อธิบายผ่าน 5 ภาพ เหตุใดไฟป่าแคลิฟอร์เนียจึงรุนแรงและลุกลามอย่างรวดเร็ว
Article info
- Author, ริชาร์ด เกรย์, มาร์ธา เอ็นริเกซ และจอสลิน ทิมเพอร์ลีย์
- Characteristic, บีบีซี ฟิวเจอร์
ทีมงานบีบีซี เอิร์ธ (BBC Earth) วิเคราะห์เหตุผลว่าทำไมไฟป่าในลอสแอนเจลิสจึงรุนแรงและลุกลามอย่างรวดเร็ว โดยตรวจสอบทั้งปัจจัยเรื่องพืชพรรณที่เพิ่มจำนวนขึ้นไปจนถึงสะเก็ดไฟที่ปลิวกระจาย
เปลวไฟกำลังลุกลามด้วยความเร็วที่น่าหวาดหวั่น ตอนที่ผู้อยู่อาศัยในย่านแปซิฟิก พาลิเซดส์ ทางตะวันตกของลอสแอนเจลิส เริ่มเห็นควันพวยพุ่งจากเนินเขาฝั่งตรงข้ามบ้านของพวกเขาในช่วงเช้าของวันที่ 7 ม.ค. ตอนนั้นไฟป่าก็ได้ลุกลามกินพื้นที่ประมาณ 10 เอเคอร์แล้ว (ราว 25 ไร่) ภายในเวลาเพียง 25 นาที ไฟได้ขยายวงกว้างจนกินพื้นที่กว่า 200 เอเคอร์ (ราว 506 ไร่)
ภายในชั่วโมงถัดมา เปลวไฟยังคงลุกลาม เผาผลาญบ้านเรือน โรงละคร ร้านอาหาร ร้านค้า โรงเรียน และชุมชนทั้งหลาย จนถึงช่วงเช้าของวันที่ 9 ม.ค. ไฟป่าในพื้นที่พาลิเซดส์ได้ลุกลามครอบคลุมพื้นที่ถึง 17,234 เอเคอร์ (ราว 70 ตารางกิโลเมตร) และยังมีไฟป่าจุดอื่น ๆ เกิดขึ้นทั่วพื้นที่นครลอสแอนเจลิส ทำให้ไฟป่าครั้งนี้กลายเป็นหนึ่งในเหตุไฟป่าที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของแอลเอ ตามรายงานของโจนาธาน พอร์เตอร์ หัวหน้าทีมนักอุตุนิยมวิทยาของแอคคิวเวเธอร์ ( AccuWeather) ผู้ให้บริการด้านการพยากรณ์อากาศเชิงพาณิชย์รายหนึ่ง
สำหรับความเสียหายทางเศรษฐกิจ ประมาณการความเสียหายเบื้องต้นอยู่ที่ระหว่าง 5.2 – 5.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.seventy 9 – 1.97 ล้านล้านบาท
ทำไมไฟป่าจึงรุนแรงและลุกลามอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ? ต่อไปนี้คือเหตุผล 5 ข้อ
เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ฝนตกที่หนักในปี 2024 ซึ่งเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์เอลนีโญ ถูกมองว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้สภาพอากาศมีความเสี่ยงสูงต่อไฟป่าในฤดูหนาวนี้
“โดยทั่วไปแล้วฝนมักถูกมองว่าไม่ส่งผลดีต่อไฟป่า ยิ่งหากฝนตกในขณะที่เกิดไฟป่าอยู่ก็จะเป็นผลเสียต่อไฟ” รอรี แฮดเดน นักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ไฟจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระกล่าว
อย่างไรก็ตาม ปริมาณฝนที่ตกลงมาก่อนหน้าที่จะเกิดไฟป่า อาจส่งผลให้พืชพรรณเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและกลายเป็นเชื้อเพลิงได้ “เมื่อเข้าสู่ช่วงอากาศแห้งแล้ง พืชพรรณเหล่านั้นจะแห้งอย่างไวและกลายเป็นเชื้อเพลิงจำนวนมาก”
สภาพอากาศที่เปียกชื้นในปี 2024 ตามด้วยช่วงหน้าแล้ง ได้สร้าง “สภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบสำหรับเหตุไฟป่าลุกลาม” มาเรีย ลูเซีย เฟร์เรรา บาร์โบซา นักวิทยาศาสตร์ด้านไฟป่าจากศูนย์นิเวศวิทยาและอุทกวิทยาแห่งสหราชอาณาจักร ระบุในแถลงการณ์
การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศจากเปียกชื้นไปสู่ความแห้งแล้งนี้เรียกว่า “Hydroclimate Whiplash” ซึ่งหมายถึงสภาพภูมิอากาศที่เกี่ยวกับน้ำและความชื้นที่เปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน โดยมีงานวิจัยล่าสุดพบว่า ความเสี่ยงจากปรากฏการณ์นี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 31-66% ทั่วโลกตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา
ลมซานตา อานา: ร้อนและแห้งดั่งไดร์เป่าผม
ไฟป่าถูกโหมกระพือด้วยพายุลมแรงเช่นเดียวกัน ลมกระโชกแรงได้พัดเปลวไฟจากเชิงเขาทางตะวันตกของลอสแอนเจลิส ให้กลายเป็นไฟป่าที่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ลุกลามผ่านพืชพรรณที่แห้งอยู่แล้ว จนเผาผลาญย่านแปซิฟิก พาลิเซดส์ ใกล้ซานตา โมนิกา ลมเหล่านี้มักจะร้อนและแห้ง ทำให้ดูดความชื้นออกจากพืชพรรณได้มากขึ้นอีกด้วย
“ไฟป่าต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 3 อย่าง ทุกครั้ง คือ แหล่งกำเนิดไฟ เชื้อเพลิง และออกซิเจนจากอากาศ” รอรี แฮดเดน นักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ไฟจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ บอก “แต่สิ่งที่ทำให้ไฟป่าครั้งนี้รุนแรงมาก คือความเร็วลมจากศูนย์กลางทะเลทรายแคลิฟอร์เนีย”
ลมเหล่านี้รู้จักกันในชื่อ “ลมซานตา อานา” หรือ “ลมเฟิน” (Föhn winds) ซึ่งสามารถทำให้ไฟป่ามีพฤติกรรมลุกลามในลักษณะที่ไม่แน่นอน “ลมเหล่านี้แห้งมากและพัดแรงมาก ดังนั้น ทันทีที่ไฟเริ่มต้น มันจึงติดและขยายตัวอย่างรวดเร็ว” แฮดเดนกล่าว
“มีรายงานว่าความเร็วลมสูงถึงกว่า 100 ไมล์ต่อชั่วโมง (160 กม./ชม.) ซึ่งทำให้เปลวไฟลุกลามอย่างรวดเร็วจากจุดที่เกิดไปทั่วพื้นที่”
ในบางกรณี พายุลมเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของไฟป่าเองได้เช่นกัน โดยการพัดเสาไฟฟ้าล้มหรือทำให้สายไฟฟ้าขาด จนนำไปสู่การลุกไหม้ของพืชพรรณบริเวณใกล้เคียง
สะเก็ดไฟ
นักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ไฟจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ ระบุว่าลมเหล่านี้ไม่ได้เพียงแต่โหมกระพือเปลวไฟและพัดพาไฟป่าไปตามเขตป่าไม้ตามธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังพัดพาเอาเศษสะเก็ดไฟให้กระจายตัวไปด้วย ซึ่งสะเก็ดไฟ (Firebrands) เหล่านี้เป็นสาเหตุหลักของความเสียหายต่อสิ่งปลูกสร้างจากไฟป่า
“เปลวไฟอาจถูกขวางกั้นด้วยถนนหรืออาคาร” แฮดเดนกล่าว “แต่ไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งสะเก็ดไฟเหล่านี้ได้ พวกมันเคลื่อนที่ไปไกลได้มาก”
ลมสามารถพัดพาสะเก็ดไฟจากต้นไม้ที่กำลังลุกไหม้และปลิวไปข้างหน้าได้ พวกมันอาจตกลงเพียงไม่กี่เมตรที่ข้างหน้ากลุ่มเปลวไฟและติดไฟขึ้นมาใหม่ หรืออาจปลิวไปไกลเป็นระยะทางหลายไมล์ ทำให้เกิดไฟไหม้ขึ้นอีกจุดที่ห่างไกลออกไป
“มีรายงานว่าสะเก็ดไฟเหล่านี้สามารถปลิวไปได้ไกลเป็นสิบกิโลเมตร พวกมันอาจตกลงในร่องแตกรอบบ้าน หรือบนต้นไม้ประดับตามบ้านคน และทำให้บ้านเกิดไฟไหม้ขึ้นได้” แฮดเดนกล่าว
หากสะเก็ดไฟปลิวไปติดที่บ้านเพียงหลังเดียวแล้วเกิดไฟไหม้ขึ้น ทีมดับเพลิงอาจสามารถควบคุมเพลิงได้ “แต่ปัญหาคือ สะเก็ดไฟมักทำให้บ้านหลายสิบหลังลุกไหม้พร้อมกัน และสะเก็ดไฟก็จะเยอะขึ้นจากบ้านแต่ละหลัง ทำให้เกิดปรากฏการณ์โดมิโน” แฮดเดนกล่าว “ลมจะพัดพาสะเก็ดไฟเหล่านี้ให้ปลิวไปเรื่อย ๆ”
นอกจากความเสียหายต่อทรัพย์สินแล้ว สะเก็ดไฟยังเป็นอันตรายอย่างมากต่อผู้คนที่อยู่ในเส้นทางของไฟป่า
“มันเหมือนพายุหมุนของสะเก็ดไฟ ไม่มีออกซิเจนเลย” อเล็ก เกลลิส กล่าวกับซีบีเอสนิวส์ซึ่งเป็นพันธมิตรของบีบีซีในสหรัฐฯ หลังบ้านแฟนสาวของเขาถูกไฟไหม้จากเหตุไฟป่า “ผมเกือบจะไปไม่ถึงรถของตัวเองแล้ว”
เนินเขาและหุบเขา
ภูมิประเทศที่มีลักษณะเป็นเนินเขาในพื้นที่ยังเพิ่มความเสี่ยงจากไฟป่าอีกด้วย
“ไฟจะลุกลามขึ้นเนินรวดเร็วมาก” รอรี แฮดเดน กล่าว “ลักษณะทางภูมิศาสตร์อย่างหุบเขาและร่องเขาสามารถทำให้ไฟมีพฤติกรรมรุนแรงจนยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะควบคุมได้”
ภูมิประเทศเช่นนี้ไม่เพียงเพิ่มความเสี่ยงในการลุกลามของไฟ แต่ยังทำให้การอพยพยากขึ้นอีกด้วย ในพื้นที่พาลิเซดส์ ถนนบนเนินเขาที่แคบยิ่งเพิ่มความท้าทายสำหรับผู้ที่พยายามอพยพออกจากพื้นที่ ไมก์ โบนิน อดีตสมาชิกสภาเทศบาลนครลอสแอนเจลิส กล่าวกับนิวยอร์กไทมส์
สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
แม้ว่าจะยังเร็วเกินไปที่จะระบุอย่างชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีส่วนทำให้เกิดไฟป่าครั้งนี้มากน้อยเพียงใด แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศถูกนำมาเชื่อมโยงกับความรุนแรงของไฟป่าที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยจำนวนวันที่สภาพอากาศเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าเพิ่มขึ้น และสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยสำคัญ
“ความเสี่ยงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงเรื่องอุณหภูมิที่สูงขึ้นเท่านั้น” รอรี แฮดเดนกล่าว “แต่ยังเกี่ยวข้องกับความสุดขั้วของสภาพอากาศที่เรากำลังเผชิญด้วย”
“ไม่ใช่แค่สภาพอากาศที่ร้อนขึ้น แต่ยังรวมถึงลมที่รุนแรงขึ้น ฝนตกหนักขึ้น ซึ่งส่งผลให้พืชพรรณเติบโตมากขึ้น ดังนั้น เรากำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่ร้อนและแห้งขึ้น แต่ยังเปียกและมีลมแรงขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยทางสภาพอากาศที่กำหนดความเสี่ยงในอนาคต”
ที่มา BBC.co.uk