
สภาโหวตนายกฯ คนที่ 32 – ทักษิณเคลื่อนไหวบินไปดูไบ ยันกลับมาฟังตัดสิน “คดีชั้น 14”

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดประชุมพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ในวันนี้ (5 ก.ย.) โดยมีสองแคนดิเดตนายกฯ ผู้เข้าชิง ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และนายชัยเกษม นิติสิริ ซึ่งพรรคเพื่อไทย (พท.) ประกาศส่งชิงเก้าอี้ประมุขฝ่ายบริหารในช่วงโค้งสุดท้าย
เมื่อเวลา 12.05 น. นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรค ภท. และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บุรีรัมย์ เสนอชื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีผู้รับรอง 137 คน ขณะที่นายสรวงศ์ เทียนทอง สส. สระแก้ว พรรค พท. เสนอชื่อ ศ.พิเศษ ชัยเกษม นิติสิริ นายกฯ ในบัญชีของพรรค พท. คนสุดท้าย เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีผู้รับรอง 121 คน
ขณะนี้ที่ประชุมสภากำลังเข้าสู่การอภิปรายคุณสมบัติผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ทั้ง 2 คน ซึ่งนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง มีข้อสรุปให้ฝ่ายที่สนับสนุนแคนดิเดตนายกฯ แต่ละคนอภิปรายฝ่ายละ 1 ชั่วโมง

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
ก่อนวันที่รัฐสภาโหวตนายกฯ ไม่กี่ชั่วโมง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางออกนอกประเทศไทยและเปิดเผยในช่วงรุ่งสางของวันนี้ ว่าเขาได้เปลี่ยนเส้นทางไปพบแพทย์ที่ดูไบ หลังจากการกักตัวของ ตม. ทำให้เดินทางไปยังสิงคโปร์ไม่ทัน พร้อมยืนยันว่าจะกลับมาไทยในวันที่ 8 ก.ย. หรือก่อนศาลนัดฟังคำตัดสิน “คดีชั้น 14” หนึ่งวัน
นี่คือความเคลื่อนไหวของนายทักษิณที่เดินทางออกนอกประเทศไทยในรอบกว่า 2 ปี หลังจากกลับสู่ประเทศไทยเมื่อ 22 ส.ค. 2566 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบให้นายเศรษฐา ทวีสิน ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed studyingได้รับความนิยมสูงสุด
Cease of ได้รับความนิยมสูงสุด
การเดินทางออกนอกประเทศของนายทักษิณ เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งให้นายทักษิณ ชินวัตร มาฟังคำสั่ง “คดีชั้น 14” ในวันที่ 9 ก.ย. เพียงห้าวัน
นอกจากนี้ยังเป็นการออกนอกประเทศหลังจากเขาพ้นข้อกล่าวหาดูหมิ่นสถาบันฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้เมื่อปี 2558 ที่ศาลอาญายกฟ้องไปเมื่อ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เขาไม่ติดเงื่อนไขคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ที่ศาลกำหนดไว้ในช่วงการพิจารณาคดี
ส่วนความเคลื่อนไหวก่อนการโหวตลงมติให้ความเห็นชอบนายกฯ วานนี้ (4 ก.ย.) พรรค พท. ทิ้งไพ่ใบสุดท้าย คือให้คำมั่นว่าจะ “ยุบสภาฯ ทันที” หลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา หากเลือกนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกฯ เพื่อหวังเสียงสนับสนุนจากพรรคประชาชน (ปชน.) ขณะที่ ปชน. ไม่ได้ตอบรับข้อเสนอนี้ เนื่องจากได้ทำข้อตกลงร่วมกับพรรค ภท. ไปแล้ว
และก่อนที่การประชุมสภาจะเริ่มต้นขึ้น พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ซึ่งเหลือ สส. 22 คนที่ไม่ได้เปิดตัวสนับสนุนนายอนุทิน เป็นนายกฯ มีมติพรรคให้ “งดออกเสียง”
สภาผู้แทนราษฎรชุดที่มาจากการเลือกตั้งในปี 2566 ผ่านพ้นนายกฯ 2 คน จากพรรค พท. คือนายเศรษฐา ทวีสิน และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แต่ตำแหน่งนายกฯ คนที่ 3 ของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จะเปลี่ยนมือไปอยู่ที่พรรคอื่นหรือไม่
ขณะที่ในวันนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่าจะเข้าให้ถ้อยคำต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณีที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ คดีนี้ รฟท. เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินกว่า 5,000 ไร่ ที่ออกทับที่ดิน รฟท. ซึ่งมีกลุ่มบุคคลและนิติบุคคลถูกกล่าวหา รวมทั้งตระกูล “ชิดชอบ” บ้านใหญ่ทางการเมืองของพรรค ภท.
“ภูมิใจไทย-เพื่อไทย” โต้เดือดปมเลื่อนวาระโหวตนายกฯ
เวลาประมาณ 9.40 น. น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส. อุบลราชธานี พรรค ภท. เสนอญัตติเปลี่ยนระเบียบวาระให้นำเรื่องพิจารณาการโหวตเลือกนายกฯ ตามระเบียบวาระด่วนที่ 8 มาพิจารณาก่อน ทำให้นายวัชระพล ขาวขำ สส. อุดรธานี พรรค พท. ทักท้วง และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส. เชียงใหม่ พรรค พท. ขอให้มีการอภิปรายก่อนลงมติว่าจะเลื่อนระเบียบวาระหรือคงตามระเบียบวาระเดิม
จากนั้น สส. หลายคนที่โต้แย้งกันประเด็นนี้ ก่อนที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะให้เวลาสมาชิกที่ประสงค์อภิปรายคนละ 5 นาที โดยมี สส. แสดงความประสงค์จะอภิปรายรวม 11 คน
พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ (ปช.) อภิปรายพาดพิงถึงบันทึกข้อตกลงสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาล หรือ MOA ระหว่างพรรค ภท. และ ปชน. ซึ่งตกลงตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยและยุบสภาหลังแถลงนโยบายนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
ในขณะที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ปชน. ลุกขึ้นโต้แย้งในเวลาต่อมา โดยระบุว่า สส. หลายท่านที่ออกมาบอกว่าข้อตกลงดังกล่าวขัดกับรัฐธรรมนูญนั้น หากเชื่อว่า MOA เป็นการ “เซาะกร่อนบ่อนทำลายจริง” เหตุใดก่อนหน้านี้จึง “เสนอรับดีลทุกข้อ” และเสนอ “ยุบสภา” แบบ “ลดแลกแจกแถม”
ช่วงหนึ่งของการอภิปราย นายณัฐพงษ์ กล่าวว่าหากจะมีการเลื่อนวาระการโหวตเลือกนายกฯ มาพิจารณาก่อน ก็ขอให้ สส. อยู่เป็นองค์ประชุมและพิจารณากฎหมายฉบับต่าง ๆ ต่อให้ครบตามระเบียบวาระ
หลังจากนั้นก่อนการลงมติ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. ได้ลุกขึ้นพูดในสภา ยืนยันว่าตนและพรรค ภท. จะ “อยู่เป็นองค์ประชุมและทำให้การประชุมทุกวาระในวันนี้และในอนาคตดำเนินไปด้วยความราบรื่น”
หลังจากอภิปรายเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมง ในเวลา 11.35 น. ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้เลื่อนวาระการโหวตเลือกนายกฯ มาพิจารณาเป็นวาระที่ 2 จากเดิมวาระที่ 8 ด้วยคะแนนเสียง 313 ต่อ 142 โดยมีผู้งดออกเสียง 4 คน และไม่ลงคะแนนเสียง 5 คน
ทักษิณเคลื่อนไหวบินออกนอกประเทศ
ค่ำวานนี้ (4 ก.ย.) ปรากฏความเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร ถูกกักตัวอยู่ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของอาคารผู้โดยสารอากาศยานส่วนบุคคล (M-jets) ดอนเมือง ก่อนที่ในเวลาต่อมาเครื่องบินส่วนตัวของเขาจะออกเดินทางจากไทย เมื่อเวลาประมาณ 19.17 น. ตามการรายงานของสำนักข่าว The Reporters โดยมีรายงานว่าปลายทางคือประเทศสิงคโปร์
ทว่าข้อมูลจากเว็บติดตามการบินที่ชื่อว่า ไฟลท์เรดาร์ 24 ระบุว่าเครื่องบิน Bombardier World 7500 เที่ยวบินที่ T7GTS ของนายทักษิณ ได้เปลี่ยนเส้นทางจากเดิมที่มุ่งหน้าไปยังสิงคโปร์ ก่อนพบการบินวนเหนือพื้นที่มหาสมุทรอินเดีย และในเวลาต่อมาตรวจสอบพบว่าเส้นทางการบินมุ่งหน้าไปยังภูมิภาคตะวันออกกลาง
ล่าสุด นายทักษิณ ได้โพสต์ผ่านบัญชี “เอ็กซ์” @Thaksin ของเขา เมื่อเวลา 02.07 น. ของวันนี้ (5 ก.ย.) ว่า ตั้งใจเดินทางไปสิงคโปร์เพื่อไปตรวจสุขภาพ แต่ ตม. ที่ไทย ถ่วงเวลาเขาไว้เกือบ 2 ชั่วโมง ทั้งที่ตนชนะคดีที่ถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งมีเงื่อนไขของศาลห้ามออกเดินทางไปต่างประเทศมาแล้ว ทำให้เครื่องบินเดินทางไปลงจอดยังท่าอากาศยานสำหรับเครื่องบินส่วนตัวไม่ทันเวลา 22.00 น. จึงตัดสินใจเปลี่ยนแผนไปยังนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพราะที่ดูไบมีหมอกระดูก และหมอปอดที่รักษาประจำมานาน และยังมีโอกาสได้เยี่ยมเพื่อนที่ดูไบ ซึ่งไม่ได้เจอกันมากว่า 2 ปี
นายทักษิณ กล่าวด้วยว่าตั้งใจเดินทางกลับมาประเทศไทยไม่เกินวันที่ 8 ก.ย. หรือก่อนศาลนัดฟังคำตัดสิน “คดีชั้น 14” หนึ่งวัน
“ผมตั้งใจจะกลับไปไทยไม่เกินวันที่ 8 เพื่อเดินทางไปศาลด้วยตัวเอง วันที่ 9 กันยายนนี้ ครับ” นายทักษิณ โพสต์ผ่านบัญชี “เอ็กซ์”

ที่มาของภาพ : X/@Thaksin
เพื่อไทย ประกาศหนุน ชัยเกษม ชิงนายกฯ ไม่ถึง 24 ชม. ก่อนวันสภานัดโหวต

ที่มาของภาพ : Arnun Chonmahatrakool /TNP
นายชัยเกษม นิติสิริ เคยปรากฏชื่อเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 เมื่อเดือน ส.ค. ปีที่แล้ว หลังจากนายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกฯ ด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จากข้อกล่าวหา “ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” จากการแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ในเวลานั้น “ผู้มีบารมีเหนือเพื่อไทย” เคาะชื่อ ชัยเกษม ขึ้นเป็นว่าที่ผู้นำคนใหม่ของประเทศ และได้แจ้งความเห็นต่อหัวหน้าพรรคและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลในระหว่างพบปะกันที่บ้านจันทร์ส่องหล้าของ ทักษิณ ผู้เป็นบิดาของหัวหน้าพรรค พท. เมื่อช่วงเย็นวันที่ 14 ส.ค. 2567
ทว่าได้เกิดเหตุพลิกผันในวันถัดมา เมื่อนักการเมืองค่ายเพื่อไทยส่งเสียงสนับสนุนให้ “หัวหน้าอิ๊ง” ซึ่งประกาศตัวเป็น “ดีเอ็นเอทักษิณ” ขึ้นเป็นนายกฯ หญิงคนใหม่ ในระหว่างการประชุม สส. เพื่อไทย เพื่อขอมติส่งชื่อ ชัยเกษม เป็นประมุขฝ่ายบริหาร ผู้บริหารพรรคเตรียมช่วยกันชี้แจงว่าทำไมถึงต้องเป็นชัยเกษม แทนที่จะเป็น แพทองธาร กระทั่งในช่วงเย็นวันเดียวกัน มติคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรค พท. จึงเคาะให้เสนอชื่อ แพทองธาร เป็นนายกฯ คนใหม่
กระทั่งในครั้งนี้ ความแน่นอนในการเสนอชื่อนายชัยเกษม นิติสิริ ก็เพิ่งปรากฏความชัดเจนก่อนวันที่สภานัดลงมติเลือกนายกฯ ไม่ถึง 24 ชม. ซึ่งก่อนหน้านี้ เขาเปิดเผยกับสื่อเมื่อ 1 ก.ย. หรือหลัง น.ส.แพทองธาร ถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งพ้นนายกฯ 2 วันว่า ไม่ได้รับการติดต่อหรือประสานพูดคุยกับแกนนำพรรค พท. แต่อย่างใด
แต่ละฝ่ายมีเสียงในมืออยู่กี่เสียง
289 เสียง (146+142+1) โหวตนายกฯ ภูมิใจไทย ?
จากการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนของนายอนุทิน เมื่อ 3 ก.ย. เขายืนยันจะตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยโดยมี 146 เสียง
ในการลงชื่อในญัตติขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรบรรจุวาระเลือกนายกฯ ผู้สื่อข่าวพบว่าในจำนวนเสียงสนับสนุนเหล่านี้ ประกอบด้วย สส. จาก 8 กลุ่ม/พรรคการเมือง รวม 146 เสียง ได้แก่
- พรรคภูมิใจไทย 68 คน (หายไป 1 คนคือ น.ส. ประภา เฮงไพบูลย์ สส. กาฬสินธุ์)
- พรรคกล้าธรรม 25 คน
- พรรคพลังประชารัฐ 17 คน
- พรรครวมไทยสร้างชาติ 16 คน (กลุ่มของนายสุชาติ ชมกลิ่น)
- พรรคเพื่อไทย 8 คน
- พรรคไทยสร้างไทย 3 คน
- พรรคประชาธิปัตย์ 3 คน
- สส. พรรคเล็ก และ สส. กลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รวม 6 คน
นอกจากนี้ ตามบันทึกข้อตกลงร่วมที่นายอนุทินลงนามร่วมกับนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ปชน. ยืนยันว่า สส. ของพรรค ปชน. ซึ่งมีอยู่ 142 เสียง (ไม่นับ สส. “งูเห่า” ที่ไปแสดงตัวในกลุ่ม 146 เสียงแล้ว) จะร่วมโหวตสนับสนุนนายอนุทินให้ขึ้นเป็นนายกฯ คนใหม่ ซึ่งจะทำให้ทั้งสองส่วนนี้ มีเสียงรวมกันอย่างน้อย 288 เสียง
และคาดว่าจะมีอีก 1 เสียงจากพรรคเป็นธรรม (ปธ.) ที่เคยออกมาแสดงตัวแล้วว่าเขาจะลงคะแนนเสียงให้นายอนุทินเป็นนายกฯ แต่จะไม่ร่วมรับตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง เท่ากับว่านายอนุทินอาจได้เสียงสนับสนุนถึง 289 เสียง

ที่มาของภาพ : Arnun Chonmahatrakool /TNP
203 เสียง หนุนนายกฯ เพื่อไทย – งดออกเสียง ?
ขณะที่พรรค พท. และพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ที่ไม่ได้ออกมาแสดงตัวชัดเจนว่าจะสนับสนุนให้นายอนุทินเป็นนายกฯ เหลืออยู่ 203 เสียง ประกอบด้วย สส.
- พรรคเพื่อไทย 132+2 เสียง (หักลบ 8 “งูเห่า” ที่แสดงตัวเตรียมโหวตนายอนุทิน และบวก 2 งูเห่าที่มาจากพรรคภูมิใจไทยและไทยสร้างไทย)
- พรรครวมไทยสร้างชาติ 20 คน
- พรรคประชาธิปัตย์ 22 เสียง
- พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง
- พรรคประชาชาติ 9 เสียง
- พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง
- พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง
- พรรคไทยสร้างไทย 2 เสียง
- พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง
อย่างไรก็ตาม ก่อนการประชุมสภาจะเริ่มต้นขึ้น พรรค ปชป. ซึ่งเหลือ สส. 22 คนที่ไม่ได้เปิดตัวสนับสนุนนายอนุทินเป็นนายกฯ มีมติพรรคให้ “งดออกเสียง” ทั้งนี้ถ้าย้อนไปในคราวโหวตเลือก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ 25 สส. ของพรรค ปชป. ก็ “งดออกเสียง” เช่นกัน ก่อนที่พรรคสีฟ้าจะเข้าร่วมรัฐบาล “แพทองธาร” หลังจากนั้น ปิดฉากความขัดแย้งทางการเมืองที่ 2 พรรคต่อสู้กันมากว่า 2 ทศวรรษ
ส่วน สส. พรรคร่วมรัฐบาลเดิมอื่น ๆ อาจโหวตสนับสนุนนายชัยเกษม หรืองดออกเสียง หรือมีบางส่วนหันไปลงคะแนนให้นายอนุทินเพิ่มเติม
รัฐธรรมนูญกำหนดให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่จำเป็นจำต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของ สส. คืออย่างน้อย 247 เสียง จาก สส. ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 492 คน
ขั้นตอนโหวตเลือกนายกฯ
การพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ถูกบรรจุไว้ในวาระเรื่องด่วน เรื่องที่ 8 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นพิเศษ ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเริ่มขึ้นเวลา 09.00 น. วันนี้
สำหรับรายชื่อบุคคลที่จะเสนอชิงเก้าอี้นายกฯ ได้ ต้องมีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้กับ กกต. ตั้งแต่ช่วงเลือกตั้ง และเป็นพรรคที่มี สส. ไม่น้อยกว่า 5% ของสภา หรือมี สส. 25 คน
แม้แคนดิเดตนายกฯ คนที่ 32 ยังเหลืออยู่ 5 คน ได้แก่ นายชัยเกษม นิติสิริ พรรคเพื่อไทย, นายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย, พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค พรรครวมไทยสร้างชาติ, และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ พรรคประชาธิปัตย์ แต่ชัดเจนแล้วว่าเป็นการชิงกันระหว่างแคนดิเดตพรรคสีน้ำเงินกับสีแดง
ในการเสนอชื่อต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสภา
ส่วนในการลงมติ ต้องลงคะแนนโดยเปิดเผย และมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวน สส. ทั้งหมดที่มีอยู่ หรือไม่น้อยกว่า 247 เสียง
ท่าทีแต่ละฝ่ายก่อนวันโหวตเลือก

ที่มาของภาพ : Arnun Chonmahatrakool /TNP
พรรค ปชน. แสดงจุดยืนชัดเจนมาตั้งแต่วันที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่า ต้องการให้นายกรัฐมนตรีคนที่จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่แทน ยุบสภาใน 4 เดือน และจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่โดยให้มีการออกเสียงประชามติ และมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง
พรรค ภท. กระโดดรับข้อเสนอนี้อย่างรวดเร็ว โดยเดินทางไปพบนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ปชน. ในวันที่ 29 ส.ค. ทันที่ ขณะที่พรรค พท. ออกตัวช้ากว่า 2 วัน
การช่วงชิงจังหวะทางการเมืองหนักขึ้นในวันที่ 3 ก.ย. เมื่อมีกระแสข่าวพรรค พท. ได้ยื่นทูลเกล้าฯ ร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ยุบสภาผู้แทนราษฎร ไปตั้งแต่วันก่อนหน้า ขณะที่หัวหน้าพรรค ปชน. ก็ประกาศว่า สส. ในพรรคจะสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีเงื่อนไขที่เพิ่มขึ้นมาคือ พรรค ภท. ต้องไม่ดำเนินการโดยวิธีการใด ๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก ซึ่งนายอนุทินตกลงตามข้อเสนอ
4 ก.ย. นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ปชน. แถลงข่าวขอให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ออกมาแสดงความชัดเจนถึงกระบวนการยื่นยุบสภาตามที่มีกระแสข่าว ก่อนที่นายภูมิธรรมจะเผยแพร่แถลงการณ์ผ่านทางเฟซบุ๊กของตัวเอง ระบุว่า ได้รับแจ้งจากสำนักงานองคมนตรี ว่ายังมีประเด็นข้อกฎหมายที่มีการโต้แย้งและยังไม่เป็นข้อยุติ โดยเฉพาะประเด็นอำนาจของรองนายกรัฐมนตรีผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีในการถวายคำแนะนำ จึงยังไม่เห็นสมควรนำร่าง พ.ร.ฎ. ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในเวลานี้
ต่อมาพรรค พท. หงายไพ่ในโค้งสุดท้ายก่อนการโหวตเลือกนายกฯ ประกาศจะยุบสภาทันทีหลังแถลงนโยบาย หากเลือกนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเร็วกว่าข้อเสนอยุบสภาภายใน 4 เดือน ที่พรรค ปชน. ตกลงกับพรรค ภท. ไว้แล้ว
“กระผม นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ขอยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยตอบรับข้อเสนอทุกข้อของพรรคประชาชน และหากกระผมได้รับการลงคะแนนให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะยุบสภาทันทีโดยไม่ต้องรอเวลาถึง 4 เดือน เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนเข้าสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยต่อไป” นายชัยเกษม ระบุในคลิปวิดีโอที่ถูกโพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊กของพรรคเพื่อไทย
“นี่คือสัญญาที่ทำไว้ต่อพี่น้องประชาชนและท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคน ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล จะปฏิบัติตามข้อตกลงนี้โดยไม่มีข้อเปลี่ยนแปลง ไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมใด ๆ” เขากล่าวขณะที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ, นายชูศักดิ์ ศิรินิล และ นางสาวจิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกฯ, และ พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ผู้เป็นหัวหน้าพรรคประชาชาติ นั่งขนาบข้าง
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอนี้ไม่ได้รับการตอบรับจากพรรค ปชน. โดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ แถลงข่าวในช่วงเย็นวันพฤหัสบดี (4 ก.ย.) ว่าการตัดสินใจของพรรคสิ้นสุดตั้งแต่ที่คณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) แถลงข่าวและลงนามในข้อตกลงร่วมกับพรรค ภท. ไปแล้ว
“ถ้ามีการเสนอมาก่อนหน้านี้ แล้วก็มีการยื่นข้อเสนอพูดคุยอย่างเป็นทางการมาก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะผ่านกระบวนการการรับฟังความคิดเห็นของพรรคมาทั้งหมดจนกว่าที่พรรคจะมีมติอย่างเป็นทางการ ผมเชื่อว่าตัวผมเองและเพื่อน ๆ ในพรรคจะรับ ข้อเสนอของพรรคเพื่อไทย ไว้พิจารณาไว้เป็นปัจจัยหนึ่งในการชั่งน้ำหนัก” หัวหน้าพรรค ปชน. กล่าว
“แต่เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากระบวนการที่ผ่านมาตลอดจนถึงวันนี้ ก็ยังมีการให้ข่าวกลับไปกลับมาจากพรรคเพื่อไทยเอง และพวกเราเองก็พอที่จะประเมินได้ว่าจริง ๆ ไม่ได้มีความจริงจังหรือว่าจริงใจที่จะบรรลุข้อตกลงกับพวกเราตั้งแต่ต้น เพียงแต่ว่าเป็นการพยายามปล่อยข่าวเพื่อช่วงชิงจังหวะความได้เปรียบทางการเมืองมากกว่า” เขาระบุ
“จนถึงวินาทีนี้ที่ภายหลังพรรค ปชน. ได้บรรลุข้อตกลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และยังมีการปล่อยข่าวในลักษณะนี้อยู่ มันยิ่งแสดงให้เห็นว่าจริง ๆ เราเองไม่สามารถที่จะเชื่อคำพูดที่กลับไปกลับมาแบบนี้ได้” นายณัฐพงษ์ระบุในการให้สัมภาษณ์เมื่อ 4 ก.ย.
เงื่อนไข 5 ข้อ สส.ปชน. โหวตเลือก “อนุทิน”
สำหรับเงื่อนไขทั้ง 5 ข้อที่พรรคประชาชนตกลงร่วมกับพรรคภูมิใจไทยในการโหวตเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯ ประกอบด้วย
1. นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไป
2. ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ตามมาตรา 256 นั้น คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็ว ทั้งนี้ต้องไม่เกินกว่าวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไป
3. ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ตามมาตรา 256 นั้น ครม. ชุดใหม่ พรรค ปชน. และพรรค ภท. จะเร่งผลักดันร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดให้มีกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง ให้แล้วเสร็จในวาระของสภาชุดนี้โดยเร็ว
4. เพื่อสร้างหลักประกันว่านายกฯ คนใหม่จะยุบสภาภายใน 4 เดือนจริง พรรค ภท. ต้องไม่ดำเนินการโดยวิธีการใด ๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก
5. พรรค ปชน. ยืนยันเป็นฝ่ายค้านต่อไป โดยจะทำหน้าที่ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดใหม่อย่างเต็มที่ และจะไม่มีบุคคลใดจากพรรคประชาชนไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
ที่มา BBC.co.uk