนหรือหลักฐานที่น่าเชื่อถือที่ชี้ให้เห็นว่ามีสาเหตุสัมพันธ์กัน” โมนิก โบธา ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาสังคมและพัฒนาการประจำ ม.ดูร์แฮม กล่าว
ไทลินอลออกฤทธิ์อย่างไร ?
ยาบรรเทาอาการปวด (หรือที่เรียกว่ายาแก้ปวด) อาจเป็นทั้งกลุ่มโอปิออยด์ (opioids) และยาที่ไม่ใช่กลุ่มโอปิออยด์
โอปิออยด์สกัดมาจากต้นฝิ่นหรือผลิตในห้องทดลอง ในการทำงาน มันจะจับกับตัวรับโอปิออยด์ในสมองและนำไปสู่การหลั่งโดปามีน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกพึงพอใจ
ทว่า ยาประเภทดังกล่าวสามารถทำให้เกิดการเสพติดได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการเริ่มต้นรักษาอาการปวดที่ดีที่สุด ควรเริ่มจากยาที่ไม่ใช่สารสกัดจากฝิ่น เช่น พาราเซตามอล
ที่น่าสนใจ คือ ยังไม่มีความเห็นตรงกันว่ายาพาราเซตามอลทำงานอย่างไร
“กลไกการออกฤทธิ์ของพาราเซตามอลยังไม่มีความกระจ่างอย่างสมบูรณ์” ฟิลิป โคนาก์ฮัน ศาตราจารย์ด้านเวชศาสตร์กล้ามเนื้อและกระดูกจาก ม.ลีดส์ ของสหราชอาณาจักร กล่าว
“มันมีแนวโน้มจะส่งผลต่อการรับรู้ความเจ็บปวดในระบบประสาทส่วนกลางและสมอง รวมถึงอาจออกฤทธิ์บริเวณรอบ ๆ ที่เกิดการอักเสบ” เขากล่าว
จากข้อมูลของระบบบริการสุขภาพแห่งชาติของสหราชอาณาจักร ระบุว่า พาราเซตามอนปิดกั้นสารเคมีในสมองที่ส่งสัญญาณความเจ็บปวดและควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
นานมาแล้วที่มีทฤษฎีว่าพาราเซตามอลทำงานโดยการยับยั้งเอนไซม์ที่รู้จักกันในชื่อว่าไซโคลออกซิเจนเนส หรือ COX (cyclooxygenase) ซึ่งช่วยผลิตพรอสตาแกลนดิน (prostaglandin) ซึ่งเป็นสารคล้ายฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวด
ขณะนี้ มีแนวคิดอื่น ๆ ที่เชื่อว่าพาราเซตามอลทำงานในรูปแบบอื่น ๆ ด้วย เช่น มันถูกเผาผลาญเป็นสารประกอบ AM404 ซึ่งกล่าวกันว่ามีบทบาทในกระบวนการบรรเทาปวดหลายรูปแบบ

ที่มาของภาพ : Getty Images
คุณใช้ไทลินอลได้บ่อยแค่ไหน ?
ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพเน้นย้ำว่าสิ่งสำคัญ คือ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำการใช้ยาพาราเซตามอลอย่างปลอดภัย
พวกเขาโต้แย้งว่ายาพาราเซตามอลแทบจะไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง หากรับประทานในขนาดที่ถูกต้องและเป็นระยะเวลาสั้น ๆ
ตามคำแนะนำของระบบบริการสุขภาพแห่งชาติของสหราชอาณาจักรคือ ควรรับประทานยาเม็ดขนาด 500 มิลลิกรัม ครั้งละไม่เกิน 1 หรือ 2 เม็ด และไม่ควรรับประทานเกิน 4 ครั้งใน 24 ชั่วโมง แต่โดยรวมแล้ว ไม่ควรรับประทานเกิน 8 เม็ด ใน 24 ชั่วโมง
NHS ระบุอีกว่า หากรับประทานเกิดขนาดที่แนะนำไว้ อาจนำไปสู่ความเสียหายหรือการทำงานล้มเหลวของตับอย่างรุนแรง เนื่องจากประมาณ 5% ของพาราเซตามอลถูกเผาผลาญเป็นสารพิษที่มีชื่อว่าเบนโซควิโนน (benzoquinone) หรือที่เรียกว่า NAPQI
ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ ระบุว่า การใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาดเป็นสาเหตุหลักของภาวะตับวายเฉียบพลันในสหรัฐอเมริกา ระหว่างปี 1998 ถึง 2003
เกือบครั้งหนึ่งของกรณีที่ใช้ยาเกินขนาด พบว่าเกิดจากความพลั้งเผลอ เนื่องจากผู้ที่ใช้เกินขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันโดยไม่ได้ตั้งใจ
ที่จริงแล้วมีตัวยาพาราเซตามอลเป็นส่วนผสมในยาอื่น ๆ อีก 600 ชนิด จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ ดังนั้น การรับประทานยาชนิดนี้เกินขนาดโดยไม่ได้ตั้งใจจึงเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง
ดังนั้น ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่อาจได้รับการรักษาจากยาหลายตัวโดยไม่รู้ว่าแต่ละชนิดมีพาราเซตามอลเป็นส่วนผสมอยู่ด้วย
ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ผู้ปกครองใช้ยากับบุตรหลานอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องมีผู้ดูแลหลายคนสลับสับเปลี่ยนกัน เช่น สถานที่รับเลี้ยงเด็ก ปู่ย่าเสียชีวิตาย และที่บ้าน
ประสิทธิภาพของยาเป็นอย่างไร ?
องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ใช้ยาพาราเซตามอลในการรักษาขั้นแรกสำหรับอาการปวดและไข้ในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
หากไม่ได้ผล ผู้ป่วยสามารถหันไปใช้ยาโอปิออยด์อ่อน ๆ หรือที่แรงขึ้นได้ตามลำดับ ไปจนถึงการรักษาแบบเฉพาะทางหากจำเป็น
ทั้งนี้ ประสิทธิภาพของยาพาราเซตามอลจะแตกต่างกันไปตามตามประเภทของอาการปวด
สถาบันโคแครน (Cochrane Institute) ในสหราชอาณาจักร ซึ่งตรวจสอบและวิเคราะห์งานวิจัยที่ตีพิมพ์ ระบุว่ายาชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการจัดการกับอาการปวดศีรษะไมเกรนเฉียบพลัน รวมถึงอาการปวดหลังคลอดและหลังการผ่าตัด
อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของยาพาราเซตามอลสำหรับอาการต่างๆ เช่น โรคข้ออักเสบที่หัวเข่า ถือว่า “พอประมาณ” เท่านั้น และสำหรับอาการปวดหลังส่วนล่าง หรือความรู้สึกไม่สบายทางร่างกายที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง ทางสถาบันโคแครนกล่าวว่า ยานี้ไม่ได้มีประสิทธิภาพมากกว่ายาลวง (การรักษาที่ไม่มีคุณสมบัติออกฤทธิ์ เช่น ยาเม็ดน้ำตาล)
ที่มา BBC.co.uk