แชร์ลิ้งค์นี้ : https://ด่วน.com/u90b | ดู : 10 ครั้ง จากทั้งหมด 307 ครั้ง ในรอบ 30 วัน
ท่ามกลางกระแสข่าวว่านายกฯ-อนุทินจะชิงยุบสภาในช่วงกลางเดือน-ธ

ท่ามกลางกระแสข่าวว่านายกฯ อนุทินจะชิงยุบสภาในช่วงกลางเดือน ธ.ค. ที่จะถึงนี้ ไม่มีพรรคการเมืองไหนที่จะทรงพลังและพร้อมเลือกตั้งได้เท่าพรรคภูมิใจไทยอีกแล้ว จากที่ไม่เคยมีกระแส กลายเป็นพรรค ‘เนื้อหอม’ ที่ดึงดูด ‘บ้านใหญ่’ ในหลายภูมิภาคให้เข้ามาเป็นต้นทุนทางการเมือง เสริมทัพในระดับพื้นที่ให้แน่นกว่าเดิม ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายหลัง อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคฯ ขึ้นสู่ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีคนที่ 32

สิ่งที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือ การเติบโตขึ้นของพรรค ภท. โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานและภาคใต้ ว่าปัจจัยใดบ้างที่ทำให้พรรคสีน้ำเงินเติบโตขึ้นมาได้ถึงจุดนี้ และในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคนี้จะโตอีกแค่ไหน ประชาไทหาคำอธิบายเรื่องนี้ด้วยการพูดคุยกับนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ 3 คน แบ่งเป็นมุมมองจากภาคอีสาน (จ.อุบลราชธานี และ จ.ศรีสะเกษ) และภาคใต้

อุบลราชธานี

“ภูมิใจไทยเป็นพรรคที่เติบโตภายใต้ความอ่อนแอของคู่แข่ง พรรคเพื่อไทยไม่ให้การสนับสนุนผู้สมัครอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน แตกต่างจากภูมิใจไทยที่ให้การสนับสนุนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย”

ดร.ประเทือง ม่วงอ่อน อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ผู้ทำวิจัยเรื่องการเลือกตั้งในอุบลฯ เก็บสะสมข้อมูลมากว่า 10 ปี ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ เล่าให้ฟังว่าเดิมทีในการเลือกตั้งปี 62 พรรคภูมิใจไทยไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งใน จังหวัดอุบล เพราะสู้กระแสพรรคเพื่อไทยไม่ได้ ความพ่ายแพ้ในปี 62 ทำให้เกิดการถอดบทเรียน

อาจารย์ประเทืองเล่าเรื่องนี้โดยอ้างอิงถึงงานวิจัยในปี 2562 ที่เขาเคยสัมภาษณ์ จิตรวรรณ หวังศุภกิจโกศล หรือ ‘มาดามกบ’ สมัยที่มีบทบาทสูงในการคัดคนลงสมัครในนามพรรคภูมิใจไทย แต่วันนั้นกลับพ่ายแพ้อย่างหมดรูปในอุบลฯ  ต่อมาเธอได้ไปสร้างฐานของตัวเองโดยการตั้งพรรคไทรวมพลัง ไม่ได้รับบทบาทเป็นแกนนำภูมิใจไทยแล้ว

ในการเลือกตั้งปี 66 พรรคภูมิใจไทยได้ปรับเปลี่ยนมาใช้ตัวบุคคลที่โดดเด่นมาเป็นจุดขาย

ผลเลือกตั้งปี 66 จังหวัดอุบลมีเขตเลือกตั้งทั้งหมด 11 เขต เพื่อไทยได้ 4, ภูมิใจไทย 3 (นอกนั้นเป็นพรรคเพื่อไทรวมพลัง 2, ไทยสร้างไทย 1, ประชาธิปัตย์ 1)

ถ้าวัดกันในแง่กระแสพรรค เพื่อไทยยังมาเหนืออยู่มาก เห็นจากคะแนน สส.ปาร์ตี้ลิสต์เพื่อไทยนำมาเป็นที่หนึ่งทุกเขต ยกเว้นเขต 1 ที่พรรคก้าวไกลได้ไป

“พรรคภูมิใจไทยเอง พอรู้ว่ากระแสพรรคไม่สามารถจะสู้กระแสพรรคเพื่อไทยได้ ก็เลยพยายามที่จะใช้กระแสบุคคลมาเป็นตัวชูโรง ได้พยายามที่จะไปคัดเลือก หรือว่าไปคัดสรรตัวบุคคล หรือผู้สมัครที่อาจจะมีคุณสมบัติที่โดดเด่นหน่อยมาลงสมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งมีการลงพื้นที่มาอย่างต่อเนื่องมากกว่าคู่แข่ง ทำให้พรรคภูมิใจไทยมีโอกาสชนะการเลือกตั้งในปี 66”

ดร.ประเทืองสรุป 3 ปัจจัยที่นำมาซึ่งการเติบโตของพรรคสีน้ำเงิน

  1. เลือกใช้ยุทธศาสตร์ช่วงชิงตัวผู้สมัครจากพรรคอื่นที่ทำพื้นที่มานาน/มีแนวโน้มว่าจะชนะ

“ยุทธศาสตร์สำคัญอันดับหนึ่งของเขาคือเขาเลือกเจาะครับ เขาเลือกเจาะเอาเลย”

“เขาจะพยายามไปเจาะผู้สมัครที่เป็นบุคคลสำคัญ คนที่มีโอกาสชนะการเลือกตั้งแบบชัวร์ๆ เพราะว่าคนเหล่านี้เราจะเห็นว่าเขามีการลงพื้นที่มาอย่างยาวนาน มีฐานคะแนนที่แน่นอนชัดเจน ชนะการเลือกตั้งมาอย่างชัวร์ๆ”

อ.ประเทืองอธิบายว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ความเสี่ยงน้อยและประหยัดทรัพยากร เลือกใช้ทรัพยากรแบบเจาะจง มียุทธศาสตร์ เหมือน ‘กินหมากฮอส 2 ตัว’ ทำให้ในการเลือกตั้งปี 66 พรรคสีน้ำเงินชนะไปถึง 3 เขต (จากผลเลือกตั้งเดิมปี 62 ที่ ภท.ไม่ได้เลยสักที่นั่ง)

โดยผู้ชนะของ 3 เขตดังกล่าวในปี 66 ได้แก่

  • แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.เขต 8 อ.พิบูลมังสาหาร (ย้ายเข้าพรรค ภท.ในปี 2565 จากเดิมที่สังกัดพรรคประชาธิปัตย์)
  • บิว ตวงทิพย์ จินตะเวช (เดิมพรรคพลังประชารัฐ) สส.เขต 11 อ.เดชอุดม
  • สุทธิชัย จรูญเนตร  (เดิมพรรคพลังประชารัฐ) สส.เขต 5 อ.ตระการพืชผล นักการเมืองแถวหน้าในภาคอีสานที่ทำงานลงพื้นที่มาอย่างยาวนาน

“รอบที่แล้วคนท้องถิ่นมองว่ายาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ เขาก็มีความเชื่อว่าเลือกเพื่อไทย ให้มาปราบ (ยาเสพติด)” แต่เหตุผลที่ ภท.ได้ไปถึง 3 ที่นั่ง เพราะ “ประชาชนไม่ซื้อพรรคภูมิใจไทย แต่ซื้อตัวบุคคล”

“การลงพื้นที่ยังมีความสำคัญกับประชาชนในเขตพื้นที่ภาคอีสานอยู่ โดยเฉพาะเขตชนบท ประชาชนคาดหวังว่า สส.ต้องมาลงพื้นที่นะครับ ให้ประชาชนเห็นหน้าบ้าง ไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานศw งานพิธีกรรมต่างๆ ในชุมชน ไม่ใช่ว่ามาลงให้คนเห็นหน้าอย่างเดียว แต่ว่าเป็นการลงเพื่อสร้างความหวังให้กับประชาชนว่าเวลาประชาชนมีเรื่องเดือดร้อนอะไรก็สามารถที่จะสื่อสารกับเขาได้โดยง่าย ได้โดยตรง สามารถร้องเรียน แจ้งปัญหาความเดือดร้อนให้กับเขาได้…วัฒนธรรมหรือพฤติกรรมของประชาชนในเขตชนบทยังต้องการอะไรแบบนี้อยู่”

2. ขยายฐานเสียงในการเลือกตั้งท้องถิ่น โดยเลือกเจาะเขตที่พรรคมี สส.อยู่แล้ว

ในช่วงเดือน ธ.ค. 2567 มีการเลือกตั้งนายก องค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลฯ ซึ่งถูกมองว่าเป็นสงครามตัวแทนเพื่อไทย vs ภูมิใจไทย จากที่มีตัวเต็งอยู่ 2 คน

  • กานต์ กัลป์ตินันท์ ที่พรรคเพื่อไทยส่งลงในนาม ‘สมาชิกพรรค’ เบอร์ 1
  • จิตรวรรณ หรือ ‘มาดามกบ’ ลงสมัครในนาม ‘อิสระ’ เบอร์ 3 เธอเป็นน้องสะใภ้ของกำนันป้อ-วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล ซึ่งสื่อชอบเรียก ‘เสี่ยแป้งมัน’ เพราะทำธุรกิจใหญ่รับซื้อมันสำปะหลังจากชาวบ้านหลายจังหวัด และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกำเนิดพรรคไทรวมพลัง

ผลผู้ชนะในสนาม องค์การบริหารส่วนจังหวัดคือ ‘กัลป์ตินันท์’ ที่ยังรักษาพื้นที่ไว้ได้ ชนิดหักปากกาเซียนหลายแท่ง

อาจารย์ประเทืองเคยให้สัมภาษณ์ประชาไทในช่วงนั้น เขาวิเคราะห์ให้ฟังว่า ‘หวังศุภกิจโกศล’ นั้น ออกจากพรรคภูมิใจไทยแล้วก็จริง แต่ในการเลือกตั้ง องค์การบริหารส่วนจังหวัด ข้อมูลในพื้นที่พบว่า เบอร์ 3 ยังคงใช้เครื่องมือของพรรคภูมิใจไทย มี สส.ของพรรคสนับสนุนหลายเขต เช่น เขตเดชอุดม เอารถ สส.ตวงทิพย์ จินตะเวช มาหาเสียง มีการขึ้นปราศรัย เขตวารินฯ ก็เอา สุพล ฟองงาม ขึ้นเวทีปราศัย เขตศรีเมืองใหม่ โขงเจียม ก็เอา ตี๋เล็ก-เชิดศักดิ์ โภคกุลกานนท์ ขึ้นเวที รวมทั้งการใช้หัวคะแนนก็พบว่า ใช้หัวคะแนนเดียวกับพรรคภูมิใจไทย

3. ให้การสนับสนุนผู้สมัครอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่า โดยคำว่า ‘สนับสนุน’ มีหลายรูปแบบ ตั้งแต่เรื่องทรัพยากร, การลงพื้นที่, ช่วยปราศรัย และการใช้เครือข่ายของพรรค

“ผมสามารถคาดเดาได้เลยว่าในการเลือกตั้งสมัยหน้าพรรคภูมิใจไทยจะมีโอกาสได้รับจำนวน สส.ในเขตพื้นที่ภาคอีสานตอนใต้เนี่ยนะครับ ชนะพรรคเพื่อไทยนะครับ มีโอกาสสูงมาก อันนี้คือประเมินจากจังหวัดอุบลเป็นหลัก ซึ่งเจนสามารถเอากรณีของจังหวัดอุบลไปเทียบเคียงกับจังหวัดอื่นได้ โดยในการเลือกตั้งปี 69 คาดว่า สส.ของอุบลมีทั้งหมด 11 คน คาดว่าจะเป็นของพรรคภูมิใจไทยเกินครึ่งหนึ่ง ผมใช้คำว่าเกินครึ่งหนึ่งครับ จะประมาณสัก 5-6 คน”

อย่างไรก็ตาม สำหรับคะแนน สส.บัญชีรายชื่อ เขาประเมินว่าพรรคแดงกับส้มน่าจะยังกุมฐานเดิมไว้ได้ พรรคน้ำเงินก็น่าจะได้เพิ่มมาบ้าง แต่คงไม่ถึงกับเป็นกอบเป็นกำ

ขณะที่ความเคลื่อนไหวในหน้าสื่อ หลายฝ่ายจับตาการไหลออกของ สส.อีสานของพรรคเพื่อไทยล่าสุดเมื่อ 23 พ.ย. พรรคภูมิใจไทยมีการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรค มีการปรากฏตัวของ 2 สส. ได้แก่ สุดารัตน์ พิทักษ์พรพัลลภ หรือ กานต์ สส.อุบลราชธานี เขต 7 และ สรัสนันท์ อรรณนพพร หรือ ข้าวฟ่าง สส.ขอนแก่น โดยอนุทินได้ให้ทั้งสองคนมาเปิดตัวต่อหน้าสื่อมวลชนพร้อมระบุว่า “โอเคนะ ให้ภาพเล่าเรื่อง”

กรณีของ สส.กานต์ จากอุบล ก่อนหน้านั้นเมื่อ 11 พ.ย. เธอได้ออกจากกลุ่มไลน์ สส.เพื่อไทย จึงมีข่าวลือว่าเธออาจย้ายพรรคตาม ‘ชูวิทย์ กุ่ย’ ผู้เป็นพ่อ อดีต สส.อุบลฯ 10 สมัย พรรคเพื่อไทย ที่ก่อนหน้านั้นได้ประกาศลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย และต่อมาเปิดตัวรับตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ธรรมนัส พรหมเผ่า โดยเขาให้เหตุผลว่าต้องการทำงานด้านปศุสัตว์เพราะเป็นงานที่เขาชอบ และอยากช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร

ต่อมาเมื่อ 16 พ.ย.มีภาพที่ระบุว่า สส.กานต์ไปร่วมโต๊ะพูดคุยกับครูใหญ่พรรค ภท. แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ได้ออกมาให้ความชัดเจน ทำให้ต่อมา จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยกล่าวยอมรับกับสื่อมวลชนว่าพรรคติดต่อเจ้าตัวไม่ได้ อย่างไรก็ตามพรรคต้องเดินหน้าเตรียมหาผู้สมัครคนใหม่แทน

ส่วนกรณี สส.ข้าวฟ่าง สรัสนันท์ จากขอนแก่น ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายจับตาว่าเธอจะอยู่หรือไป เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (19 พ.ย.) สส.พรรคภูมิใจไทยโพสต์ภาพ 4 สส.รุ่นใหม่จากหลายพรรค โดยมี สส.สรัสนันท์อยู่ในภาพนั้นด้วย โพสต์ดังกล่าวมีคำบรรยายภาพเป็นรูปหัวสีน้ำเงิน และก่อนหน้านี้เมื่อ 7 ต.ค. พรรค ภท.เปิดตัวสมาชิกตระกูลอรรณพพรเข้าร่วมสู้ศึกเลือกตั้ง

จังหวัดอื่นๆ ในอีสาน มีรายงานข่าวเกี่ยวกับ สส.ที่คาดว่าจะย้ายเข้าภูมิใจไทย ดังนี้

  • กลุ่มบ้านใหญ่โคราช – วิรัช รัตนเศรษฐ / โกศล ปัทมะ ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในการเจาะพื้นที่นครราชสีมาเมืองยุทธศาสตร์ของอีสาน (จำนวนที่นั่งยังไม่นิ่ง)

ศรีสะเกษ

ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2568 เป็นต้นมา สถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ทำให้จังหวัดศรีสะเกษซึ่งเป็น 1 ใน 7 จังหวัดที่มีชายแดนกัมพูชากลายเป็นอีกหนึ่งพื้นที่สำคัญ ทั้งยังมีการเลือกตั้งซ่อม สส.ในเขตติดชายแดน (เขต 5 อ.ภูสิงห์ และ อ.ขุนหาญ) ที่ถูกจับตาในฐานะศึกแห่งศักดิ์ศรีระหว่างค่ายสีแดงกับน้ำเงิน ซึ่งสีน้ำเงินที่เป็นขั้วรัฐบาลชนะไป ท่ามกลางกระแสชาตินิยมในภาพรวมที่ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง

อาจารย์ประเทืองมองว่า การเลือกตั้งซ่อมมีผลสำคัญในเชิงสัญลักษณ์

“เป็นความพยายามที่จะสร้างสัญลักษณ์อะไรบางอย่างว่าการเลือกตั้งในสมัยหน้า พรรคภูมิใจไทยมีความพร้อมในการในการซัพพอร์ตทรัพยากรอย่างเต็มที่”

แต่ว่าในแง่ของคะแนน พรรคภูมิใจไทยทุ่มสุดตัว คว้าชัยชนะไปในแบบที่คะแนนฝั่งเพื่อไทยก็ไม่ได้ลดลงจากของเดิมมาก เขาวิเคราะห์ว่าคะแนนที่ ภูมิใจไทยได้ มาจากกลุ่มที่อยู่ตรงข้ามกับเพื่อไทย หรืออาจมาจากขั้วสีส้มที่ในสนามเลือกตั้งซ่อมไม่ได้ส่งแคนดิเดตลง

ผศ.กิตติชัย ขันทอง อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ วิทยาลัยกฎหมายและการปกครอง มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ให้ความเห็นสอดคล้องกับอาจารย์ประเทือง โดยเขาเสริมว่าอีกตัวแปรสำคัญที่อาจทำให้กระแสผู้สมัครจากพรรคภูมิใจไทยดีขึ้นมาได้ มาจากความไม่มั่นคงในรัฐบาลแพทองธาร กรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซนที่หลุดออกมาที่นำมาซึ่งความตึงเครียดชายแดน และเขตเลือกตั้งที่ 5 ก็เป็นอำเภอที่ติดชายแดนโดยตรงและเป็นพื้นที่ที่มีการมีการอพยพคนกันมาก

ผศ.กิตติชัยมองว่าการเติบโตของพรรค ภท.ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย ดังต่อไปนี้

  1. ภูมิใจไทยมี สส.เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว 3 เขตเลือกตั้ง จากเขตเลือกตั้งทั้งหมด 9 เขต

3 เขตที่ว่านี้ได้แก่ เขต 3 กับ เขต 8 และเขต 5 (อ.ภูสิงห์ ขุนหาญ ที่เพิ่งจะชนะเลือกตั้งซ่อมมาปลายเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา) ทำให้เขามองว่าในเลือกตั้งรอบหน้า ภูมิใจไทยจะได้ไม่ต่ำกว่า 3 ที่นั่ง ยืนพื้นจากของเดิม ส่วนที่เขตสูสีคือเขต 1 กับเขต 9 ที่ต้องลุ้นกัน

“ผมก็คิดว่า (ฐานเดิม) ยังเหนียวแน่นในการทำงานลงพื้นที่ มีแนวโน้มที่จะได้ 3 เขตเดิมคือ 8 กับ 3 แล้วก็ 5 ซึ่งมีการเลือกตั้งซ่อม เลือกตั้งสนามใหญ่ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นเขตเดิม”

“ทีนี้จะมีพลัส มีบวกขึ้นไหม ผมก็ขอพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าเลยว่าน่าจะเป็น 1 กับ 9 นี่แหละ ที่มีแนวโน้มว่าจะต้องสูสี”

ท่ามกลางภาวะ ‘เพื่อไทยเลืoดไหล’ สังเกตว่ามี ‘งูเห่าสีแดง’ เกิดขึ้นใน 2 เขตเลือกตั้งของจังหวัดชายแดนแห่งนี้ คือ เขต 4 (อ.กันทรลักษ์) ของหมอภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ และเขต 9 ของนุชนาถ จารุวงษ์เสถียร ทั้งสองคนไม่โหวตให้ ชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตคนสุดท้ายที่เหลือจากพรรคเพื่อไทย แต่กลับโหวตให้อนุทินเป็นนายกฯ

ทั้งนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่า 2 ‘งูเห่าสีแดง’ จะร่วมงานกับพรรคใดในการเลือกตั้งครั้งหน้า

ผศ.กิตติชัย ให้มุมมองว่าปรากฏการณ์ ‘งูเห่า’ สามารถมองได้ว่าเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของ สส.เขตกับกรรมการบริหารพรรคมากกว่า อีกทั้ง สส.บางคนก็ทำพื้นที่มายาวนานจนเกิดความยึดโยงกับพื้นที่นั้นไปแล้ว จึงไม่ได้มีความจำเป็นว่า สส.คนนั้นต้องอยู่ติดกับพรรคใด และการย้ายจากพรรคหนึ่งไปอยู่อีกพรรคก็ไม่ได้ส่งผลต่อความนิยมในพื้นที่

เมื่อถามว่ากระแสชาตินิยมมีผลต่อความนิยมของพรรคสีน้ำเงินที่อยู่ในช่วงขาขึ้นหรือไม่ เขาวิเคราะห์ว่าเรื่องนี้อาจจะเหมาทั้งจังหวัดไม่ได้ เพราะว่าพรรคเพื่อไทยก็ยังมี FC อยู่ในบางเขต ถ้าโฟกัสเฉพาะพื้นที่ เขตอำเภอที่ติดชายแดน หากผู้สมัครมาจากพรรค ภูมิใจไทยก็อาจลดแรงเสียดทานต่อกระแสชาตินิยมได้

ในประเด็นนี้ ดร.ประเทือง ตอบว่าเรื่อง สส.ย้ายออกเพราะพรรคสีแดงกระแสความนิยมตกจากเหตุชายแดน ก็อาจเป็นเหตุผลหนึ่ง แต่อาจไม่ใช่เหตุผลหลัก โดยมองว่าเรื่องหลักน่าจะเป็นการไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคที่เพียงพอมากกว่า

“จริงๆ แล้ว มันเกิดจากลักษณะของการสนับสนุนของพรรคเพื่อไทยเอง เพราะว่าพรรคไม่ได้ให้การสนับสนุนผู้สมัครอย่างมากพอด้วย การสนับสนุนก็คือสนับสนุนผ่านตำแหน่งผ่านการต่อรองโควตารัฐมนตรีที่เคยมีข่าวว่า สส. ในภาคอีสานตอนใต้มีจำนวนเยอะ แต่ว่าไม่ได้รับตำแหน่งโควตารัฐมนตรีเลย”

“ผมมองว่าชาตินิยมเป็นเพียงกระแสหรือว่าเป็นเพียงข้ออ้างเฉยๆ ข้ออ้างจะหาทางที่จะขยับขยายหรือว่าย้ายพรรคเฉยๆ เนื่องจากว่าประชาชนในพื้นที่ไม่ได้มีความเป็นชาตินิยมที่รุนแรงขนาดนั้น คนในพื้นที่เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม เพราะว่าเขาเป็นคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เขาย่อมทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เกิดสงคราม เพื่อไม่ให้ลูกปืนมันมาถึงบ้านเขา ฉะนั้นในเรื่องของชาตินิยม มันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงเหมือนที่คนส่วนกลางมองภาพแบบนั้น”

2. ค่ายสีน้ำเงินมีความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มการเมืองท้องถิ่น

เมื่อ 1 ก.พ.2568 ชัยชนะในการเลือกตั้งนายก องค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ ‘นายกส้มเกลี้ยง’ วิชิต ไตรสรณกุล บ้านใหญ่ศรีสะเกษที่มีความใกล้ชิดกับค่ายสีน้ำเงิน คะแนนนำทิ้งห่างผู้สมัครในนามพรรคเพื่อไทย ในคืนนั้น อนุทินในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเดินทางไปร่วมแสดงความยินดีกับวิชิตด้วย

“พรรคค่ายสีน้ำเงินมีความสัมพันธ์อันดีกับการเมืองท้องถิ่น สจ.ในพื้นที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเอง บ้านใหญ่เองก็ต้องยอมรับว่าน่าจะมีส่วนในการช่วยพีอาร์ (ประชาสัมพันธ์)”

ในช่วงโค้งสุดท้ายของหาเสียงเลือกตั้งซ่อมศรีสะเกษ เขต 5 อนุทินในฐานะหัวหน้าพรรคขนรัฐมนตรีภูมิใจไทยขึ้นเวทีปราศรัย เขากล่าวบนเวทีว่าได้ตั้งบุคคล 2 คนในพื้นที่ศรีสะเกษให้นั่งตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล คือ กวาง ไตรศุลี ไตรสรณกุล นั่งเลขาธิการนายกฯ และ สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ นั่งโฆษกรัฐบาล

ช่วงหนึ่งของการปราศรัย อนุทินได้แนะนำไตรศุลีว่า “นี่คือสุดยอดดวงใจของผม ทำงานแทนผม หัวใจคนศรีสะเกษ” ก่อนบอกว่า “คนนี้มีวลีเด็ดถ้าอีนั่นเป็นได้ อีนี่ก็เป็นได้นี่ไงครับ นี่คืออีนี่ของคนศรีสะเกษ ช่วงนี้ขอขโมยตัวจากพี่น้องชาวศรีสะเกษ เพราะผมทำหน้าที่นายกฯ แล้ว ขอเอาคนศรีสะเกษมาเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีโอเคไหม เพราะฉะนั้นพี่น้องชาวศรีสะเกษเห็นหรือยังว่า ภูมิใจไทยพูดแล้วทำ เว่าแล้วเฮ็ด”

จากนั้นแนะนำ สิริพงศ์ว่า เป็นคนที่จะเป็นกระบอกเสียง เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี เป็นพวกชอบปิดทองหลังพระ ชอบทำงานอยู่ข้างหลัง “ผมทำงานกับเขา สั่งงานกับโต้ง สั่งอะไรไป สั่งวันนี้เสร็จเมื่อวาน ทำตามผมทุกอย่าง ทุกครั้งโต้งจะตะโกนกลับมาว่าเสร็จแล้วครับท่าน สิ่งที่ยากที่สุดคือหาตัวไม่ค่อยเจอ โทรทีก็ต้องโทรกลับ แต่เขาคือคนคุณภาพของคนศรีสะเกษ”

ข้อมูลจากผลการศึกษาวิจัย เรื่อง ‘ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่นกับการขยายตัวของพรรคภูมิใจไทยในจังหวัดศรีสะเกษ : กรณี 3 ส.ส. พรรคเพื่อไทยมาสังกัดพรรคภูมิใจไทย’ ที่เผยแพร่ในวารสารการปกครอง ระบุตอนหนึ่งว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มการเมืองระดับชาติพรรคภูมิใจไทย กับนักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ

(1) ความสัมพันธ์รูปแบบเครือญาติ มีลักษณะความสัมพันธ์แบบพ่อลูก แบบพี่น้อง หรือ ป้า/ลุงหลาน เป็นการสร้างทายาททางการเมือง โดยอาศัยฐานเสียงหรือคะแนนนิยมของการเมืองระดับท้องถิ่นที่ผูกขาดอำนาจมาอย่างยาวนาน ทั้งระดับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (องค์การบริหารส่วนจังหวัด) โดยนายวิชิต ไตรสรณกุล นายกองค์อบจังหวัดศรีสะเกษ และระดับเทศบาลเมืองศรีสะเกษ โดยนายฉัตรมงคล อังคสกุลเกียรติ นายกเทศมนตรีเมืองศรีสะเกษ เป็นฐานสนับสนุนทางการเมืองของพรรคภูมิใจไทยในจังหวัดศรีสะเกษ

(2) ความสัมพันธ์แบบประสานผลประโยชน์ทางการเมือง อาทิ การแต่งตั้งเครือข่ายให้เข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง การแบ่งพื้นที่ทางการเมืองในระดับท้องถิ่นระดับเทศบาลเมือง กับองค์การบริหารส่วนจังหวัดอย่างชัดเจน พรรคภูมิใจไทยในจังหวัดศรีสะเกษอาศัยตัวแสดงหลัก คือ กลุ่มตระกูลไตรสรณกุล  และกลุ่มอังคสกุลเกียรติ ที่สามารถผูกขาดการเมืองระดับท้องถิ่นในจังหวัด มีการสร้างความร่วมมือและการสร้างพันธมิตรทางการเมืองมาอย่างยาวนาน รวมทั้ง ความสามารถในการระดมทรัพยากรทางการเมือง ภายใต้ความอ่อนแอของพรรคเพื่อไทยในเขตพื้นที่ ส่งผลให้พรรคภูมิใจไทยสามารถสร้างฐานที่มั่นในจังหวัดศรีสะเกษได้

ภาคใต้

ปรากฏการณ์พรรคภูมิใจไทย ‘เนื้อหอม’ เกิดขึ้นแล้วในภาคใต้ จากพรรคที่แทบไม่มีกระแส แต่เพราะเหตุใดในวันนี้ ‘บ้านใหญ่’ หลายจังหวัดทยอยไหลเข้าร่วมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า

ประชาไทพูดคุยกับ รศ.เอกรินทร์ ต่วนศิริ จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ถึงปัจจัยที่ทำให้พรรคสีน้ำเงินเติบโตในภาคใต้ และสิ่งนี้สะท้อนว่าการเมืองภาคใต้กำลังเปลี่ยนไปอย่างไร

เขากล่าวว่ามี 3 ปัจจัยที่ทำให้พรรคภูมิใจไทยเติบโตในภาคใต้

  1. ด้วยการเข้าถึงอำนาจรัฐและมีทรัพยากร ทำให้ภูมิใจไทยมีความน่าดึงดูดให้ต่อ ‘บ้านใหญ่’ ให้เข้ามาร่วมงาน เท่ากับได้บุคลากรทางการเมืองเพิ่ม
  2. เป็นพรรคที่ไม่ได้ดูเป็นภัยต่อสถาบันหลักของชาติ
  3. คู่แข่งทางการเมืองไม่มีความแข็งแรง

นักรัฐศาสตร์ผู้นี้กำลังทำงานวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการเลือกตั้งในพื้นที่สามจังหวัดบริเวณภาคใต้ตอนบน เขากล่าวว่าพรรคภูมิใจไทยมี ‘วิธีการหัวคะแนนที่ชัวร์และแข็งแรง’ โดยมีแกนกลางสำคัญที่สุดอยู่ที่ อสม. หรือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน

“ในแง่ของในพื้นที่เนี่ย มันทรงพลัง ในแง่ของวิธีการที่เราอาจจะเรียกว่าหัวคะแนน หรือเครือข่ายของภูมิใจไทย มันแข็งแรง แล้วมันชัวร์ ถ้าชาวบ้านพูดเนาะ เขาก็มีความสัมพันธ์กับผู้นำท้องถิ่นแล้วก็แกนกลางสำคัญที่สุดคือ อสม. (อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) เป็นฐานของเขาในทางใต้”

ส่วนปรากฏการณ์ ‘บ้านใหญ่’ ไหลเข้าที่เราเห็นกันในปัจจุบัน เขาอธิบายว่าเกิดขึ้นเพราะพรรคภูมิใจไทยมีความน่าดึงดูด แม้ว่าในตอนนี้อยู่ในฐานะ ‘รัฐบาล 4 เดือน’ แต่ว่าก่อนหน้านี้พรรคมีอำนาจรัฐและทรัพยากร ประกอบกับพรรคอื่นๆ ที่เป็นคู่แข่งทางการเมืองไม่ได้แข็งแรงและไม่ได้อยู่ในอำนาจรัฐอย่างต่อเนื่อง

ในการเลือกตั้งปี 62 จะเห็นว่าพรรคภูมิใจไทยเริ่มขยับ แต่ยังไม่ได้รับความนิยมมากเท่าไรนัก เพราะกระแส ‘ลุงตู่’ มาแรงจนคนใต้พากันเทใจให้ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์เสียคะแนนไปตั้งแต่ปี 2562 หลัง “อภิสิทธ์ไม่เอาลุงตู่” และก็อยู่ในสภาพขาลงเรื่อยมา

“อีกด้านหนึ่งก็เกิดความที่ศัตรูหรือคู่แข่งทางการเมืองไม่แข็งแรง แล้วมันมีคู่แข่งทางใหม่ขึ้นมาในพื้นที่ภาคใต้ คะแนนมันโยกตอนแรกไม่ใช่มาอยู่ภูมิใจไทย มันโยกไปสู่คุณประยุทธ์ใช่ไหม…คุณอภิสิทธิ์ หลังจากนั้นก็ลาออก (จากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์)”

เขาอธิบายว่า ที่ผ่านมา ‘นักธุรกิจ’ ไม่ได้เป็นตัวเลือกของการเมืองภาคใต้ ยุคทักษิณและพรรคเครือข่ายของทักษิณไม่มี สส.สักคนเดียวในภาคใต้ จนมาถึงการเลือกตั้งปี 62 การเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ได้เขย่าหลายประเด็นเชิงโครงสร้าง ในบริบทที่ประเทศถูกแช่แข็งมานานหลังจากรัฐประหาร แม้ผู้นำพรรคอย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะมีภาพของนักธุรกิจแต่ก็มีความเป็นแอคติวิสต์ปนอยู่ จึงถูกมองเป็นขั้วตรงข้ามของ ‘ลุงตู่’ ทำให้พรรคสีส้มยังไม่ประสบความสำเร็จในทางใต้

พอมาเลือกตั้งปี 66 รอบนี้ต่างไปตรงที่พรรคทหารแตกเป็น 2 พรรคคือ พลังประชารัฐ กับ รวมไทยสร้างชาติ พล.อ.ประยุทธ์ยังได้รับความนิยม “ภาคใต้ก็ยังไปขวา” ส่วนพรรคส้มสอดแทรกเข้าภาคใต้ได้จาก ‘กระแสพิธา’ ผลคือคนใต้เลือกพรรคส้มแบบปาร์ตี้ลิสต์ และยังพบว่ามีบางพื้นที่ที่ผู้สมัครจากพรรคส้มแพ้เจ้าถิ่นด้วยคะแนนห่างเพียงหลักร้อย-หลักพัน กรณีหลักร้อย คือ เขต 2 สงขลา ส่วนกรณีหลักพันคือเขต 1 นครศรีธรรมราช

ในการเลือกตั้งปี 66 พรรคภูมิใจไทยได้ สส.เขตเพิ่มจาก ‘วิธีการแบบบ้านใหญ่’ ส่วน ‘กระแสอนุทิน’ ที่เป็นหัวหน้าพรรคยังไม่มี

ย้อนไปดูผลเลือกตั้งปี 62 ภาคใต้ พรรคภูมิใจไทยได้ สส.เขต 8 คน ต่อมาปี 66 ได้ สส.เพิ่มเป็น 12 คน ส่วนการเลือกตั้งรอบหน้า ‘โกเกี๊ยะ’ พิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม ในฐานะแกนนำพรรคภูมิใจไทย ภาคใต้ ประกาศว่ามีการตั้งเป้า สส.ใต้ถึง 30 เก้าอี้

หากพิจารณาในแง่จริตทางการเมือง ‘คนดีที่ซื่อสัตย์’ แบบที่คนใต้เคยเทคะแนนให้อย่างพรรคประชาธิปัตย์และลุงตู่ การเติบโตของพรรคภูมิใจไทยที่ไม่ได้มีจริตแบบนั้น หมายความว่านักการเมือง ‘แบบที่คนใต้ซื้อ’ ได้เปลี่ยนไปแล้วหรือ

รศ.เอกรินทร์ตอบคำถามนี้โดยอธิบายว่า ช่วงยุคก่อนปี 2560 นักการเมืองที่คนใต้ชื่นชอบมักมาจากพื้นหลังอาชีพที่มีภาพลักษณ์ดี อย่างเช่น ทนายความ อาจารย์ หรือพวก “คนที่อาสามาทำงานจริงๆ”  มีวาทศิลป์ แต่ไม่ได้มีภาพชัดว่าเป็นนักธุรกิจ ส่วนที่ทางของนักธุรกิจในภูมิทัศน์ทางการเมืองภาคใต้ พวกเขาเหล่านี้อยู่ในฐานะ ‘ผู้สนับสนุน’ โดยเป็นนายทุนพรรคหรือนายทุนย่อยๆ ของหลายจังหวัดจะช่วยกันลงขันผลักดันผู้สมัครที่มีภาพลักษณ์ดี

“ในภาคใต้ก่อนปี 2560 ภาพของนักธุรกิจมันขายไม่ได้ ภาพที่ขายได้จะต้องเป็นนักการเมืองแบบ…เป็นทนาย เป็นอาจารย์ ส่วนพวกนักธุรกิจจะเป็นผู้สนับสนุน (นักการเมือง) อยู่ข้างหลัง”

เขาอธิบายต่อว่าช่วงหลังปี 2560 เป็นต้นมา นักธุรกิจเหล่านี้ลงมาในสนามทางการเมืองเอง รวมถึง ‘พวกเทาๆ’ โดยจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดที่สุดช่วงเลือกตั้งปี 66

“ทางใต้เนี่ย การเมืองมันเริ่มที่จะอยู่ใน transitional หรือความเปลี่ยนผ่าน ความเปลี่ยนผ่านคือการเปิดรับผู้นำทางการเมือง เปิดรับบุคคลทางการเมืองใหม่ๆ ขึ้น ภาพการเมืองเก่าๆ มันขายไม่ได้แล้ว”

“เลือกตั้ง 66 มันชัด มีผู้เล่นแบบนี้เยอะขึ้น อย่าลืมว่าตอนนั้นมีเรื่องออนไลน์เข้ามาเกี่ยวข้อง มีบิสซิเนสต่างๆ เกิดขึ้น เราเลือกตั้งก่อนหน้านนั้นปี 62 แล้วปี 63, 64 ใช่ไหมเราเจอโควิด พอธุรกิจออนไลน์หรือว่าแพลตฟอร์มออนไลน์มันเติบโตมากขึ้น เว็บเถื่อนต่างๆ ก็เกิดขึ้น พร้อมกับวัยรุ่นสร้างตัวก็เกิดขึ้นเยอะ หรือแม้กระทั่งไม่ใช่วัยรุ่น สส.เดิมก็ไปทำธุรกิจแบบนี้มากขึ้น การได้เงินมาจากธุรกิจแบบนี้มันก็ง่าย นั่นหมายความว่ามันสามารถที่จะนำไปใช้จ่ายในทางการเมืองได้ง่ายเหมือนกัน ในการเลี้ยงดูคนต่างๆ ในเขตของตัวเองนะครับ”

“สนามพรรคการเมืองทางภาคใต้มันเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปยังไง ผู้เล่นทางการเมืองกลับเป็นนักธุรกิจมากขึ้น บวกวงเล็บเทาด้วย”

ในประเด็น ‘นักการเมืองเทาๆ’ ผศ.เอกรินทร์วิเคราะห์ว่าระบบบัตร 2 ใบมีส่วนเอื้อให้คนกลุ่มนี้ได้เข้าสู่การเมือง ใบหนึ่งเลือกคนที่ทำพื้นที่ดีมาเป็น สส.เขต ส่วนอีกใบก็จะเลือกพรรคที่ชอบ

เมื่อถามต่อว่าโหวตเตอร์ในภาคใต้ลังเลในการโหวต สส.แบบนี้มากน้อยแค่ไหน เพราะประเด็น ‘ความเทา’ ในระยะหลังก็ดูจะเป็นกระแสในสื่อมากเหมือนกัน

เขาตอบว่าเรื่องนี้เป็นคำถามที่ตอบไม่ง่าย นักการเมืองบางคนอาจถูกมองว่าพัวพันกับเรื่องเทาๆ แต่การที่เขาทำพื้นที่ดี คนในพื้นที่ก็เลือกเขา ขณะที่กระแสในโซเชียลไม่ได้มีผลต่อคะแนนมากนัก

“ผมก็ยังอึ้งนะ ไปคุยกับคนท้องถิ่น เขา (สส.เทา) ลงพื้นที่ตลอดเว้ย มันดูแลของมัน และขยันด้วย นึกออกปะ”

อย่างไรก็ตาม ประเด็น ‘ทุนเทา’ อาจสำคัญสำหรับจริตของคนกรุงเทพฯ ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 พ.ย. ที่ผ่านมา มีรายงานข่าวว่าพรรคภูมิใจไทยเตรียมตั้ง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อดีต รมว.อุตสาหกรรม เป็นหัวหน้าทีมสู้ศึกเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยมีการวิเคราะห์ถึงเหตุผลในการตั้งเอกนัฏว่า พรรคภูมิใจไทย ต้องการสื่อสารกับคน กรุงเทพมหานครว่าพรรค ‘ไม่เอาทุนเทา’ โดยยกเอาผลงานเด่นของเอกนัฏในช่วงที่เขาเป็น รมว.อุตสาหกรรมมาเป็นจุดขาย

ในการประเมินแนวโน้มการเลือกตั้งครั้งหน้า อาจารย์รัฐศาสตร์จาก ม.สงขลานครินทร์ คาดการณ์ว่ากลุ่ม ‘บ้านใหญ่’ ที่ไหลเข้าพรรคเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มว่าจะได้ สส. เช่น ตรังและชุมพร ส่วน จ.กระบี่ และ สตูล ภูมิใจไทยเคยชนะแบบยกจังหวัดในรอบก่อน ก็คาดว่าน่าจะได้อีกเช่นกัน

เฉพาะภาคใต้ มีรายงานข่าวเกี่ยวกับ สส.ที่คาดว่าจะย้ายมาร่วมงาน ได้แก่

  • กลุ่มนิพนธ์ บุญญามณี (3 ที่นั่ง) หลังจากมีข่าวว่าอนุทินไปทาบทาม
  • กลุ่มเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ มีสมาชิกเป็น สส.กระจายตัวใน พิษณุโลก – ชุมพร – สุราษฎร์ธานี (จำนวนที่นั่งยังไม่นิ่ง)
  • กลุ่มบ้านใหญ่ตรัง (จำนวนไม่ชัดเจน)

ผศ.เอกรินทร์มองว่ามีแนวโน้มที่พรรค ภท. จะสามารถแย่งคะแนนในส่วนที่เคยเป็นของพรรค ปชป. ได้ด้วย เนื่องจากภาพการเมืองแบบเก่าๆ ที่เคยเป็นจุดขายของพรรค ปชป.มาตลอด น่าจะขายไม่ได้แล้วในบริบทปัจจุบัน การกลับมาเป็นหัวหน้าพรรค ปชป. ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกอบกับแคมเปญหาเสียงของพรรค ปชป.ภายใต้สโลแกนที่ว่า “สส.ที่ดี… คุณเองก็เป็นได้นะ” เขามองว่าสิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าพรรค ปชป.ไม่รู้เลยว่าการเมืองภาคใต้ได้เปลี่ยนไปแล้ว

เมื่อประชาไทถามว่ามีปัจจัยอื่นๆ อีกไหมที่ส่งผลให้พรรคนี้ได้คะแนนเพิ่มในภาคใต้ เช่น โครงการแลนด์บริดจ์ หรือกระแสชาตินิยมจากความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา เขามองว่าอย่างหลังน่าจะมีผลมากกว่า การกลับมาอีกครั้งของกรณีทหารเหยียบกับsะเบิด ตลอดจนอนุทินแสดงท่าทีต่างๆ เหล่านี้เป็นการกอบโกยความรู้สึก นำมาซึ่งเหตุผลของการตัดสินใจเลือกแบบหนึ่ง ใช้หาเสียงได้แบบหนึ่ง เพราะว่าเรื่องความขัดแย้งกับกัมพูชาก็จะถูกนำไปอยู่ในการดีเบตการเลือกตั้ง

ทั้งนี้ เขามองว่าการเลือกตั้งปีหน้ามีความซับซ้อนกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา มันจะไม่ใช่ ‘การเมืองแบบต้องเปลี่ยนประเทศ’ เหมือนปี 62 หรือปี 66 แต่บรรยากาศปี 69 จะแตกต่างไปตรงที่การเลือกลงคะแนนให้พรรคใดพรรคหนึ่งมีแนวโน้มที่จะมีหลายเหตุผลประกอบ

“มันเหมือนว่า มันมีติ๊กบ็อกซ์ (checkbox) ในการจะเลือก เช่น 5 เหตุผล เรื่องชาตินิยม พรรคภูมิใจไทยผ่านว่ะ ไปได้ พรรคประชาชนเนี่ย คนเลือกอาจมองว่า ไม่ค่อยรักชาติเท่าอะ ติ๊กเรื่องนี้ไม่ผ่าน ติ๊กติ๊กติ๊กไป แต่ว่าเออพอสุดท้ายรวมๆ กันแล้ว คนบางกลุ่มอาจเลือกภูมิใจไทย หรือสุดท้ายคนรุ่นใหม่รวมๆ กันแล้วเลือกพรรคประชาชน…คือมันไม่ได้มีเหตุผลเดียวของการเลือก”

คนในพื้นที่มอง ‘บ้านใหญ่’ อย่างไร

ดร.ประเทือง จากคณะรัฐศาสตร์ ม.อุบลฯ กล่าวถึงวาทกรรม ‘บ้านใหญ่’ ว่าคนในพื้นที่รอบนอกเมืองมักไม่ได้มองมันในแง่ลบเท่ากับที่คนในเขตเมือง

เขาอธิบายโดยอ้างอิงข้อมูลจากรายงานการเลือกตั้งเทศบาลในจ.อุบลฯ มีปรากฏการณ์ ‘คนไม่เอาบ้านใหญ่’ ในระดับเทศบาลนคร โดยคนกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่เสียผลประโยชน์จากการมีอยู่ของบ้านใหญ่ /ไม่เห็นด้วยกับแนวนโยบายแบบบ้านใหญ่

“ในพื้นที่ บ้านใหญ่มันก็ไม่ได้ลบขนาดนั้นหรอกนะครับ ข้อมูลจริงในจังหวัดอุบล โดยเฉพาะการเลือกตั้งเทศบาลนคร คือกลุ่มบ้านใหญ่ ถ้าเป็นกลุ่มที่อาจจะสูญเสียประโยชน์จากการเลือกตั้งที่เป็นของกลุ่มบ้านใหญ่ จะมองค่อนข้างที่จะลบอย่างชัดเจน ในขณะที่ประชาชนที่อยู่รอบนอก อยู่ต่างอำเภอ อยู่ต่างตำบล ภาพที่มีต่อกลุ่มบ้านใหญ่จะไม่ได้ลบขนาดนั้น

“มีภาพลบเฉพาะกลุ่มที่เขาอาจจะพ่ายแพ้หรืออาจจะเบื่อหน่าย หรืออาจจะไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง หรืออาจจะไม่เห็นด้วยกับแนวโยบายของกลุ่มบ้านใหญ่โดยเฉพาะของเขตเทศบาลนครอุบล”

ขณะที่ รศ.เอกรินทร์ จากคณะรัฐศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ กล่าวว่าคนพื้นที่ภาคใต้ไม่ได้มองการเมืองแบบบ้านใหญ่ในทางลบแบบที่คนนอกมักให้ภาพ เพราะว่าการเมืองแบบบ้านใหญ่ตอบโจทย์คนพื้นที่ในแง่ที่ว่ากลุ่มการเมืองท้องถิ่นสามารถ ‘ต่อรอง’ กับรัฐราชการรวมศูนย์ได้ เอางบเอาโครงการมาพัฒนาพื้นที่นั้น

“บ้านใหญ่ในแง่หนึ่ง มันต่อรองกับรัฐราชการได้…ประชาชนรู้สึกว่าไม่มีที่พึ่ง โครงสร้างประเทศมันเป็นแบบนี้ไง ทำให้บ้านใหญ่มันคงอยู่”

นักรัฐศาสตร์ผู้นี้ไม่คิดว่าการมอง ‘บ้านใหญ่’ ในด้านลบเพียงอย่างเดียวจะทำให้เกิดความเข้าใจ และเผลอๆ มุมมองเช่นนั้นอาจนำไปสู่การดูถูกประชาชนด้วย

เขากล่าวต่อไปว่าตามความเข้าใจของคนทั่วไป คำว่า ‘บ้านใหญ่’ มักมีภาพที่สื่อถึง ‘เจ้าพ่อ’ และการคอรัปชั่น แต่ในอีกมุมหนึ่ง สิ่งนี้เป็นการทำกิจกรรมทางการเมืองอีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถกระจายผลประโยชน์ไปยังกลุ่มคนในท้องถิ่นได้

“พวกเขาเหล่านั้นที่ครองอำนาจ ในอีกแง่หนึ่งมันเป็นสิ่งที่เขาเรียกว่า การทำกิจกรรมทางการเมือง ที่เขารู้สึกว่าเขาไม่ใช่แบบเจ้าพ่อแบบเดิม…โกงเหี้ยมแบบไม่แบ่งสรรผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น พวกนี้มีการแบ่งผลประโยชน์ ถ้าเขาไม่แบ่ง เขาอยู่ไม่ได้

“ยกตัวอย่างว่าคุณมีโปรเจกต์อะไรเข้ามาในพื้นที่ จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณต้องแบ่งให้คนที่มีความเกี่ยวข้อง และจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณต้องให้ประชาชนเห็นได้ว่าการที่คุณดำรงอยู่ โปรเจกต์ที่คุณได้ สามารถที่จะทำให้พื้นที่จังหวัดหรือในโซนตรงนั้นเกิดความเปลี่ยนแปลง…นี่เราไม่ได้พูดการเมืองแบบศีลธรรมนะ”

ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )

ผู้เรียบเรียง

ให้คะแนนความพอใจของคุณ :

0 / 5 คะแนน 0

คุณให้คะแนน:

แชร์ลิ้งค์นี้ : https://ด่วน.com/u90b | ดู : 10 ครั้ง จากทั้งหมด 307 ครั้ง ในรอบ 30 วัน
  1. เสียงจากคนหาดใหญ่ ตำหนิท้องถิ่น-รัฐบาล – นาทีช่วยวัวติดบนหลังคาโรงพัก อัพเดทข่าว เสียงจากคนหาดใหญ่ ตำหนิท้องถิ่น-รัฐบาล – นาทีช่วยวัวติดบนหลังคาโรงพัก อัพเดทข่าว
  2. “นายกฯ แป้น” ย้ำ ลาทีการเมือง ยืนยันทำเต็มที่  |  1 ธ.ค. 68 “นายกฯ แป้น” ย้ำ ลาทีการเมือง ยืนยันทำเต็มที่ | 1 ธ.ค. 68
  3. ปะทะเดือดสนั่นป่าที่ชายแดนแม่สาย-จ.เชียงราย-ยึดยาบ้ากว่า-2-ล-|-2025-11-30-06:33:00 ปะทะเดือดสนั่นป่าที่ชายแดนแม่สาย จ.เชียงราย ยึดยาบ้ากว่า 2 ล 2025-11-30 06:33:00
  4. รวบ-หนุ่มเลืoดร้อน-ฉุนเพื่อนต่างวัย-หมัดเดียวร่วงดับสลด-ห รวบ หนุ่มเลืoดร้อน ฉุนเพื่อนต่างวัย หมัดเดียวร่วงดับสลด ห
  5. แจ้งประชาสัมพันธ์-วันนี้-1-ธค.68-จะมีขบวนแห่เปิดงานทุ่งศรี ✅แจ้งประชาสัมพันธ์ วันนี้ 1 ธ.ค.68 จะมีขบวนแห่เปิดงานทุ่งศรี
  6. จอกบ่วาย-พืชกินแมลง-เป็นไม้ล้มลุก-ลำต้นสั้น-อายุปีเดียว-สูง จอกบ่วาย พืชกินแมลง เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นสั้น อายุปีเดียว สูง
  7. ผู้ลงสมัครนายกอบตสองคลอง.-|-2025-11-30-01:41:00 ผู้ลงสมัครนายกอบต.สองคลอง . 2025-11-30 01:41:00
  8. ‘วรภัค’-โต้-ปชปปม-บทุน-330-บาทซื้อหุ้นฟินันเซีย-693-ล.-ชี้เรื่องปกติของ-บริษัท-spv ‘วรภัค’ โต้ ปชป.ปม บ.ทุน 330 บาทซื้อหุ้นฟินันเซีย 693 ล. ชี้เรื่องปกติของ บริษัท Spv
  9. 🔴 รายการพิเศษมหาอุทกภัยภาคใต้ 2568 | ช่วงที่ 1 1 ธ.ค. 68 รายการพิเศษมหาอุทกภัยภาคใต้ 2568 | ช่วงที่ 1 1 ธ.ค. 68
  10. รมวสุชาติ-เผยผลปฏิบัติการ-ทส.-หนึ่งเดียว-รวมพลัง-giant-clea-|-2025-11-30-06:41:00 รมว.สุชาติ เผยผลปฏิบัติการ ทส. หนึ่งเดียว รวมพลัง Giant Clea 2025-11-30 06:41:00

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *


Share via
Click to Hide Advanced Floating Content
Send this to a friend