สภาโหวต 311:152 หนุน “อนุทิน ชาญวีรกูล” นั่งนายกฯ คนที่ 32 พบ สส. นอกกลุ่มเทคะแนนมาอีก 25 เสียง

ที่มาของภาพ : Getty Photos

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติ “เห็นชอบ” ให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ด้วยคะแนนเสียง 311 ต่อ 152 เสียง งดออกเสียง 27 คะแนน จากผู้ลงคะแนนเสียง 490 คน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล เปิดใจครั้งแรกกับสื่อระหว่างเดินออกจากห้องโถงของอาคารรัฐสภา ในเวลา 17.10 น. หลังได้รับเสียงโหวตจากสภาให้เป็นว่าที่นายกฯ คนที่ 32 ของไทย ระบุว่าเขา “ตั้งใจทำงานให้เต็มที่ เพราะเวลามีอยู่ไม่มาก ต้องทำงานทุกวันให้คุ้มค่าที่สุด ไม่มีวันหยุด”

เขายังกล่าวขอบคุณพรรคประชาชน และทุกเสียงที่สนับสนุน พร้อมตอบคำถามผู้สื่อข่าวต่างประเทศwวกเขาจะ “bound forward to the splendid direction, positively” ซึ่งหมายถึงว่าจะก้าวไปข้างหน้าในทิศทางที่ถูกต้องอย่างแน่นอน

โดยเมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามเรื่องโผ ครม. ใหม่ว่าได้พูดคุยกับพรรคร่วมแล้วหรือไม่ ว่าที่นายกฯ ตอบว่า “ใจเย็น ๆ” แต่ก็แย้มว่าเขา “ได้เตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้ว” โดยเขาจะทำทุกอย่างให้เร็วที่สุดเนื่องจากเวลามีไม่มาก

นายอนุทินยังยืนยันว่าที่ตัวเองกำลังจะเดินทางออกจากสภาเนื่องจากจะแวะเข้าไปเยี่ยมพ่อที่ป่วยอยู่ แต่หลังจากเยี่ยมเสร็จจะรีบกลับมาที่สภาเพื่อเป็นองค์ประชุมลงมติในวาระอื่น ๆ

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue finding outได้รับความนิยมสูงสุด

ได้รับความนิยมสูงสุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ด้วยคะแนนเสียงถึง 311 เสียง จะเท่ากับมีเสียงสนับสนุน 169 เสียง มากกว่าเสียงที่นายอนุทินประกาศจัดตั้งรัฐบาล 146 เสียงมาก่อนหน้านี้ นายอนุทินได้เดินไปชี้แจงแกนนำพรรค ปชน. ต่อกระแสข่าวว่าพรรค ภท. ผิดข้อตกลงไม่เพิ่มเสียงว่า “ผมยึดถือที่ 146 เสียงเท่านั้น”

เปิดรายชื่อ 25 สส. นอกกลุ่มเทคะแนนหนุน “อนุทิน”

.ตรวจสอบพบว่า นอกจาก 146 สส. พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล “เสียงข้างน้อย” และพรรคประชาชน (ปชน.) ที่โหวตสนับสนุนนายอนุทินแบบไม่แตกแถวครบ 143 เสียง ยังมีเสียงจาก สส. นอกกลุ่มประเดิมจัดตั้งรัฐบาลร่วมโหวตสนับสนุนหัวหน้าพรรค ภท. เป็นนายกฯ คนที่ 32 ด้วย

สำหรับเสียงที่เพิ่มมามี 25 เสียง ประกอบด้วย

พรรคเพื่อไทย (พท.) 1 เสียง จาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สส.บัญชีรายชื่อ (นอกเหนือ 8 สส. ที่เปิดตัวสนับสนุนนายอนุทินก่อนหน้านี้)

พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) 17 เสียง “สายเลขาฯ ขิง” นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ (นอกเหนือจาก “กลุ่ม 16” ของนายสุชาติ ชมกลิ่น ที่เปิดตัวร่วมจัดตั้งรัฐบาลไปแล้ว)

พรรคชาติพัฒนา (ชพน.) 1 เสียงคือ นายประสาท ตันประเสริฐ สส.นครสวรรค์

พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) 1 เสียงคือ นายร่มธรรม ขำนุรักษ์ สส.พัทลุง (นอกเหนือ 3 สส. ที่เปิดตัวสนับสนุนนายอนุทินก่อนหน้านี้)

พรรคเป็นธรรม (ปธ.) 1 เสียง คือ นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ

ส่วนพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ที่เดิมมีผู้แปรพักตร์ 3 เสียง แต่ปรากฏว่า สส. ได้โหวตหนุนนายอนุทินยกพรรค 6 เสียงเต็ม

เช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่ตาม น.ส.ประภา เฮงไพบูลย์ สส.กาฬสินธุ์ ให้กลับมาโหวตเลือกหัวหน้าพรรคตัวเองได้ เพราะช่วงที่ถูกเรียกขานว่า สส. “งูเห่า” เธอไปทำงานร่วมกับ “ผู้กองธรรมนัส”

อย่างไรก็ตามนายอนุทินได้ใช้สิทธิ “งดออกเสียง” เลือกตัวเอง นอกจากนี้ยังมีสมาชิกคนอื่นร่วมโหวตงดออกเสียง ประกอบด้วย ประธานสภาสังกัดพรรคประชาชาติ (ปช). 1 เสียง, รองประธานสภาสังกัดพรรค พท. 2 เสียง, พรรค ปชป. 20 เสียงซึ่งเป็นไปตามมติพรรค และยังมีพรรค รทสช. อีก 3 เสียงในสาย “หัวหน้าพี” ประกอบด้วย นายนิติศักดิ์ ธรรมเพชร สส.พัทลุง, นายสินธพ แก้วพิจิตร สส.นครปฐม,นายวิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ

ส่วน สส. ที่ร่วมโหวตให้นายชัยเกษม นอกจากเพื่อนร่วมพรรคจากเพื่อไทย 128 เสียง ยังมีเสียงพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ได้แก่ พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) เทคะแนนให้ยกพรรค 10 เสียง, พรรค ปช. 8 เสียง, พรรค ชพน. 2 เสียง, พรรคเพื่อไทรวมพลัง 2 เสียง และยังมีอีก 2 เสียงจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กลุ่มกำแพงเพชรของวราเทพ ที่แหกโผไปโหวตให้แคนดิเดตจากพรรคสีแดงคือ นายอนันต์ ผลอำนวย และปริญญา ฤกษ์หร่าย

ส่วน 2 เสียงที่ไม่ปรากฏการลงคะแนน ซึ่งหมายถึงลาประชุม/ไม่อยู่ในห้องประชุมคือ นางปิยะนุช ยินดีสุข จากพรรค พท. และนายยุทธการ รัตนมาศ จากพรรค ปชป.

ในวันแถลงจัดตั้งรัฐบาล 146 เสียงเมื่อ 3 ก.ย. มีที่มาจาก สส. จาก 8 กลุ่ม/พรรคการเมือง ได้แก่ พรรค ภท. 68 คน (หายไป 1 คนคือ น.ส. ประภา เฮงไพบูลย์), พรรค กธ. 25 คน, พรรค พปชร. 17 คน, พรรค รทสช. 16 คน (กลุ่มของนายสุชาติ ชมกลิ่น), พรรค พท. 8 คน, พรรค ทสท. 3 คน, พรรค ปชป. 3 คน ที่เหลือเป็น สส. พรรคเล็ก และ สส. กลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รวม 6 คน

ก่อนที่จะมีการลงมติดังกล่าว นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรค ภท. และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บุรีรัมย์ เสนอชื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีผู้รับรอง 137 คน ขณะที่นายสรวงศ์ เทียนทอง สส. สระแก้ว พรรค พท. เสนอชื่อ ศ.พิเศษ ชัยเกษม นิติสิริ นายกฯ ในบัญชีของพรรค พท. คนสุดท้าย เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีผู้รับรอง 121 คน

ทั้งนี้ ที่ประชุมสภาได้เปิดให้มีการอภิปรายคุณสมบัติผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ทั้ง 2 คน ซึ่งนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง มีข้อสรุปให้ฝ่ายที่สนับสนุนแคนดิเดตนายกฯ แต่ละคนอภิปรายฝ่ายละ 1 ชั่วโมง

ในระหว่างการอภิปรายคุณสมบัติของแคนดิเดตนายกฯ สส. พรรค พท. ยังคงเน้นย้ำการอภิปรายในประเด็นคุณสมบัติของนายอนุทินที่ยังเป็นข้อกังขา เช่น ข้อกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับปมฮั้วการเลือก สว. และคดีที่ดินเขากระโดง ขณะเดียวกันก็ตั้งคำถามต่อบันทึกข้อตกลงสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย หรือ MOA ระหว่างพรรค ภท. และ ปชน. โดยฝ่ายพรรคเพื่อไทยมองว่า ส่อขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่

เพื่อไทยมุ่งเป้าอภิปราย ปมคุณสมบัติอนุทิน- MOA ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

  • ปมกระแสข่าวใช้เงินจูงใจโหวตนายกฯ

ช่วงหนึ่งของการอภิปราย นายอดิศร เพียงเกษ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรค พท. อ้างว่า เขาได้ยินข่าวลือที่ว่ามีการใช้เงิน 1,500 – 2,000 ล้านบาทในโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จึงขอให้นายอนุทินชี้แจงเรื่องนี้ ทำให้นายสนอง เทพอักษรณรงค์ สส. บุรีรัมย์ พรรค ภท. ลุกขึ้นประท้วงว่าการจะพูดใส่ร้ายป้ายสีขอให้มีหลักฐานมาแสดงด้วย

ก่อนที่นายอดิศรจะกล่าวต่อโดยท้าว่า หากนายอนุทินบริสุทธิ์จริง ต้องกล้าไป “สาบานที่วัดพระแก้ว” ว่าไม่มีการสนับสนุนเงินต่าง ๆ มิเช่นนั้นให้มีอันเป็นไปภายใน 7 วัน 9 วัน

“ผมเข้าใจและดีใจกับคุณอนุทินที่โอกาสมาถึง แต่เมื่อเทียบอัตราปอนด์ต่อปอนด์ ชื่อเสียงนิ้วต่อนิ้ว เซนต์ต่อเซนต์ สู้ศาสตราจารย์ชัยเกษม นิติสิริไม่ได้ครับ ท่านครับ ฝ่ายของพวกผมเป็นศาสตราจารย์กฎหมาย เป็นอัยการสูงสุด เป็นผู้บริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ด่างพร้อยเกี่ยวกับที่ผมได้อภิปรายไป” นายอดิศรกล่าว

“ผมจึงอยากสนับสนุนคุณชัยเกษม ดีกว่าคุณอนุทินพันเท่าล้านเท่าครับ มีสองคนนี้พรรคประชาชนยังเลือกไม่ออกว่าจะเลือกใคร เที่ยวหน้าบ๊ายบายครับ” เขาระบุ

  • ปมคุณสมบัติของ “อนุทิน” คดีฮั้วสว. – คดีที่ดินเขากระโดง

นายสุทิน คลังแสง สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ความชอบธรรมเรื่องกฎหมาย และจริยธรรมของบุคคลที่สมควรจะเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องสำคัญและเป็นสิ่งที่กฎหมายเขียนกำกับไว้ชัด

สำหรับคุณสมบัติของนายอนุทิน นายสุทินมองว่า เขารู้สึกไม่สบายใจในข้อกฎหมาย เนื่องจากหัวหน้าพรรค ภท. ยังมีข้อกังขาในคดีฮั้ว สว. ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา และไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ระหว่างนี้ยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งกรณีคดีที่ดินเขากระโดง อีกข้อคือการร่วมกันทำ MOA ขึ้นมาหมิ่นเหม่ต่อรัฐธรรมนูญและข้อกฎหมายและจริยธรรมหรือไม่

“หากประธานสภาผู้แทนราษฎร ต้องนำชื่อนายอนุทินขึ้นทูลเกล้าฯ หากมีปัญหาในข้อกฎหมายจะต้องเป็นที่ยุติในข้อกฎหมายก่อน” นายสุทินกล่าวย้ำ

ที่มาของภาพ : Thai News Pix

“หากประธานสภาผู้แทนราษฎร ต้องนำชื่อนายอนุทินขึ้นทูลเกล้าฯ หากมีปัญหาในข้อกฎหมายจะต้องเป็นที่ยุติในข้อกฎหมายก่อน” นายสุทินกล่าวย้ำ
  • กังขาข้อตกลงว่าด้วยแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ

นายวิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ได้อยู่ในรายชื่อ 16 สส. ของพรรคที่ประกาศตัวสนับสนุนนายอนุทิน ออกตัวว่าเขายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะโหวตอย่างไร แต่เห็นว่าพรรคอันดับสามคือ ภท. มีความชอบธรรมในการตั้งรัฐบาล เนื่องจากสามารถรวบรวมเสียงได้มากกว่า

อย่างไรก็ตาม เขายังติดใจในประเด็นที่พรรค ภท. ไปทำข้อตกลงกับพรรคที่สนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ซึ่งขัดกับจุดยืนของเขาในการร่วมรัฐบาลตั้งแต่เริ่มแรก ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 ซึ่งหากนายอนุทินยืนยันกับเขาได้ว่าจะไม่แตะ 2 หมวดนี้ เขาก็พร้อมจะตัดสินใจทันที

“ผมขออนุญาตว่าผมยังไม่ตัดสินใจจริง ๆ ครับ ผมคิดว่าพรรคการเมืองอันดับสามชอบธรรมแล้วครับที่จะตั้งรัฐบาล เพราะพรรคที่เป็นอันดับสองไม่สามารถไปตั้งรัฐบาลได้แล้วตามข่าวที่ปรากฏ” นายวิทยาระบุ

“แต่ผมก็ติดใจอยู่นิดเดียวครับว่า ถ้าพรรคอันดับสาม ซึ่งท่านนายกฯ ที่จะเป็นนายกฯ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปหลังจากสภาโหวต ยืนยันกับผมต่อหน้าสภาได้ไหมครับว่า แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่ว่า ต้องไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 ถ้าท่านยืนยันต่อสภาแห่งนี้ ผมตัดสินใจทันทีครับ” เขาเรียกร้อง

ที่มาของภาพ : Thai News Pix

“ถ้าทุกพรรคอยากได้คะแนนนิยมมากขึ้น คุณจะต้องรักษาสัญญา” นายณัฐพงษ์ กล่าว
  • ณัฐพงษ์ ย้ำเลือก อนุทินเพื่อเปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ในขณะที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ปชน. กล่าวอภิปรายในช่วงท้ายว่า การที่พรรค ปชน. จะสนับสนุนนายอนุทินเป็นนายกฯ ไม่ใช่เพราะจะไปสนับสนุนฝ่ายอนุรักษนิยมอย่างที่ สส.บางคนจากพรรค พท. กล่าวหา แต่เพื่อจะปูทางไปสู่แก้ไขรัฐธรรมนูญปี 60 ที่เขามองว่าเป็นต้นเหตุทำให้สภาชุดนี้ต้องมาโหวตเลือกนายกฯ ถึง 4 ครั้ง

“เราไม่ได้เลือกคุณอนุทินมาบริหารประเทศ เราเลือกคุณอนุทิน ชาญวีรกูล มายุบสภาภายใต้กรอบเวลาที่ตกลงกันและเปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ” นายณัฐพงษ์ กล่าวย้ำ

เขายังเน้นย้ำถึงข้อตกลงที่ระบุถึงกรอบเวลาในการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น เป็นข้อเสนอที่พรรค ปชน. คิดมาตั้งแต่ 2 เดือนที่แล้ว โดยเขามองว่า “นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดของประเทศนี้ในการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ซึ่งการที่ สส.ของพรรคจะลงมติเลือกนายอนุทินนั้น เป็นมติของพรรคซึ่งผ่านกระบวนการรับฟังสมาชิกของพรรคอย่างรอบด้านแล้ว ดังนั้น “ไม่มีใครที่จะบิดพลิ้วต่อมติพรรคครั้งนี้ได้”

“ถ้าทุกพรรคอยากได้คะแนนนิยมมากขึ้น คุณจะต้องรักษาสัญญา นี่คือความชัดเจนทั้ง 5 ข้อหลัก ๆ ที่พรรคประชาชนใช้ในการโหวตนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ และผมเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะมีทางออกได้หากพวกเราเปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ” หัวหน้าพรรค ปชน. เน้นย้ำ

ย้อนเส้นทางชีวิตทางการเมือง อนุทิน ชาญวีรกูล

ที่มาของภาพ : พรรคภูมิใจไทย/Fb

ในงานทำบุญวันเกิดครบ 66 ปี “เนวิน ชิดชอบ” เนวิน สั่งหมอช้างผูกข้อมือ “อนุทิน” ให้เป็นนายกฯ (ภาพเมื่อ 4 ต.ค. 2567)

อนุทิน ชาญวีรกูล ก้าวขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 32 ของประเทศไทย 32 ถือเป็นนายกฯ คนที่ 3 ของสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 ภายหลังการเลือกตั้ง 2566

ปัจจุบันอายุเกือบ 59 ปี ใคร ๆ ก็เรียกเขาว่า “เสี่ยหนู” เพราะเป็นทายาทรุ่นสองชิโน-ไทย ยักษ์ใหญ่วงการก่อสร้าง ซึ่งพ่อของเขา นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร สมัยแรก เป็นผู้ก่อตั้ง

อนุทิน ก้าวขึ้นเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการครั้งแรกในรัฐบาล “ทักษิณ” เมื่อปี 2547 ขณะที่เขามีอายุ 37 ปี เท่ากับอายุ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ตอนเข้ามาเป็นนายกฯ

เขาเคยนั่งเก้าอี้รองนายกฯ 2 สมัย และรัฐมนตรีว่าการ 2 กระทรวง ในช่วงปี 2562-2568 ซึ่งนำมาสู่ฉายา “หมอหนู” ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และตามรอยบิดา คุมอาณาจักรสิงห์หลากสีของกระทรวงมหาดไทย ในฐานะ “มท. 1” ในสมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ต่อเนื่องมายังรัฐบาลแพทองธาร

อนุทินอยู่กับพรรคไทยรักไทย (ทรท.) จนวาระสุดท้ายของทักษิณ ซึ่งเขาพ้นอำนาจไปพร้อมกันด้วยรัฐประหาร ปี 2549 เขาถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีหลังจาก ทรท. ถูกยุบ ระหว่างเว้นวรรคทางการเมือง เขาส่งบิดาไปสังกัดพรรคพลังประชาชน (พปช.) ด้วย

ต่อมาหลังจากเนวิน ชิดชอบ ประกาศแยกทางกับทักษิณอันก่อเกิดวลีดัง “มันจบแล้วครับนาย” เนวินพร้อมด้วยอนุทิน หอบหิ้วสมาชิก “กลุ่มเพื่อนเนวิน” ออกมาตั้งพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เปลี่ยนจากขั้ว “สีแดง” มาสวมเสื้อ “สีน้ำเงิน” ในปี 2552 ก่อนที่อนุทินจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ภท. ในปี 2555 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

เส้นทางการเมืองของอนุทินเติบโตขึ้นมาท่ามกลางสายสัมพันธ์อับแนบชิดของสองตระกูลการเมือง “ชาญวีรกูล” และ “ชิดชอบ” บ้านใหญ่บุรีรัมย์

เขาประกาศตัวเป็น “ลูกชาย” อีกคนของปู่ชัย หลายครั้งหลายหน เคยบอก “รักพี่ชายสุดหัวใจ” ต่อเนวิน ซึ่งเคยอวยพรผูกแขนให้อนุทินเมื่อปี 2567 ว่า “ผูกให้ได้เป็นนายกฯ” ในงานเลี้ยงวันเกิดครบรอบ 66 ปีของเนวินที่ จ.บุรีรัมย์

ความผูกพันกับบ้านใหญ่แดนอีสานใต้ยังสะท้อนจากการที่เขามีชื่อในทะเบียนบ้านอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ ฐานที่มั่นของพรรค ภท. ด้วย

คำพูดประจำใจของอนุทิน และ ภท. คือ “พูดแล้วทำ” ในช่วงเลือกตั้ง เขาให้สัมภาษณ์.โดยพูดถึงคุณสมบัติ “ผู้นำที่พึงประสงค์” ซึ่งสอดคล้องกับจุดแข็งของตัวเองรวม 6 ข้อ ได้แก่ มีประสบการณ์ และมีความสามารถในการทำงาน ไม่ต้อง “รำมวย” หรือ “ทดลองงาน”, มีพื้นฐานทางการเมืองค่อนข้างมั่นคง เป็นตัวของตัวเอง, มีความชำนาญในงานของทั้ง 2 สภา, รู้จักประชาชนในพื้นที่, เข้าใจระบบการบริหารงานภาครัฐ/ภาคราชการ ผลักดันนโยบายได้อย่างรวดเร็ว และท้ายสุด คือ มีสายสัมพันธ์อันดีและประสานได้กับทุกขั้ว ทั้งทางราชการ และทางการเมือง

ในด้านผลงานของพรรค ภท. แม้หลายนโยบายจะ “พูดแล้วทำ” จนทำให้ฐานเสียงนิยมชมชอบ แต่อนุทินก็มีคน “คนชัง” พอควร ด้วยสารพัดผลงานที่คนไม่เห็นด้วย ตั้งแต่สมัยเป็น “หมอหนู” รมว. สาธารณสุข ในรัฐบาลประยุทธ์ อย่างนโยบายกัญชาทางการแพทย์ ที่เมื่อปลดล็อกจริง กลับกลายเป็นกัญชาเสรี โดยมีผู้ต่อต้านคนดัง คือ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์

นอกจากนี้ยังมีความล้มเหลวในการจัดการกับโรคระบาดโควิด-19 และการจัดหาวัคซีน, การจัดตั้งเครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมูู่บ้าน หรือ อสม. ที่ถูกวิจารณ์ว่าเป็น “กลไกระบบหัวคะแนน” แบบใหม่

เขายังเป็นคู่ขัดแย้งกับแพทย์ชนบทคนดังอย่าง หมอสุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ซึ่งออกมาวิจารณ์นโยบายกัญชาและการจัดการโควิด ก่อนที่หมอชนบทคนนี้จะถูกผู้ตรวจราชการกระทรวงเซ็นคำสั่งย้าย สมัยที่อนุทินเป็น รมว.สธ. เมื่อปี 2566

ที่มาของภาพ : Anutin Charnvirakul/Fb

นายอนุทิน ชาญวีรกูล กับ “จ๋า” ธนนนท์ นิรามิษ ภริยาคนปัจจุบัน

ด้านชีวิตสมรส อนุทินแต่งงานมาแล้ว 3 ครั้ง เขาเคยสร้างความฮือฮา เมื่อแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ( ป.ป.ช. ) ว่าจ่ายเงินให้อดีตภรรยา 50 ล้านบาทจากข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่า

ส่วน “หวานใจ” ภริยาคนปัจจุบัน คือ “จ๋า” ธนนนท์ นิรามิษ ลูกสาวคหบดี จ.ระนอง เจ้าของกิจการร้านกาแฟชื่อดังของจังหวัด ซึ่งเธอเคยเผยกับประชาชาติธุรกิจว่า ประทับใจอนุทิน เพราะ “เป็นคนอบอุ่น มีอารมณ์ขัน กวนเล็ก ๆ ละเอียด และให้เกียรติคนข้าง ๆ เสมอ” และเผยว่าเขาจีบด้วยการ “เข้าทางแม่”

ในด้านไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ว่าที่นายกฯ คนที่ 32 ชื่นชอบการเล่นดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ มักปรากฏภาพเขาบรรเลงแซ็กโซโฟนในวาระต่าง ๆ หรือเล่นเปียโน นอกจากนี้เขามักมีภาพไปนั่งกินอาหารข้างทางร้านดังอยู่บ่อยครั้ง และยังเป็นนักบินจิตอาสาในโครงการ “หัวใจติดปีก” ปฏิบัติหน้าที่ส่งอวัยวะช่วยชีวิตผู้คนอยู่เนือง ๆ

ในปี 2568 เส้นทางของอนุทิน มาสู่จุดเปลี่ยน เมื่อเกิดความขัดแย้งในการจัดเก้าอี้ ครม. พรรค ภท. ซึ่งมี สส. อยู่ 69 เสียง ได้ชิงถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลในวันที่ 18 มิ.ย. 2568 วันเดียวกับที่สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา ปล่อยคลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์กับ น.ส.แพทองธาร ท่ามกลางสถานการณ์ขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยการชิงถอนตัวออกจากรัฐบาลเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการโปรดเกล้า ครม. “แพทองธาร 1/1” เมื่อ 1 ก.ค. 2568

ที่มาของภาพ : Anutin Charnvirakul/Fb

นายอนุทิน โพสต์ภาพเดินคู่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เมื่อ 6 มิ.ย. พร้อมติดแฮชแท็ก พร้อมเคียงไหล่ท่านนายก และ อุ๊งอิ๊งสู้สู้ ก่อนที่ไม่ถึงสองสัปดาห์ต่อมาพรรค ภท. จะถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล

ความเคลื่อนไหวก่อนการโหวตเลือกนายกฯ

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เดินทางมาที่อาคารรัฐสภา เวลา 09.12 น.

ก่อนวันที่รัฐสภาโหวตนายกฯ ไม่กี่ชั่วโมง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางออกนอกประเทศไทยและเปิดเผยในช่วงรุ่งสางของวันนี้ ว่าเขาได้เปลี่ยนเส้นทางไปพบแพทย์ที่ดูไบ หลังจากการกักตัวของ ตม. ทำให้เดินทางไปยังสิงคโปร์ไม่ทัน พร้อมยืนยันว่าจะกลับมาไทยในวันที่ 8 ก.ย. หรือก่อนศาลนัดฟังคำตัดสิน “คดีชั้น 14” หนึ่งวัน

นี่คือความเคลื่อนไหวของนายทักษิณที่เดินทางออกนอกประเทศไทยในรอบกว่า 2 ปี หลังจากกลับสู่ประเทศไทยเมื่อ 22 ส.ค. 2566 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบให้นายเศรษฐา ทวีสิน ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30

การเดินทางออกนอกประเทศของนายทักษิณ เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งให้นายทักษิณ ชินวัตร มาฟังคำสั่ง “คดีชั้น 14” ในวันที่ 9 ก.ย. เพียงห้าวัน

นอกจากนี้ยังเป็นการออกนอกประเทศหลังจากเขาพ้นข้อกล่าวหาดูหมิ่นสถาบันฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้เมื่อปี 2558 ที่ศาลอาญายกฟ้องไปเมื่อ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เขาไม่ติดเงื่อนไขคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ที่ศาลกำหนดไว้ในช่วงการพิจารณาคดี

ส่วนความเคลื่อนไหวก่อนการโหวตลงมติให้ความเห็นชอบนายกฯ วานนี้ (4 ก.ย.) พรรค พท. ทิ้งไพ่ใบสุดท้าย คือให้คำมั่นว่าจะ “ยุบสภาฯ ทันที” หลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา หากเลือกนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกฯ เพื่อหวังเสียงสนับสนุนจากพรรคประชาชน (ปชน.) ขณะที่ ปชน. ไม่ได้ตอบรับข้อเสนอนี้ เนื่องจากได้ทำข้อตกลงร่วมกับพรรค ภท. ไปแล้ว

และก่อนที่การประชุมสภาจะเริ่มต้นขึ้น พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ซึ่งเหลือ สส. 22 คนที่ไม่ได้เปิดตัวสนับสนุนนายอนุทิน เป็นนายกฯ มีมติพรรคให้ “งดออกเสียง”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และ สส. บุรีรัมย์ เป็นผู้เสนอชื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีผู้รับรอง 137 คน

สภาผู้แทนราษฎรชุดที่มาจากการเลือกตั้งในปี 2566 ผ่านพ้นนายกฯ 2 คน จากพรรค พท. คือนายเศรษฐา ทวีสิน และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แต่ตำแหน่งนายกฯ คนที่ 3 ของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จะเปลี่ยนมือไปอยู่ที่พรรคอื่นหรือไม่

ขณะที่ในวันนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่าจะเข้าให้ถ้อยคำต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณีที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ คดีนี้ รฟท. เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินกว่า 5,000 ไร่ ที่ออกทับที่ดิน รฟท. ซึ่งมีกลุ่มบุคคลและนิติบุคคลถูกกล่าวหา รวมทั้งตระกูล “ชิดชอบ” บ้านใหญ่ทางการเมืองของพรรค ภท.

“ภูมิใจไทย-เพื่อไทย” โต้เดือดปมเลื่อนวาระโหวตนายกฯ

ในช่วงต้นของประชุมในวันนี้ เวลาประมาณ 9.40 น. น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส. อุบลราชธานี พรรค ภท. เสนอญัตติเปลี่ยนระเบียบวาระให้นำเรื่องพิจารณาการโหวตเลือกนายกฯ ตามระเบียบวาระด่วนที่ 8 มาพิจารณาก่อน ทำให้นายวัชระพล ขาวขำ สส. อุดรธานี พรรค พท. ทักท้วง และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส. เชียงใหม่ พรรค พท. ขอให้มีการอภิปรายก่อนลงมติว่าจะเลื่อนระเบียบวาระหรือคงตามระเบียบวาระเดิม

จากนั้น สส. หลายคนที่โต้แย้งกันประเด็นนี้ ก่อนที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะให้เวลาสมาชิกที่ประสงค์อภิปรายคนละ 5 นาที โดยมี สส. แสดงความประสงค์จะอภิปรายรวม 11 คน

พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ (ปช.) อภิปรายพาดพิงถึงบันทึกข้อตกลงสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาล หรือ MOA ระหว่างพรรค ภท. และ ปชน. ซึ่งตกลงตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยและยุบสภาหลังแถลงนโยบายนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

ในขณะที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ปชน. ลุกขึ้นโต้แย้งในเวลาต่อมา โดยระบุว่า สส. หลายท่านที่ออกมาบอกว่าข้อตกลงดังกล่าวขัดกับรัฐธรรมนูญนั้น หากเชื่อว่า MOA เป็นการ “เซาะกร่อนบ่อนทำลายจริง” เหตุใดก่อนหน้านี้จึง “เสนอรับดีลทุกข้อ” และเสนอ “ยุบสภา” แบบ “ลดแลกแจกแถม”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.)

ช่วงหนึ่งของการอภิปราย นายณัฐพงษ์ กล่าวว่าหากจะมีการเลื่อนวาระการโหวตเลือกนายกฯ มาพิจารณาก่อน ก็ขอให้ สส. อยู่เป็นองค์ประชุมและพิจารณากฎหมายฉบับต่าง ๆ ต่อให้ครบตามระเบียบวาระ

หลังจากนั้นก่อนการลงมติ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. ได้ลุกขึ้นพูดในสภา ยืนยันว่าตนและพรรค ภท. จะ “อยู่เป็นองค์ประชุมและทำให้การประชุมทุกวาระในวันนี้และในอนาคตดำเนินไปด้วยความราบรื่น”

หลังจากอภิปรายเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมง ในเวลา 11.35 น. ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้เลื่อนวาระการโหวตเลือกนายกฯ มาพิจารณาเป็นวาระที่ 2 จากเดิมวาระที่ 8 ด้วยคะแนนเสียง 313 ต่อ 142 โดยมีผู้งดออกเสียง 4 คน และไม่ลงคะแนนเสียง 5 คน

ทักษิณเคลื่อนไหวบินออกนอกประเทศ

ค่ำวานนี้ (4 ก.ย.) ปรากฏความเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร ถูกกักตัวอยู่ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของอาคารผู้โดยสารอากาศยานส่วนบุคคล (M-jets) ดอนเมือง ก่อนที่ในเวลาต่อมาเครื่องบินส่วนตัวของเขาจะออกเดินทางจากไทย เมื่อเวลาประมาณ 19.17 น. ตามการรายงานของสำนักข่าว The Journalists โดยมีรายงานว่าปลายทางคือประเทศสิงคโปร์

ทว่าข้อมูลจากเว็บติดตามการบินที่ชื่อว่า ไฟลท์เรดาร์ 24 ระบุว่าเครื่องบิน Bombardier World 7500 เที่ยวบินที่ T7GTS ของนายทักษิณ ได้เปลี่ยนเส้นทางจากเดิมที่มุ่งหน้าไปยังสิงคโปร์ ก่อนพบการบินวนเหนือพื้นที่มหาสมุทรอินเดีย และในเวลาต่อมาตรวจสอบพบว่าเส้นทางการบินมุ่งหน้าไปยังภูมิภาคตะวันออกกลาง

ล่าสุด นายทักษิณ ได้โพสต์ผ่านบัญชี “เอ็กซ์” @Thaksin ของเขา เมื่อเวลา 02.07 น. ของวันนี้ (5 ก.ย.) ว่า ตั้งใจเดินทางไปสิงคโปร์เพื่อไปตรวจสุขภาพ แต่ ตม. ที่ไทย ถ่วงเวลาเขาไว้เกือบ 2 ชั่วโมง ทั้งที่ตนชนะคดีที่ถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งมีเงื่อนไขของศาลห้ามออกเดินทางไปต่างประเทศมาแล้ว ทำให้เครื่องบินเดินทางไปลงจอดยังท่าอากาศยานสำหรับเครื่องบินส่วนตัวไม่ทันเวลา 22.00 น. จึงตัดสินใจเปลี่ยนแผนไปยังนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพราะที่ดูไบมีหมอกระดูก และหมอปอดที่รักษาประจำมานาน และยังมีโอกาสได้เยี่ยมเพื่อนที่ดูไบ ซึ่งไม่ได้เจอกันมากว่า 2 ปี

นายทักษิณ กล่าวด้วยว่าตั้งใจเดินทางกลับมาประเทศไทยไม่เกินวันที่ 8 ก.ย. หรือก่อนศาลนัดฟังคำตัดสิน “คดีชั้น 14” หนึ่งวัน

“ผมตั้งใจจะกลับไปไทยไม่เกินวันที่ 8 เพื่อเดินทางไปศาลด้วยตัวเอง วันที่ 9 กันยายนนี้ ครับ” นายทักษิณ โพสต์ผ่านบัญชี “เอ็กซ์”

ที่มาของภาพ : X/@Thaksin

ทักษิณ ชินวัตร โพสต์ผ่านบัญชี “เอ็กซ์” @Thaksin ว่าตั้งใจเดินทางไปสิงคโปร์เพื่อไปตรวจสุขภาพ แต่ ตม. ที่ไทย ถ่วงเวลาเขาไว้เกือบ 2 ชั่วโมง จึงต้องเปลี่ยนเส้นทางไปดูไบ

เพื่อไทย ประกาศหนุน ชัยเกษม ชิงนายกฯ ไม่ถึง 24 ชม. ก่อนวันสภานัดโหวต

ที่มาของภาพ : Arnun Chonmahatrakool /TNP

นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เดินทางเข้าที่ทำการพรรคเพื่อไทยในวันที่ 2 ก.ย.

นายชัยเกษม นิติสิริ เคยปรากฏชื่อเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 เมื่อเดือน ส.ค. ปีที่แล้ว หลังจากนายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกฯ ด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จากข้อกล่าวหา “ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” จากการแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

ในเวลานั้น “ผู้มีบารมีเหนือเพื่อไทย” เคาะชื่อ ชัยเกษม ขึ้นเป็นว่าที่ผู้นำคนใหม่ของประเทศ และได้แจ้งความเห็นต่อหัวหน้าพรรคและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลในระหว่างพบปะกันที่บ้านจันทร์ส่องหล้าของ ทักษิณ ผู้เป็นบิดาของหัวหน้าพรรค พท. เมื่อช่วงเย็นวันที่ 14 ส.ค. 2567

ทว่าได้เกิดเหตุพลิกผันในวันถัดมา เมื่อนักการเมืองค่ายเพื่อไทยส่งเสียงสนับสนุนให้ “หัวหน้าอิ๊ง” ซึ่งประกาศตัวเป็น “ดีเอ็นเอทักษิณ” ขึ้นเป็นนายกฯ หญิงคนใหม่ ในระหว่างการประชุม สส. เพื่อไทย เพื่อขอมติส่งชื่อ ชัยเกษม เป็นประมุขฝ่ายบริหาร ผู้บริหารพรรคเตรียมช่วยกันชี้แจงว่าทำไมถึงต้องเป็นชัยเกษม แทนที่จะเป็น แพทองธาร กระทั่งในช่วงเย็นวันเดียวกัน มติคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรค พท. จึงเคาะให้เสนอชื่อ แพทองธาร เป็นนายกฯ คนใหม่

กระทั่งในครั้งนี้ ความแน่นอนในการเสนอชื่อนายชัยเกษม นิติสิริ ก็เพิ่งปรากฏความชัดเจนก่อนวันที่สภานัดลงมติเลือกนายกฯ ไม่ถึง 24 ชม. ซึ่งก่อนหน้านี้ เขาเปิดเผยกับสื่อเมื่อ 1 ก.ย. หรือหลัง น.ส.แพทองธาร ถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งพ้นนายกฯ 2 วันว่า ไม่ได้รับการติดต่อหรือประสานพูดคุยกับแกนนำพรรค พท. แต่อย่างใด

ที่มาของภาพ : Arnun Chonmahatrakool /TNP

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ลงนามในเอกสารข้อตกลงร่วม (Duration of time of Agreement – TOA) ยอมรับเงื่อนไขในการโหวตเลือกนายกฯ ของพรรคประชาชน (เมื่อ 3 ก.ย.)

ขั้นตอนโหวตเลือกนายกฯ

การพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ถูกบรรจุไว้ในวาระเรื่องด่วน เรื่องที่ 8 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นพิเศษ ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเริ่มขึ้นเวลา 09.00 น. วันนี้

สำหรับรายชื่อบุคคลที่จะเสนอชิงเก้าอี้นายกฯ ได้ ต้องมีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้กับ กกต. ตั้งแต่ช่วงเลือกตั้ง และเป็นพรรคที่มี สส.​ ไม่น้อยกว่า 5% ของสภา หรือมี สส. 25 คน

แม้แคนดิเดตนายกฯ คนที่ 32 ยังเหลืออยู่ 5 คน ได้แก่ นายชัยเกษม นิติสิริ พรรคเพื่อไทย, นายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย, พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค พรรครวมไทยสร้างชาติ, และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ พรรคประชาธิปัตย์ แต่ชัดเจนแล้วว่าเป็นการชิงกันระหว่างแคนดิเดตพรรคสีน้ำเงินกับสีแดง

ในการเสนอชื่อต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสภา

ส่วนในการลงมติ ต้องลงคะแนนโดยเปิดเผย และมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวน สส. ทั้งหมดที่มีอยู่ หรือไม่น้อยกว่า 247 เสียง

ท่าทีแต่ละฝ่ายก่อนวันโหวตเลือก

ที่มาของภาพ : Arnun Chonmahatrakool /TNP

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แถลงมติที่ประชุมให้ความเห็นชอบเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แก่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ภายใต้ข้อตกลงตามเงื่อนไข (เมื่อ 3 ก.ย.)

พรรค ปชน. แสดงจุดยืนชัดเจนมาตั้งแต่วันที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่า ต้องการให้นายกรัฐมนตรีคนที่จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่แทน ยุบสภาใน 4 เดือน และจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่โดยให้มีการออกเสียงประชามติ และมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง

พรรค ภท. กระโดดรับข้อเสนอนี้อย่างรวดเร็ว โดยเดินทางไปพบนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ปชน. ในวันที่ 29 ส.ค. ทันที่ ขณะที่พรรค พท. ออกตัวช้ากว่า 2 วัน

การช่วงชิงจังหวะทางการเมืองหนักขึ้นในวันที่ 3 ก.ย. เมื่อมีกระแสข่าวพรรค พท. ได้ยื่นทูลเกล้าฯ ร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ยุบสภาผู้แทนราษฎร ไปตั้งแต่วันก่อนหน้า ขณะที่หัวหน้าพรรค ปชน. ก็ประกาศว่า สส. ในพรรคจะสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีเงื่อนไขที่เพิ่มขึ้นมาคือ พรรค ภท. ต้องไม่ดำเนินการโดยวิธีการใด ๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก ซึ่งนายอนุทินตกลงตามข้อเสนอ

4 ก.ย. นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ปชน. แถลงข่าวขอให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ออกมาแสดงความชัดเจนถึงกระบวนการยื่นยุบสภาตามที่มีกระแสข่าว ก่อนที่นายภูมิธรรมจะเผยแพร่แถลงการณ์ผ่านทางเฟซบุ๊กของตัวเอง ระบุว่า ได้รับแจ้งจากสำนักงานองคมนตรี ว่ายังมีประเด็นข้อกฎหมายที่มีการโต้แย้งและยังไม่เป็นข้อยุติ โดยเฉพาะประเด็นอำนาจของรองนายกรัฐมนตรีผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีในการถวายคำแนะนำ จึงยังไม่เห็นสมควรนำร่าง พ.ร.ฎ. ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในเวลานี้

ต่อมาพรรค พท. หงายไพ่ในโค้งสุดท้ายก่อนการโหวตเลือกนายกฯ ประกาศจะยุบสภาทันทีหลังแถลงนโยบาย หากเลือกนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเร็วกว่าข้อเสนอยุบสภาภายใน 4 เดือน ที่พรรค ปชน. ตกลงกับพรรค ภท. ไว้แล้ว

“กระผม นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ขอยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยตอบรับข้อเสนอทุกข้อของพรรคประชาชน และหากกระผมได้รับการลงคะแนนให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะยุบสภาทันทีโดยไม่ต้องรอเวลาถึง 4 เดือน เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนเข้าสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยต่อไป” นายชัยเกษม ระบุในคลิปวิดีโอที่ถูกโพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊กของพรรคเพื่อไทย

“นี่คือสัญญาที่ทำไว้ต่อพี่น้องประชาชนและท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคน ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล จะปฏิบัติตามข้อตกลงนี้โดยไม่มีข้อเปลี่ยนแปลง ไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมใด ๆ” เขากล่าวขณะที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ, นายชูศักดิ์ ศิรินิล และ นางสาวจิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกฯ, และ พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ผู้เป็นหัวหน้าพรรคประชาชาติ นั่งขนาบข้าง

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอนี้ไม่ได้รับการตอบรับจากพรรค ปชน. โดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ แถลงข่าวในช่วงเย็นวันพฤหัสบดี (4 ก.ย.) ว่าการตัดสินใจของพรรคสิ้นสุดตั้งแต่ที่คณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) แถลงข่าวและลงนามในข้อตกลงร่วมกับพรรค ภท. ไปแล้ว

“ถ้ามีการเสนอมาก่อนหน้านี้ แล้วก็มีการยื่นข้อเสนอพูดคุยอย่างเป็นทางการมาก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะผ่านกระบวนการการรับฟังความคิดเห็นของพรรคมาทั้งหมดจนกว่าที่พรรคจะมีมติอย่างเป็นทางการ ผมเชื่อว่าตัวผมเองและเพื่อน ๆ ในพรรคจะรับ ข้อเสนอของพรรคเพื่อไทย ไว้พิจารณาไว้เป็นปัจจัยหนึ่งในการชั่งน้ำหนัก” หัวหน้าพรรค ปชน. กล่าว

“แต่เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากระบวนการที่ผ่านมาตลอดจนถึงวันนี้ ก็ยังมีการให้ข่าวกลับไปกลับมาจากพรรคเพื่อไทยเอง และพวกเราเองก็พอที่จะประเมินได้ว่าจริง ๆ ไม่ได้มีความจริงจังหรือว่าจริงใจที่จะบรรลุข้อตกลงกับพวกเราตั้งแต่ต้น เพียงแต่ว่าเป็นการพยายามปล่อยข่าวเพื่อช่วงชิงจังหวะความได้เปรียบทางการเมืองมากกว่า” เขาระบุ

“จนถึงวินาทีนี้ที่ภายหลังพรรค ปชน. ได้บรรลุข้อตกลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และยังมีการปล่อยข่าวในลักษณะนี้อยู่ มันยิ่งแสดงให้เห็นว่าจริง ๆ เราเองไม่สามารถที่จะเชื่อคำพูดที่กลับไปกลับมาแบบนี้ได้” นายณัฐพงษ์ระบุในการให้สัมภาษณ์เมื่อ 4 ก.ย.

เงื่อนไข 5 ข้อ สส.ปชน. โหวตเลือก “อนุทิน”

สำหรับเงื่อนไขทั้ง 5 ข้อที่พรรคประชาชนตกลงร่วมกับพรรคภูมิใจไทยในการโหวตเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯ ประกอบด้วย

1. นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไป

2. ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ตามมาตรา 256 นั้น คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็ว ทั้งนี้ต้องไม่เกินกว่าวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไป

3. ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ตามมาตรา 256 นั้น ครม. ชุดใหม่ พรรค ปชน. และพรรค ภท. จะเร่งผลักดันร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดให้มีกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง ให้แล้วเสร็จในวาระของสภาชุดนี้โดยเร็ว

4. เพื่อสร้างหลักประกันว่านายกฯ คนใหม่จะยุบสภาภายใน 4 เดือนจริง พรรค ภท. ต้องไม่ดำเนินการโดยวิธีการใด ๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก

5. พรรค ปชน. ยืนยันเป็นฝ่ายค้านต่อไป โดยจะทำหน้าที่ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดใหม่อย่างเต็มที่ และจะไม่มีบุคคลใดจากพรรคประชาชนไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี