
ที่ประชุม 5 ฝ่าย ‘คมนาคม-รฟท.-EEC-ซี.พี.-อัยการฯ’ ยืนหลักการแก้ไขสัญญาไฮสปีดเดิม 5 ข้อชงบอร์ด EEC-ครม.อนุมัติ ให้มีผลทางกฎหมายก่อน ‘พิพัฒน์’ ยันไม่เห็นด้วยแก้สัญญา เกรงละเมิดหลักการร่วมลงทุน เผย ซี.พี.ยังไม่เห็นด้วยกับการยึดหลักประกันทุกกรณี เตรียมให้ครม.ชี้ขาดเช่นกัน
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า วันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.45 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ด EEC) ได้เชิญตัวแทนการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.), สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC), สำนักงานอัยการสูงสุด และบจ.เอเชีย เอราวัน (ซี.พี.) มาหารือถึงการแก้ไขปัญหาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา)
นายพิพัฒน์เปิดเผยภายหลังการหารือกว่า 1 ชม.ว่า จากการหารือกัน ยังไม่ได้ข้อสรุปอะไร เพราะเอกชนก็ยืนยันว่า ต้องมีการแก้ไขสัญญาโครงกร ส่วน EEC ไม่ขัดข้อง เพราะเห็นว่าขอให้ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้โครงการเดินหน้าให้สำเร็จ แต่กระทรวงคมนาคมก็ขอดูก่อนว่า การแก้ไขสัญญาจะตอบโจทย์การเชิญผู้ประกอบการมาร่วมลงทุนได้จริงหรือไม่? หมายถึง การที่เอกชนมายื่นซองประมูลเมื่อตอนเริ่มต้น มันเป็นโครงการอะไร? PPP (การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน: Public-Private Partnership) ใช่ไหม? และการดำเนินการอยู่ภายใต้ PPP หรือไม่ ซึ่งจากการหารือ ทางสำนักงานอัยการสูงสุดก็ไม่ได้ชี้ผิดชี้ถูกอะไร แต่โดยส่วนตัวยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการแก้ไขสัญญาโครงการ เพราะมันจะไม่เรียกว่าโครงการ PPP อย่างไรก็ตาม กระทรวงก็พยายามจะตรวจสอบสิ่งที่สำนักงานอัยการสูงสุดมีความเห็นมา
ทั้งนี้ นายพิพัฒน์กล่าวว่า จากที่หารือกันในที่ประชุมเห็นตรงกันว่า จะนำประเด็นที่มีการแก้ไขสัญญากันเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ เพราะประเด็นนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับอีกหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงบประมาณ, กระทรวงการคลัง เป็นต้น จึงต้องขอความเห็นชอบจากหน่วยงานด้วย โดยจะเสนอให้ได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งจะต้องเสนอให้บอร์ด EEC เห็นชอบก่อน ซึ่งจะประชุมกันปลายเดือน พ.ย.นี้
@โควิด-สงคราม ไม่ใช่เหตุแก้สัญญา / สร้างถึงตราด แค่โยนโจทย์
เมื่อถามว่า ทางเอกชนมีเสนอเงื่อนไขอะไรหรือไม่ นายพิพัฒน์ตอบว่า เอกชนก็ชี้แจงว่า ทางเอกชนเองก็มีเสียผลประโยชน์เช่นกัน เพราะว่าปัญหามันมาจากการแพร่ระบาดของเชื่อไวรัสโควิด-19 และการเกิดสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน จึงต้องขอแก้ไขสัญญา แต่ก็ต้องขอดูก่อนว่า ในสัญญาไม่มีสิทธิ์เอาเรื่องเหล่านี้มาอ้าง และไม่ถือเป็นเหตุขอแก้ไขสัญญาด้วย
ขณะที่การเสนอให้ก่อสร้างไปถึง จ.ตราดนั้น นายพิพัฒน์กล่าวว่า ก็เป็นการโยนโจทย์ไปให้คิด ซึ่งเอกชนต้องลงทุนเอง ส่วนลักษณะสัญญาก็ต้องพ่วงไปเป็นอีกสัญญาหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเห็นว่า หากมีการก่อสร้างส่วนต่อขยายนี้จะทำให้โครงการนี้ดึงคนมาใข้มากขึ้น รวมถึงสร้างแรงจูงใจให้คนบินมาสนามบินอู่ตะเภามากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามทาง ซี.พี. ได้รับฟังไว้ แต่ไม่ได้ตอบรับอะไร ทั้งนี้ โจทย์การทำส่วนต่อขยายถึง จ.ตราด จะยังไม่เสนอให้ที่ประชุมครม.เห็นชอบ
เมื่อถามต่อว่า ถ้าไม่สามารถแก้ไขสัญญาได้ เอกชนมีท่าทีอย่างไร นายพิพัฒน์ตอบว่า ซี.พี.ไม่ได้บอกอะไร อยู่ที่บอร์ด EEC และครม.ว่าจะให้แก้ ซึ่งต้องเงื่อนไขประกอบแน่นอน
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า หากมีการให้แก้สัญญา เอกชนที่เข้าแข่งขันยื่นซอง ณ ตอนนั้น จะฟ้องร้องหรือไม่ นายพิพัฒน์กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องที่พูดไปในที่ประชุมว่า รายที่เข้ามาแข่งขันจะฟ้องไหม? เพราะถ้าแก้ไขสัญญากันได้ ก็สามารถทำข้อเสนอที่ดีกว่าได้สิ ก็เป็นปัญหาอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่มีคอมเมนต์อะไรตอบกลับมา
เมื่อถามอีกว่า กรณีที่สำนักงานอัยการสูงสุดทำความเห็น 18 ประเด็นเกี่ยวกับโครงการ แล้วทางซี.พี.ได้มีคำชี้แจงกลับไปนั้น ได้มีการส่งกลับมาหรือยัง นายพิพัฒน์กล่าวว่า ยังเลย

@ชง 5 หลักการแก้สัญญา เสนอ EEC-ครม.
ขณะที่รายงานข่าวเปิดเผยว่า ประเด็นสำคัญของการหารือกันคือ ตัวแทนของสำนักงานอัยการสูงสุดมีความเห็นว่า ในการแก้ไขสัญญา อาจจะต้องมีกระบวนการตามกฎหมาย โดยเฉพาะการดำเนินการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 เพราะในโครงการนี้จะมีการใช้เงินงบประมาณ ซึ่งจะต้องมีภาระการเงิน ภาระงบประมาณที่จะต้องไปใช้จ่ายตามมา ดังนั้น ที่ประชุมจึงเห็นร่วมกันว่า ควรเอาหลักการแก้ไขสัญญาให้ที่ประชุมครม.รอบหนึ่งก่อน แล้วค่อยให้สำนักงานอัยการสูงสุดดูอีกที
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า หลักการทั้ง 5 ข้อที่บอร์ด EEC เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 67 เห็นชอบในหลักการไปแล้วนั้น ประกอบด้วย
1.วิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน (Public Investment Cost : PIC) จากเดิม จ่ายเมื่อเอกชนเปิดเดินรถไฟความเร็วสูงฯ แล้ว รัฐจะแบ่งจ่ายเป็นเวลา 10 ปี ปีละเท่าๆ กัน รวมเป็นจำนวน 149,650 ล้านบาท เปลี่ยนเป็น จ่ายเป็นงวด ตามความก้าวหน้าของงานก่อสร้างที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท. ) ตรวจรับ วงเงินไม่เกิน 120,000 ล้านบาท โดยเอกชนต้องวางหลักประกันเพิ่มเติมจากสัญญาเดิม รวมเป็นจำนวน 160,000 ล้านบาท (สำหรับค่างานโยธาและค่าระบบรถไฟฟ้า) เพื่อรับประกันว่าจะก่อสร้างและเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงฯ ได้ภายใน 5 ปี ทั้งนี้ กรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างจะทยอยตกเป็นของภาครัฐ (รฟท.) ทันทีตามงวดของการจ่ายเงิน
2. กำหนดการชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) โดยให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิจำนวน 10,671.09 ล้านบาท เป็น 7 งวด เป็นรายปี จำนวนเท่า ๆ กัน โดยต้องชำระงวดแรก ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญา ในการนี้ เอกชนจะต้องวางหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคาร ในมูลค่าเท่ากับค่าสิทธิ ARL รวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเงินอื่นที่ รฟท. ต้องรับภาระ
3.กำหนดส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทน (Earnings Sharing) เพิ่มเติม หากในอนาคตอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการฯ ลดลงอย่างมีนัยสําคัญ และเป็นผลให้เอกชนได้ผลประโยชน์ตอบแทน (IRR) เพิ่มขึ้นเกิน 5.52% รฟท.มีสิทธิเรียกให้เอกชนชําระส่วนแบ่งผลประโยชน์เพิ่มได้ ตามจำนวนที่จะตกลงกันต่อไป
4.การยกเว้นเงื่อนไขการออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (Sight to Proceed : NTP) โดยให้คู่สัญญาจัดทำบันทึกข้อตกลงยกเว้นเงื่อนไข NTP ที่ยังไม่สำเร็จ เพื่อให้ รฟท. สามารถออก NTP ได้ทันทีเมื่อลงนามสัญญาที่แก้ไขตามหลักการทั้งหมดนี้
5. การป้องกันปัญหาในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสถานะทางการเงินของโครงการฯ โดยปรับปรุงข้อสัญญาในส่วนของเหตุสุดวิสัยและเหตุผ่อนผัน ให้สอดคล้องกับสัญญาร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในโครงการอื่น
@ซี.พี.วีโต้ยึดเงินประกันสัญญา เข็นให้ครม.ตัดสิน เอา-ไม่เอา
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีก 1 ประเด็นที่ทางรัฐกับเอกชนยังเห็นไม่ตรงกันคือ ประเด็นการใช้สิทธิบังคับหลักประกันงานโยธา (Monetary institution Guarantee) ให้ รฟท. สามารถยึดได้ทุกกรณี หากเอกชนผิดสัญญา ซึ่งทางซี.พี.เห็นว่าควรยึดตามสัญญาเดิมคือ ยึดหลักประกันได้ก็ต่อเมื่อเอกชนทิ้งงานโยธาเท่านั้น ซึ่งจะมีการเสนอให้ที่ประชุมครม.เป็นผู้พิจารณาว่า จะเอาด้วยกับหลักการข้อนี้หรือไม่
ขณะที่ตัวร่างสัญญาที่แก้ไขแล้ว รายงานข่าวบอกว่า จะยังไม่เอาเข้าที่ประชุมครม. จะเก็บไว้ก่อน เพราะมีผลกระทบจากหลักการสร้างไป-จ่ายไป จึงควรจะตั้งงบประมาณมารอไว้ก่อน ซึ่งเป็นภาระการเงินการคลัง หากครม.มีมติอนุมัติแล้ว รฟท.จะได้ไปตั้งงบประมาณมาจ่ายได้













