คดีฮั้วเลือกสภาสูง กกต.รวมเป็นสำนวนเดียว-8 ด. ส่งศาลฎีกา 138 สว.ส่อหยุดปฏิบัติหน้าที่

คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนกลาง คณะที่ 26 สรุปคดีฮั้วเลือกสว. 229 ราย รวมเป็นสำนวนเดียกัน – กกต.กางไทม์ไลน์ 8 เดือน กกต.ชุดใหญ่ ลงมติ หากส่งศาลฎีกา-ประทับรับฟ้อง 138 สว. หยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที – 62 สว.เสียงข้างน้อยกลายเป็นเสียงข้างมากในวุฒิสภา

สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า สืบเนื่องจากกรณี เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนกลาง คณะที่ 26 ได้ส่งสำนวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) หรือ คดีฮั้วเลือกสว. ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) (ส่วนกลาง) สรุปความเห็น และได้ส่งสำนวนการเลือก สว.ให้สำนักงานคณะกรรม กกต. เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการดำเนินการของรองเลขาธิการคณะกรรมการ กกต.ที่ได้รับมอบหมายจากนายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการ กกต. ที่จะดำเนินการวิเคราะห์สำนวนและจัดทำความเห็นที่อยู่ในขั้นตอนที่ 2 ระยะเวลาพิจารณา 60 วัน เมื่อดำเนินการเสร็จแล้วจะเสนอคณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งจัดทำความเห็น (ขั้นตอนที่ 3) 90 วัน และสำนักงานคณะกรรมการ กกต. เสนอสำนวนให้คณะกรรมการ กกต. พิจารณาต่อไป (ขั้นตอนที่ 4) 90 วัน ซึ่งเป็นขั้นตอนตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2566 ที่ต้องดำเนินการให้ครบถ้วน ตามระเบียบที่กำหนด

รายงานข่าวจากคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนกลาง คณะที่ 26 กกต. เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา ว่า คณะกรรมการฯได้สรุปสำนวนคดีฮั้วเลือกสว. เป็น “สำนวนเดียวกัน” สำนวนเดียว ไม่ได้แยกเป็นรายบุคคล

รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า การรวมเป็นสำนวนเดียวกันทั้ง 229 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ มีสว. 138 ราย ดังนั้น ถ้าสุดท้ายคณะกรรมการ กกต.ชุดใหญ่ มีความเห็นส่งไปยังศาลฎีกา หากศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้องจะส่งผลให้ สว.ทั้ง 138 ราย ต้องสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันทีจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา

รายงานข่าวระบุว่า ปัจจุบัน สว.มีจำนวน 200 คน หากสว. 138 คน หยุดปฏิบัติหน้าที่จะทำให้มี สว.อยู่ปฏิบัติหน้าที่ได้จำนวน 62 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น สว.เสียงส่วนน้อยก่อนหน้านี้ ที่ส่วนใหญ่ ลงมติเกือบทุกครั้งก็จะเป็นเสียงส่วนน้อย อาทิ นางสาวนันทนา นันทวโรภาส ซึ่งแพ้เสียงส่วนใหญ่ที่ลงมติไปในทางเดียวกัน

ระเบียบข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา ข้อที่ 20 กำหนดองค์ประชุมต้องไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ จึงจะครบองค์ประชุม เว้นแต่ในกรณีพิจารณากระทู้ถาม สว.ต้องลงชื่อมาประชุมไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ก็ให้ถือว่าเป็นองค์ประชุม ส่วนการลงมติให้ใช้เสียงข้างมาก

กรณีหากประธานวุฒิสภาและรองประธานวุฒิสภาไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ข้อบังคับข้อที่ 22 ระบุว่า เมื่อถึงกำหนดเวลาประชุมหรือพ้นกำหนดเวลาประชุมไป 30 นาทีให้เลขาธิการวุฒิสภาขออนุมัติที่ประชุมวุฒิสภา เพื่อเชิญสว.ที่มีอายุสูงสุดซึ่งอยู่ในที่ประชุมวุฒิสภาเป็นประธานชั่วคราวของที่ประชุมได้ เพื่อให้ที่ประชุมวุฒิสภาเลือกประธานเฉพาะคราวสำหรับประชุมครั้งนั้น โดยต้องมีผู้รับรองการเสนอชื่อไม่น้อยกว่า 20 คน

ขณะที่ข้อบังคับ หมวด 5 การพิจารณาให้บุคคลดำรงตำแหน่งตามบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ข้อ 105 กำหนดให้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมา มีจำนวนไม่เกิน 15 คน เพื่อตรวจสอบประวัติฯ โดยเลือกจากคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภาเสนอ 3 คน ที่เหลือให้ที่ประชุมวุฒิสภาเลือกจากกรรมาธิการวุฒิสภาคณะละไม่เกิน 1 คน ซึ่งกำหนดกรอบการพิจารณาไม่เกิน 60 วัน ขยายได้อีกไม่เกิน 30 วัน การประชุมต้องไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ‘ของจำนวนกรรมาธิการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่’ จึงจะถือว่าครบองค์ประชุม

กรณีเสนอญัตติ ข้อ 35 ระบุว่า ต้องมีสว.รับรองไม่น้อยกว่า 5 คน

ทั้งนี้ สว.ส่วนใหญ่ที่มาเป็นคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติ องค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) หรือ กกต. ส่วนใหญ่จะเป็น สว.ที่ดำรงตำแหน่งก่อนหน้านี้