
‘สภาผู้บริโภค’ ยกผลศึกษาฯ ระบุ 3 ปี ควบรวมธุรกิจ ‘มือถือ-เน็ตบ้าน’ พบ ‘ผู้บริโภค’ จ่ายค่าบริการแพงขึ้น-คุณภาพสัญญาณลดลง ค้าน ‘กสทช.’ แก้มาตรการเฉพาะเอื้อ ‘ค่ายมือถือ’
……………………………………
เมื่อวันที่ 5 ก.ย. น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยว่า ภายหลังจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มติรับทราบการควบรวมธุรกิจมือถือ และอนุญาตการควบรวมธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้าน พร้อมทั้งกำหนดมาตรการหรือเงื่อนไขเฉพาะหลังการควบรวมฯ มาเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว
ปรากฏว่าในช่วงที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคได้รับข้อร้องเรียนจากผู้บริโภค รวมถึงการร้องเรียนผ่านสื่อสาธารณะต่างๆ เกี่ยวกับราคาค่าบริหาร คุณภาพโครงข่าย และปัญหาการให้บริการต่างๆ ของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือและผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตบ้าน สถาผู้บริโภค จึงได้มอบหมายให้หน่วยงาน สถาบันวิชาการติดตามและศึกษาผลกระทบจากการควบรวมธุรกิจทั้ง 2 กรณีดังกล่าว
โดยพบว่าในส่วนการควบรวมค่ายมือถือนั้น ค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่ได้ลดลงเฉลี่ย 12% ตามที่มีการกำหนดไว้ในมาตรการเฉพาะแต่อย่างใด อีกทั้งกลุ่มลูกค้าแบบเติมเงิน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใช้บริการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่กลุ่มใหญ่ที่สุด หรือคิดเป็น 80% ของผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และเป็นกลุ่มที่มีรายได้ไม่มากนัก พบว่ากลุ่มลูกค้านี้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยกว่า 100 บาท/เดือน โดยค่าบริการรายเดือนปรับเพิ่มจาก 300 บาท/เดือน เป็น 400-500 บาท/เดือน
ขณะเดียวกัน ในส่วนค่าใช้จ่ายด้านบริการอินเทอร์เน็ตก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยค่าอินเทอร์เน็ตบ้าน ซึ่งเคยมีการใช้บริการแบบไม่จำกัด 100 บาท/เดือน หายไป และมีการออกแพ็กเกจใหม่ที่มีราคาปรับขึ้นมาเป็น 191 บาท/เดือน หรือเกือบ 200 บาท/เดือน โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่เป็นกลุ่มฐานใหญ่และมีรายได้ไม่มากนัก พบว่าราคาแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตบ้านเพิ่มขึ้นเป็น 599 บาท ในขณะที่คุณภาพสัญญาณอินเทอร์เน็ตของค่ายมือถือมีแนวโน้มลดลง
“การรวมธุรกิจการโทรคมนาคม ทั้งค่ายมือถือและอินเทอร์เน็ตบ้าน ไม่ใช่เพียงเรื่องการแข่งขันทางธุรกิจ แต่เป็นวาระสาธารณะที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งประเทศ หากการกำกับดูแลไร้ประสิทธิภาพหรือมีการผ่อนปรนเงื่อนไขโดยไม่อธิบายเหตุผลที่ชัดเจน ย่อมทำให้ผู้บริโภคตกอยู่ในความเสียเปรียบอย่างถาวร และอาจเป็นการละเลยต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายที่มุ่งคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
ดังนั้น จึงถึงเวลาที่ กสทช. ต้องแสดงความชัดเจนและโปร่งใสต่อสาธารณะว่า จะยึดมั่นในหลักการคุ้มครองผู้บริโภคและประโยชน์สาธารณะเป็นที่ตั้ง หรือจะยอมปล่อยให้ผลประโยชน์ของกลุ่มทุนรายใหญ่มีน้ำหนักเหนือกว่าความเดือดร้อนของผู้บริโภคทั้งประเทศ” น.ส.สุภิญญา กล่าว
น.ส.สุภิญญา ยังกล่าวถึงกรณีที่ กสทช. มีการพิจารณาปรับลดเงื่อนไขมาตรการเฉพาะภายหลังการควบรวมธุรกิจมือถือเมื่อต้นเดือน ส.ค.2568 ที่ผ่านมา ว่า ผู้บริโภคไม่ได้รับประโยชน์ใดๆจากมาตรการเฉพาะเดิมที่กำหนดไว้เลย และยังต้องเผชิญปัญหาค่าบริการที่สูงขึ้น คุณภาพบริการถดถอย และมีทางเลือกในตลาดลดลงอย่างชัดเจน จึงก่อให้เกิดคำถามสำคัญว่า กสทช. กำลังปกป้องสิทธิผู้บริโภคหรือทำงานเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่กี่ราย
“เงื่อนไขพิเศษที่กำหนดไว้ตั้งแต่แรก คือ กลไกสำคัญในการป้องกันการผูกขาดตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ไทย แต่วันนี้ กสทช. มีแนวโน้มจะลดมาตรการลงไปอีก ย่อมก่อให้เกิดคำถามสำคัญต่อสังคมว่า กสทช. กำลังปกป้องสิทธิผู้บริโภคหรือทำงานเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่กี่ราย” น.ส.สุภิญญา กล่าว
น.ส.สุภิญญา กล่าวด้วยว่า ตามมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 และแก้ไขเพิ่มเติม ที่กำหนดให้ กสทช.ต้องเปิดเผยรายงานการประชุมพร้อมทั้งผลการลงมติต่างๆ ซึ่งต้องดำเนินการภายในระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน นับแต่วันที่ได้มีการลงมติ เพื่อความโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลได้อย่างโปร่งใส
อย่างไรก็ดี จนถึงปัจจุบันยังไม่พบว่า กสทช. มีการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวต่อสาธารณะ ทั้งประเด็นการรายงานการดำเนินการมาตรการหลังการควบรวมของผู้ให้บริการฯ รวมถึงการเปิดเผยรายงานการประชุมที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าว โดยข้อเท็จจริงดังกล่าวยิ่งเป็นการสะท้อนถึงความบกพร่องในการกำกับดูแลของ กสทช. และทำให้ผู้บริโภคขาดเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบสิทธิของตนเอง
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )